สุขภาพ ความงาม อาหารและยา สมุนไพร สาระน่ารู้>>

มะเร็ง

มะเร็งต่อมธัยรอยด์
มะเร็งต่อมน้ำเหลือง
มะเร็งตับ
มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งเม็ดเลือดขาว
มะเร็งลำไส้
มะเร็งเต้านม
มะเร็งปอด

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง

สถานวิทยามะเร็งศิริราช

คนทั่วไปมักจะคุ้นกับคำว่าระบบประสาท, ระบบเลือด, ระบบทางเดินอาหาร ส่วนคำว่า “น้ำเหลือง” มีพบที่แผลเน่าหรือคนตายไปแล้ว ร่างกายมนุษย์จะมีทั้งน้ำเลือดและน้ำเหลืองควบคู่กันไปด้วยกัน เลือดทำหน้าที่เลี้ยงเซลล์ให้ได้อาหาร, ออกซิเจน น้ำเหลืองทำหน้าที่ป้องกันโรค

ระบบน้ำเหลืองมี 2 ส่วน คือ ต่อมน้ำเหลือง ซึ่งมักจะอยู่เป็นกลุ่ม ๆ ตามคอ, รักแร้, ขาหนีบ ปกติจะมีรูปร่างคล้ายเม็ดถั่วและคลำไม่พบ ระหว่างต่อมน้ำเหลือง จะมีหลอดน้ำเหลืองเป็นเส้นเล็ก ๆ เล็กกว่าหลอดเลือด โยงถึงกันเป็นตาข่ายทั่วร่างกาย ระบบน้ำเหลือง ทำหน้าที่ป้องกันมิให้ร่างกายติดเชื้อโรคหรือทำหน้าที่ควบคุม “ระบบภูมิคุ้มกัน” ของร่างกาย โดยจะดักและกรองเชื้อโรค และแยกออกไปจากร่างกาย ถ้ามีเชื้อโรคเต็มต่อมน้ำเหลืองจะอักเสบ บวมโต คลำพบได้ มักไม่เกิน 2 ชม. และมักจะเจ็บ บางครั้ง เรียกว่า “ต่อมลูกหนูโต”

มะเร็งต่อมน้ำเหลือง มี 2 ชนิดใหญ่ ๆ คือ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดโรคฮอดจกินส์ และมะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ไม่ใช่ชนิดโรคฮอดจกินส์ นายแพทย์โธมัส ฮอดจกินส์ ผู้พบโรคนี้ ตั้งแต่ พ.ศ. 2375 การแบ่งชนิดว่าเป็นชนิดใด ต้องอาศัยดูเซลล์ทางพยาธิวิทยา โดยอาศัยกล้องจุลทรรศน์ มะเร็งทั้ง 2 ชนิดนี้ จะมีการดำเนินโรค, ความรุนแรง และมีการรักษาแตกต่างกัน, แบ่งเป็นเกรดต่ำถึงเกรดสูงตามความรุนแรง ชาวไทยจะพบได้บ่อยเป็นอันดับที่ 8-9 หรือประมาณร้อยละ 4-5 ของมะเร็งทั้งหมด



สาเหตุและเหตุส่งเสริม

มีปัจจัยหลายอย่างที่ทำให้เกิดมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้มากกว่าปกติ เช่น

• มีการติดเชื้อไวรัสชนิด อี.บี.
• ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันของร่างกายบกพร่องโดยธรรมชาติ
• ผู้ที่กินยากดภูมิคุ้มกันของร่างกาย เช่น ผู้ที่ได้รับการเปลี่ยนถ่ายอวัยวะ
• อาจเกิดได้บ่อยในบางครอบครัว หรือมนุษย์บางเผ่า

อาการและอาการแสดง เมื่อโรคยังเป็นน้อย

• จะคลำต่อมน้ำเหลืองได้ขนาดเล็ก ๆ ไม่เจ็บ (ลูกหนูโต)
• มักจะคลำพบบริเวณคอ, รักแร้, ขาหนีบ
• ก้อนไม่เจ็บ
• ก้อนจะค่อย ๆ โตเป็นกลุ่ม จะมีขนาดใหญ่ อาจเท่าผลส้มโอก็ได้ถ้าปล่อยทิ้งไว้ไม่รักษา เมื่อโรคเป็นมาก จะกระจายไปทั่วร่างกาย
• มีไข้, เหงื่อออกเวลากลางคืน และน้ำหนักตัวลด
• อาจมีปวดท้อง, คลื่นไส้อาเจียน และติดเชื้อได้ง่าย

อาการเหล่านี้อาจจะไม่ใช่มะเร็งก็ได้ อาจจากการติดเชื้อ, ไข้หวัด ฯลฯ แต่ถ้าอาการเหล่านี้ไม่หายภายใน 2 สัปดาห์ ควรไปพบแพทย์

การวินิจฉัย

1. แพทย์จะซักถามประวัติการเจ็บป่วย ลักษณะการโตของต่อมน้ำเหลือง
2. ตรวจร่างกายโดยการคลำต่อมน้ำเหลืองทั้งตัว
3. ตัดเอาต่อมน้ำเหลืองที่โตไปตรวจทางพยาธิวิทยา จะเป็นการวินิจฉัยโรคที่แน่นอน และบอกชนิดได้ด้วย
4. เมื่อวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้แล้ว ต้องมีการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพื่อทราบระยะของโรค (นอกเหนือไปจากการถ่ายเอ็กซเรย์ปอด, ตรวจเลือด, ปัสสาวะ, อุจจาระ) ได้แก่

• การตรวจโดยคอมพิวเตอร์ (ซี.ที.)เพื่อดูต่อมน้ำเหลืองในช่องอก, ช่องท้อง
• การสแกนกระดูก, ตับ, ม้าม
• บางรายอาจต้องผ่าตัดเปิดช่องท้องลงไปดู

ระยะโรค

มะเร็งต่อมน้ำเหลืองแบ่งเป็น 4 ระยะ เหมือนมะเร็งอวัยวะอื่น ๆ ต้องทราบว่ามีต่อมน้ำเหลืองโตที่ใดบ้าง? อยู่เหนือหรือใต้กระบังลม (กระบังลมเป็นแผ่นกล้ามเนื้อบาง ๆ กั้นแบ่งระหว่างช่องอกและช่องอกและช่องท้อง อยู่ใต้ปอดและหัวใจ และเคลื่อนไหวตามการหายใจ)

• ระยะที่ 1 : โรคอยู่ในต่อมน้ำเหลืองต่อมเดียว หรือหลายต่อม แต่อยู่ในกลุ่มเดียวกัน เช่น เฉพาะที่คอ, รักแร้ ฯลฯ
• ระยะที่ 2 : โรคเป็นมากกว่า 1 ต่อม หรือ 1 กลุ่ม แต่ยังอยู่ข้างเดียวกันของกระบังลมทั้งคู่ เป็นต้น
• ระยะที่ 3 : พบโรคทั้งเหนือและใต้กระบังลม เช่น มีโรคที่รักแร้ และขาหนีบ เป็นต้น
• ระยะที่ 4 : โรคกระจายออกนอกระบบน้ำเหลือง เช่น มีโรคที่ผิวหนัง, ตับ, ม้าม, ปอด, กระดูก เป็นต้น

โรคแต่ละระยะยังแบ่งเป็น ระยะ A และระยะ B

• ระยะ A ผู้ป่วยไม่มีอาการของการกระจายของโรค คือ ไม่มีไข้, ไม่มีเหงื่อออกเวลากลางคืน หรือไม่มีน้ำหนักตัวลดลง
• ระยะ B จะมีอาการเหล่านี้ โรคระยะนี้ต้องได้รับการรักษาอย่างเต็มที่ เพราะโรคกระจายไปไกลแล้ว

การรักษา

การรักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองมีหลายวิธี แพทย์จะใช้วิธีใดนั้นต้องพิจารณาถึง

• เป็นมะเร็งต่อมน้ำเหลืองชนิดใด ?
• มีเกรดความรุนแรงแค่ไหน ? โรคโตช้าหรือเร็ว ?
• โรคเป็นระยะใด ?
• อายุและสุขภาพของผู้ป่วยเป็นอย่างไร ?

- บางชนิดมีเกรดต่ำ โตช้า ไม่ค่อยทำให้เกิดอาการ แพทย์อาจจะยังไม่รักษา แต่จะเฝ้าดูอาการไปก่อน ยังไม่รักษาจนกว่าจะเกิดอาการขึ้นก็ได้
- บางชนิดมีเกรดปานกลางหรือเกรดสูง มักจะใช้ยารักษามะเร็งร่วมกับการฉายรังสี บางครั้งจำเป็นจะต้องผ่าตัดเอาก้อนมะเร็งก้อนใหญ่ออกไปก่อน

การรักษาพอจะสรุปวิธีการรักษาได้ดังนี้

• การผ่าตัด ส่วนใหญ่เพื่อตัดเอาก้อนมะเร็งไปตรวจทางพยาธิวิทยาเท่านั้น หรือเพื่อตัดเอาก้อนที่โตมากออกไปก่อนการใช้วิธีอื่นรักษา ไม่ถือเป็นการรักษาหลัก
• การใช้ยารักษามะเร็ง หรือ เคมีบำบัด เป็นการรักษาหลักของมะเร็งต่อมน้ำเหลือง เพราะโรคมักจะลุกลามไปทั่วร่างกาย โดยเฉพาะไขกระดูก มักจะใช้ยา 3-4 ชนิดร่วมกัน ให้ทุก ๆ 3-4 สัปดาห์ บางชนิดใช้กิน บางชนิดใช้ฉีดเข้าหลอดเลือดดำ
• การฉายรังสี เป็นการรักษาเฉพาะที่ที่ได้ผลดีมาก แต่เหมาะสำหรับโรคที่ยังเป็นน้อย เช่น โรคระยะที่ 1 หรือในกรณีที่ให้เคมีบำบัด ก้อนยุบไม่หมด จึงฉายรังสีด้วย และก้อนมักจะยุบหมด
• ชีวะบำบัด เป็นการรักษาวิธีใหม่ที่ใช้สารจากธรรมชาติมากระตุ้นให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายให้ทำลายเซลล์มะเร็งได้ดีขึ้น เช่น การใช้สารโมโนโคลนั่ลแอนติบอดี้ย์ ซึ่งในประเทศไทยมีจำหน่ายแล้ว มีชื่อทางการค้าว่า “แมพเธอร์รา” ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองที่ไม่ใช่ฮอดจกินส์ และมีเกรดต่ำ และอีกชนิดหนึ่งคาดว่าจะมีจำหน่ายเร็ว ๆ นี้คือเบ็กซ่า หรือ อองโคลิมฟ์ องค์การอาหารและยะของสหรัฐเพิ่งประกาศรับรองว่า “อินเตอเฟอรอน” ใช้รักษามะเร็งต่อมน้ำเหลืองได้ผลดี เมื่อปี พ.ศ. 2540 นี้เอง ยาตัวนี้มีจำหน่ายในประเทศไทยหลายปีมาแล้ว

ผลข้างเคียงการรักษา

อย่าลืมว่าการรักษาโรคทุกชนิด ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม มักจะมีผลข้างเคียงทั้งนั้น แต่เพื่อให้โรคหายและรอดชีวิต ตัวผู้ป่วยและญาติจึงไม่ควรวิตกในเรื่องนี้ เพราะผลข้างเคียงที่เกิดขึ้นมักจะเกิดขึ้นชั่วคราวเท่านั้น และจะไม่เป็นอันตราย ถ้าปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

ระหว่างได้รับเคมีบำบัด อาจมีคลื่นไส้ เบื่ออาหาร เจ็บปาก ผมร่วง และการติดเชื้อ ระหว่างฉายรังสีอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เจ็บคอ อาการเหล่านี้ในผู้ป่วยแต่ละคนจะต่างกัน บางคนอาจมีอาการมาก บางคนมีอาการเพียงเล็กน้อย บางคนอาจไม่มีอาการเลยก็ได้

การรักษาผู้ป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลืองด้วยการปลูกถ่ายเซลล์ต้นกำเนิด
กินตะไคร้ไกลมะเร็ง
ข้อควรรู้เกี่ยวกับมะเร็ง
คีโมกับมะเร็งและการดำรงชีวิต
ทับทิมบำรุงหัวใจ ยับยั้งมะเร็ง
วิธีพิชิตโรคมะเร็ง
สมุนไพรต้านมะเร็ง
แสงแดดช่วยป้องกันโรคมะเร็ง
อาการของมะเร็งที่ควรใส่ใจ

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย