ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
(ช่วง บุนนาค)
บทบาททางด้านการเมืองการปกครอง
บทบาททางด้านการต่างประเทศ
งานทางด้านวิทยาการสมัยใหม่
งานด้านการก่อสร้าง
งานทางด้านศาสนา
งานทางด้านวรรณคดี
เกร็ดประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
ความเป็นมาของตระกูล บุนนาค
บทบาททางด้านการต่างประเทศ
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ตั้งแต่ครั้งยังเป็นหลวงสิทธินายเวร
มีความคุ้นเคยกับชาวต่างประเทศมาก โดยเฉพาะมิชชันนารีอเมริกันที่เข้ามาอยู่ในไทย
การที่ได้คบหาสมาคมกับมิชชันนารีนี้ ทำให้ท่านได้มีโอกาสศึกษาภาษาอังกฤษ
และรู้ขนบธรรมเนียมของชาวตะวันตก หมอบรัดเลย์แห่งคณะอเมริกันคอมมิชชันเนอร์
ฟอร์ฟอเรน มิชชัน ได้กล่าวถึงหลวงสิทธินายเวรไว้ในบันทึกรายวันมีข้อความตอนหนึ่งว่า
...ท่าทางคมขำ พูดจาไพเราะมีอัธยาศัยดี...
พวกมิชชันนารีได้ไปหาหลวงนายสิทธิยังบ้านของท่าน บ้านของหลวงนายสิทธินี้
หมอบรัดเลย์กล่าวว่าใหญ่โตงดงามมาก ที่หน้าบ้านเขียนป้ายติดไว้ว่า
นี่บ้านหลวงนายสิทธิ ขอเชิญท่านสหายทั้งหลาย ที่บ้านหลวงนายสิทธินี้
พวกมิชชันนารีได้รู้จักคนดี ๆ อีกหลายคน
ข้อนี้พวกมิชชันนารีรู้สึกชอบพอแลรักใคร่ท่านมาก...
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
เคยเกี่ยวข้องกับงานด้านการต่างประเทศมาตั้งแต่แผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ในคราวสงครามอันนัมสยามยุทธ์
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เมื่อครั้งเป็นจมื่นไวยวรนาถ หัวหมื่นมหาดเล็ก
รับหน้าที่เป็นแม่ทัพหน้าคุมกำลังไปรบกับญวนที่เมืองบันทายมาศ (ฮา เตียน)
โดยมีเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์
(พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวในสมัยรัชกาลที่ 4)
ทรงเป็นแม่ทัพคุมกองทัพเรือไปรบ
ในด้านการติดต่อกับต่างประเทศนี้
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ได้รับความไว้วางใจจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก
ดังปรากฏในพระราชดำรัสของรัชกาลที่ 3 ตอนหนึ่งว่า
...จมื่นไวยวรนาถเล่าก็เป็นคนสันทัดหนักในอย่างธรรมเนียมฝรั่ง...
ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อประธานาธิบดีซาคารี
เทย์เลอร์ แห่งสหรัฐอเมริกาส่งนายโจเซฟ บาเลสเตียร์ เข้ามาขอแก้ไขสนธิสัญญากับไทย
เมื่อ พ.ศ. 2392 จมื่นไวยวรนาถ (ช่วง บุนนาค)
ซึ่งมีหน้าที่คอยดูแลความสงบเรียบร้อยอยู่ที่เมืองสมุทรปราการได้มีส่วนได้มีส่วนในการต้อนรับทูตอเมริกันคณะนี้
และเป็นผู้ติดต่อระหว่างบาเลสเตียร์กับเสนาบดีผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ
ถึงเรื่องการทำการเจรจากัน ตลอดจนการจะเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
และเมื่อลอร์ดปาล์มเมอร์สตัน
รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษได้แต่งตั้งให้เซอร์เจมส์บรุ๊ค
เป็นผู้แทนเข้ามาขอแก้ไขสนธิสัญญาเบอร์นีกับไทยใน พ.ศ. 2393
จมื่นไวยวรนาถภักดีศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
เป็นผู้หนึ่งที่รับหน้าที่เป็นที่ปรึกษาในการตรวจร่างสัญญา
และเป็นผู้รับร่างหนังสือของฝ่ายไทยไปเขียนลงกระดาษให้เรียบร้อยส่งตอบหนังสือของเซอร์เจมส์
บรุ๊ค
ต่อมาใน พ.ศ. 2398
เมื่อสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรียแห่งประเทศอังกฤษทรงแต่งตั้งเซอร์จอห์นบาวริง
ผู้สำเร็จราชการประจำฮ่องกง เป็นราชทูตมาขอแก้ไขสนธิสัญญาเบอร์นี
เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
ได้รับมอบหมายจากพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวให้เป็นผู้หนึ่งในคณะข้าหลวงดำเนินการเจรจากับอังกฤษ
เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์มีบทบาทเป็นผู้ประสานการเจรจาระหว่างทูตอังกฤษกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาประยูรวงศ์
และสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาพิชัยญาติ
จนทำให้มีการลงนามในสนธิสัญญาบาวริงได้เป็นผลสำเร็จ
ระหว่างการเจรจา เซอร์จอห์น บาวริง
ได้บันทึกสรรเสริญเจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ว่า
เป็นผู้มีสติปัญญาและความสามารถยอดเยี่ยม
มีความคิดก้าวหน้าและใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่เมื่อเทียบกับบรรดาข้าราชการในสมัยนั้น
ดังปรากฏข้อความในหมายเหตุประจำวันลงวันที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2398 ว่า
...ท่านผู้นี้ ถ้าไม่เป็นเจ้ามารยาอย่างยอด ก็เป็นคนรักบ้านเมืองจริง
แต่จะเป็นเจ้ามารยาหรือเป็นคนรักบ้านเมืองก็ตาม ต้องว่าเป็นผู้มีความฉลาด
ล่วงรู้กาลล้ำคนทั้งหลายที่เราได้พบในที่นี้ เป็นผู้มีกิริยาอัชฌาศัยอย่างผู้ดี
และรู้จักพูดพอเหมาะแก่กาละเทศะ...
และอีกข้อความหนึ่งในหมายเหตุประจำวัน ลงวันที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2398 ว่า
...นิสัยของอัครมหาเสนาบดีนั้นน่าสรรเสริญมาก...ท่านได้กล่าวแก่เราหลายครั้งว่า
ถ้าเรามีความมุ่งหมายจะช่วยประชาชนให้พ้นความกดขี่และช่วยบ้านเมืองให้พ้นภาษีผูกขาด
ซึ่งจะเอาประโยชน์ของบ้านเมืองไปเป็นส่วนบุคคลนั้น ก็จะช่วยเราเหนื่อยด้วย
และถ้าทำการสำเร็จ ชื่อเสียงของเราก็จะเป็นที่ยกย่องต่อไปชั่วกาลนาน
และบางคราวพูดอย่างโกรธเกรี้ยว ถ้าท่านผู้นี้มีใจจริงดังปากว่า
ก็ต้องนับว่าเป็นคนรักบ้านเมือง และฉลาดเลิศที่สุดคนหนึ่งในเหล่าประเทศตะวันออก...
ภายหลังที่ไทยทำสนธิสัญญากับนานาประเทศแล้ว
เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์สนับสนุนให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงส่งคณะทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับอังกฤษและฝรั่งเศสตามลำดับ
อันเป็นการเริ่มศักราชทางการทูตระหว่างไทยกับมหาอำนาจตะวันตกเป็นครั้งแรกในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
เป็นการเพิ่มพูนสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับบรรดาชาติยุโรปและเอเชียให้กว้างขวางยิ่งขึ้นมาจนทุกวันนี้