ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
(ช่วง บุนนาค)
บทบาททางด้านการเมืองการปกครอง
บทบาททางด้านการต่างประเทศ
งานทางด้านวิทยาการสมัยใหม่
งานด้านการก่อสร้าง
งานทางด้านศาสนา
งานทางด้านวรรณคดี
เกร็ดประวัติศาสตร์เกี่ยวกับสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
ความเป็นมาของตระกูล บุนนาค
งานทางด้านวิทยาการสมัยใหม่
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์
ให้ความสนใจในวิทยาการสมัยใหม่ที่พวกมิชชันนารีนำเข้ามาเผยแพร่
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกี่ยวกับด้านสถาปัตย์กรรม วิชาการช่าง และเทคนิคต่าง ๆ
ตามแบบอย่างตะวันตก ที่สำคัญได้แก่
1. การต่อเรือกำปั่น
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เมื่อครั้งเป็นหลวงสิทธิ์นายเวรในสมัยรัชกาลที่ 3
เป็นผู้มีความสามารถในการต่อเรือโดยศึกษาจากมิชชันนารี
ในขณะที่ติดตามบิดาไปอยู่ที่เมืองจันทบุรี ใน พ.ศ. 2378
หลวงสิทธิ์นายเวรได้ต่อเรือรบไทย (เรือกำปั่นรบ)
ซึ่งเป็นเรือใหญ่ลำแรกในประเทศสยามที่ทำตามแบบฝรั่ง
เป็นเรือบริกชนิดใช้ใบเหลี่ยมทั้งเสาหน้าและเสาท้ายสองเสาครึ่ง
ตั้งชื่อเรือลำนี้ว่า เรือ เอเรียล (Ariel) หรือมีชื่อทางไทยว่าเรื่อ
แกล้วกลางสมุทร หลวงสิทธิ์นายเวรได้นำเรือลำนี้ถวายรัชกาลที่ 3
เป็นที่โปรดปรานและพอพระราชหฤทัยมาก นอกจากนี้ยังได้ต่อเรือ ระบิลบัวแก้ว
และยังได้ต่อเรืออื่น ๆ ที่จันทบุรีที่มีน้ำหนักขนาด 300-400 ตัน มีจำนวนมากกว่า 50
ลำ ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 4 เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
ได้อำนวยการต่อเรือปืนที่เรียกว่าเรือ กันโบต ขึ้น 4 ลำได้แก่
เรือปราบหมู่ปรปักษ์ เรือหาญหักศัตรู เรือต่อสู้ไฟรีรณ และเรือประจัญปัจจนึก
และต่อเรือกลไฟซึ่งได้แก่ เรืออรรคราชวรเดช และเรือเขจรชลคดี ขึ้น ในสมัยรัชกาลที่
5 เรือที่สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ต่อขึ้นได้แก่เรือมูรธาวสิตสวัสดิ์
และเรือสุริยมณฑล
2. การสร้างประภาคาร
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์มีความสนใจในการเรือมาตั้งแต่อยู่ในวัยหนุ่ม
เมื่อเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
ก็ยังคงสนใจในการเรือและมีกำลังอุดหนุนงานด้านนี้มากยิ่งขึ้น
ท่านได้เล็งเห็นสิ่งซึ่งเป็นประโยชน์ในการเดินเรืออย่างหนึ่ง คือ
ประภาคารหรือกระโจมไฟ เวลานั้นในประเทศสยามยังไม่มีประภาคาร
สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จึงบริจาคทรัพย์ส่วนตัวสร้างประภาคารขึ้น
เพื่อให้เป็นเครื่องหมายการนำเรือราชการและเรือสินค้าผ่านสันดอนเข้าออกได้โดยสะดวกที่จังหวัดสมุทรปราการ
โดยเริ่มสร้างเมื่อ พ.ศ. 2413 เสร็จเรียบร้อยเปิดใช้ใน พ.ศ. 2417
สิ้นค่าใช้จ่ายเป็นจำนวนเงิน 18,021.25 บาท
นับเป็นประภาคารที่สร้างขึ้นตามระบบมาตรฐานสากลดวงแรกของไทย
ประภาคารแห่งนี้มีชื่อเรียกเป็นภาษาอังกฤษปรากฏในแผนที่เดินเรือไทยหมายเลข 1 a ว่า
Bar or Regent Lighthouse ส่วนชื่อภาษาไทยเรียกว่า กระโจมไฟสันดอน
และใช้เป็นเครื่องหมายการเดินเรือมาเป็นเวลานานถึง 55 ปี กับ 22 วัน
(เลิกใช้เมื่อวันที่ 1 ธันวาคม 2472
3. การทหาร ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระองค์ทรงมีพระราชดำริที่จะจัดการกรมทหารอย่างยุโรปให้รุ่งเรืองขึ้น
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้พระยาศรีสุริยวงศ์ จางวางมหาดเล็ก (ช่วง บุนนาค)
ควบคุมบังคับบัญชาจัดขึ้น เรียกว่า ทหารอย่างยุโรป ให้กัปตันนอกส์เป็นครูฝึก
มีโรงทหารตั้งอยู่ที่บ้านพระยาศรีสุริยวงศ์ ณ ฝั่งแม่น้ำด้านตะวันตก
มีสนามฝึกหัดอยู่ข้างวัดบุปผาราม