ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
สาระความจริงของชีวิตตามแนวศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
ศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาเก่าแก่ของโลก คาดกันวามีอายุมากกว่า 4,000 ปี
ต่อมาศาสนาพราหมณ์ได้วิวัฒนาการมาเป็นศาสนาฮินดู กล่าวคือในยุคแรก ๆ
แนวคิดเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องเทพเจ้าต่าง ๆ ได้มีอิทธิพลต่อชีวิตของชาวอินเดีย
จนกระทั่งเรื่องราวทั้งหลายในชีวิตล้วนมีเทพเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้องทั้งสิ้น
และเทพเจ้าเหล่านั้นก็ถูกผูกขาด โดยชาวอารยันชั้นสูง ที่เรียกว่า วรรณะสูง
ซึ่งได้แก่กษัตริย์และพราหมณ์ กษัตริย์ทำหน้าที่เป็นนักปกครอง
พราหมณ์ทำหน้าที่เป็นผู้รับทำพิธีกรรม คือรับหน้าที่เป็นผู้สื่อสารกับเทพเจ้า
ทั้งสองวรรณะนี้จัดว่าเป็นชนวรรณะสูง
แพศย์เป็นชาวอารยันเช่นเดียวกันกับกษัตริย์และพราหมณ์
มีหน้าที่ในการประกอบธุรกิจค้าขาย หรือเป็นชาวนาที่มีนาเป็นของตนเอง
จัดว่าเป็นวรรณะกลาง (ชนชั้นกลาง) และวรรณะสุดท้ายคือ ศูทร
มีหน้าที่รับใช้คนชั้นสูง เป็นกรรมกรแบกหามทำงานหนัก จัดเป็นชนชั้นต่ำ
ไม่สามารถที่จะร่วมคบหาสมาคม กินอยู่หลับนอน และร่วมกิจกรรมต่าง ๆ
อย่างเสมอภาคกับชนชั้นสูงหรือชนชั้นกลางดังกล่าวได้
เพราะเป็นข้อห้ามทางศาสนาคือคัมภีร์พระเวท ซึ่งชาวอารยันเป็นผู้สร้างขึ้นมา
ศูทรเป็นชาวอินเดียพื้นเมืองซึ่งอาศัยอยู่ในชมพูทวีปมาก่อน
ก่อนที่ชาวอารยันอพยพเข้ามา จึงเป็นอันว่าศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาของชาวอารยัน
และเหตุผลทีเรียกว่าศาสนาพราหมณ์ เพราะพราหมณ์ผู้ซึ่งมีหน้าที่ทำพิธีกรรม
มีบทบาทในสังคมสูงมาก
มนุษย์แต่ละคนซึ่งมีชีวิตอยู่ในขณะนี้เป็นชิ้นส่วนของพระพรหมส่วนใดส่วนหนึ่ง
ตามวรรณะของตน กล่าวคือ กษัตริย์เกิดจากพาหาของพระพรหม
พราหมณ์เกิดจากโอษฐ์ของพระพรหม แพศย์เกิดจากส่วนท้องของพระพรหม
และศูทรเกิดจากเท้าของพระพรหม
ทุกวรรณะที่มีชีวิตอยู่ในขณะนี้เกิดจากพระพรหมและเมื่อเกิดมาแล้ว
ก็ต้องทำตามหน้าที่ตามวรรณะของตน เมื่อเกิดความบริสุทธิ์เพราะการปฏิบัติหน้าที่
และการทำความดีอย่างอื่นควบคู่กันไปจนเกิดความบริสุทธิ์
ทั้งทางกายและใจก็จะกลับไปอยู่ในร่างของพระพรหม
เป็นชีวิตอมตะไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏสงสารต่อไปอีก
หลักปรัชญาชีวิต
หลักปรัชญาและแนวคิดต่าง ๆ
เกี่ยวกับชีวิตของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู สรุปได้ดังนี้ (ทองหล่อ วงษ์ธรรม 2541 : 54)
- เรื่องเทพเจ้า มีการอธิบายลักษณะของพระพรหมเพิ่มจากเดิมให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้นว่า พระเจ้าแท้จริงมีพระพรหมเพียงองค์เดียว
- เรื่องการเวียนว่ายตายเกิด มีปรัชญาอธิบายว่า การที่มนุษย์ต้องเวียนว่ายตายเกิดในสภาพต่าง ๆ นั้น เป็นเพราะผลของ(กรรมเก่า) พระพรหมเป็นศูนย์รวมและเป็นต้นกำเนิดแห่งวิญญาณทั้งปวง สิ่งมีชีวิตทั้งหมดถือกำเนิดมาจากพรหม
- เรื่องวิธีการหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิด อธิบายว่า ผู้ใดยุติการกระทำ ผู้นั้นย่อมหลุดพ้นจากการเกิด
- เรื่องวันสิ้นโลก อธิบายว่า โลกที่พระพรหมสร้างขึ้นมีอายุขัย เมื่อครบกำหนดอายุขัย จะมีการสร้างโลกขึ้นใหม่ ระยะเวลาตั้งแต่การสร้างโลกจนถึงการล้างโลกเรียกว่า กัลป์หนึ่ง แบ่งเป็น 4 ยุค คือ กฤตยุค เตรตายุค ทวาปรยุค และกลียุค ทั้ง 4 ยุครวมกันเรียกว่า มหายุค แต่ละยุคเวลาจะสั้นลงตามดับเช่นกัน
- เรื่องการศึกษา มีการกำหนดการศึกษาภาคบังคับ กล่าวคือประชาชนที่อยู่ในวรรณะพราหมณ์ กษัตริย์ และแพศย์จะต้องส่งบุตรหลานของตนเข้าศึกษาในสถานศึกษาแห่งใดแห่งหนึ่งของวรรณะพราหมณ์ ก่อนรับเข้าศึกษา นักบวชพราหมณ์จะประกอบพิธีเสกเป่ามนตราและคล้องด้ายมงคลที่ถือว่าศักสิทธิ์ เรียกว่าสายธุรำ เฉวียงบ่าแก่เด็ก พิธีนี้เรียกว่า ยัชโญปวีต ผู้ผ่านพิธีนี้แล้วถือว่าเป็นผู้เกิดใหม่ เรียกว่า ทวิช แปลว่า ผู้เกิดสองครั้ง
ประโยชน์สูงสุดของชีวิต
1. อรรถะ (Wealth) การแสวงหาทรัพย์
หรือสร้างฐานะในทางเศรษฐกิจตามคำสอนในคัมภีร์อรรถศาสตร์ แต่งโดยท่านเกาฑัญญะ
เป็นคัมภีร์ว่าด้วยการปกครอง การจัดระบบเศรษฐกิจ ระเบียบในการสงคราม
2. กามะ (Pleasure) เป็นการให้ความสำคัญต่อชีวิตครอบครัว
การแสวงหาความสุขนั้น ตามหลักคำสอนของศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
จะต้องดำเนินไปตามแบบแผนหรือระเบียบแห่งความประพฤติของสังคม
3. ธรรมะ (Norm) หมายถึง หลักศีลธรรมของสังคมฮินดู โดยทั่วไป ธรรม หมายถึง
หน้าที่ที่ต้องปฏิบัติเป็นการบังคับให้ทำตามหลักของศาสนา
4. โมกษะ (Liberation) คืออิสรภาพของวิญญาณ
อันเป็นอุดมคติและคุณค่าสูงสุดในชีวิต
เป็นชีวิตที่ข้ามพ้นจากสังสารวัฏเข้าสู่ความสุขอันเป็นนิรันดร์ นั่นคือ
การปฏิบัติให้รู้จักตนเองว่าคือใคร พรหมคือใคร
ในโลกนี้มีอะไรที่มีสาระสำคัญหรือมีค่าสูงสุด
การรู้แจ้งในตนเองว่าเป็นพรหมและรู้แจ้งพรหมว่าเป็นปฐมวิญญาณของตน
นี่คือรวมเอาวิญญาณ (อาตมัน) อันเป็นของตนไปรวมกับปฐมวิญญาณ (ปรมาตมัน) จึงเรียกว่า
การเข้าถึงโมกษะ คือการปลดปล่อยวิญญาณให้เป็นอิสระอย่างสมบูรณ์
อันเป็นจุดหมายสูงสุดในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
หลักความดีสูงสุด
โมกษะ
คือหลักความดีสูงสุดในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู มีหลักการสำคัญของศาสนาว่า
ผู้ใดรู้แจ้งในอาตมัน (วิญญาณ) ของตนเองว่าเป็นอาตมันของพรหม
ผู้นั้นย่อมข้ามพ้นจากสังสารวัฏ และไม่ปฏิสนธิอีก ถือว่าเป็นความดีขั้นสูงสุด
(Summum Bonum)
ปรัชญาที่ถือว่าเป็นแก่นแท้ของศาสนาพราหมณ์-ฮินดูนั้นคือปรมาตมันและหลักโมกษะ
คำว่า ปรมาตมัน หมายถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่อันเป็นที่รวมของสิ่งในสากลจักรวาล
ซึ่งเรียกว่า พรหม ปรมาตมันกับพรหมคือสิ่งเดียวกัน (หมายถึงพรหมไม่มีรูปร่าง)
อันมีลักษณะคือ
1. เป็นสิ่งมีเองเป็นเอง ไม่มีเบื้องต้น ท่ามกลาง และที่สุด
2.
เป็นนามธรรม (ไม่มีรูปร่าง) สิ่งสถิตอยู่ในสรรพสิ่ง ไม่สามารถมองเห็นด้วยตา
3. เป็นที่รวมของวิญญาณ (อาตมัน) ทั้งปวง
4.
สรรพสิ่งในสากลจักรวาลล้วนเป็นส่วนย่อยที่ออกมาจากพรหม
5. เป็นอันติมสัจจะ (ความจริงขั้นสูงสุด)
6. เป็นผู้ประทานความรู้ (ญาณ)
ความคิดและความบันเทิง
7. เป็นสิ่งนิรันดร์ คือคงสภาพเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
คัมภีร์อุปนิษัท
ได้กล่าวถึงสิ่งสัมบูรณ์ว่าเป็นอาตมันและพรหมัน โดยกล่าวว่าอาตมันและพรหมัน
เป็นสิ่งเดียวกันเพียงแต่การมองจากแง่อัตวิสัยหรือในฐานะผู้รู้เรียกว่าอาตมันแต่หากจะมองในแง่วัตถุวิสัย
หรือในฐานะเป็นสิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่า พรหมัน
ปรมาตมัน คือตัวตนสากล (วิญญาณสากล) เป็นวิญญาณที่บริสุทธิ์
ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยสิ่งใดส่วนชีวาตมันเป็นตัวตนย่อยถูกจำกัดด้วยร่างกาย
ชีวาตมันเกิดจากส่วนผสมของดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นส่วนหนึ่งแห่งอาตมันสากล
เมื่อร่างกายแตกดับ สิ่งที่เหลืออยู่คืออาตมันสากลหรือปรมาตมัน
ซึ่งไม่มีวันจะสูญสิ้น
» กำเนิดชีวิตตามทัศนะของนักวิทยาศาสตร์
» การดำเนินชีวิตตามแนวพุทธธรรม
» สาระความจริงของชีวิตตามแนวศาสนาคริสต์
» สาระความรู้ทางแนวชีวิตตามศาสนาคริสต์
» สาระของชีวิตตามแนวศาสนาอิสลาม
» สาระความจริงของชีวิตตามแนวศาสนาพราหมณ์-ฮินดู
» สาระของชีวิตตามแนวศาสนาเต๋าและขงจื้อ
» คุณค่า เป้าหมายและความสำเร็จของชีวิต
» คุณค่า เป้าหมายและความสำเร็จของชีวิต
» การมองความจริงของชีวิตด้วยศาสนธรรม