ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
พระเจ้าสิบชาติ










พระเวสสันดร ผู้ทรงบำเพ็ญทานบารมี
พระนางผุสดีพระมารดาพระโพธิสัตว์ ทรงทราบว่าชาวเมืองให้ขับพระโอรส ออกจากเมือง
เพราะพระราชทานช้างมงคล จึงได้ทูลขอพระราชา เมื่อพระราชาทรงยืนยันที่จะกระทำ
ตามความต้องการของชาวเมือง จึงเสด็จมาหาพระโอรส และพระสุณิสา ต่างก็ครวญคร่ำร่ำไห้
อาลัยอาวรณ์ รุ่งเช้า พระเวสสันดรได้เสด็จมายังโรงทาน
ทรงบริจาคสัตตสดกมหาทานที่ตระเตรียมไว้ พวกวณิพกกระยาจกทั้งหลาย
ต่างพากันโศกสลดรันทดใจ สงสารพระเวสสันดรโพธิสัตว์
พระเวสสันดรทรงบริจาคทานอยู่จนถึงเวลาเย็น จึงเสด็จกลับพระราชนิเวศน์
ได้เสด็จถวายบังคมลาพระชนกชนนี พร้อมด้วยพระมัทรีและโอรสธิดา
พระเจ้าสญชัยและพระนางผุสดี ต่างก็สงสาร 4 กษัตริย์ที่จะต้องพรากพลัดบ้านเมืองไป
แต่เมื่อไม่อาจแก้ไขอย่างไรได้ จึงทรงขอให้พระมัทรีพร้อมด้วย
พระชาลีกัณหาอยู่พระนครนี้ต่อไปเถิด อย่าให้เตลิดติดตาม
พระเวสสันดรไปทนทุกข์ทรมานเลย แต่พระนางมัทรีไม่ทรงยินยอมทูลตอบว่า "
อันแม่น้ำไม่มีน้ำก็เปล่าประโยชน์ แว่นแคว้นไม่มีพระราชาปกครองก็สูญเปล่า
สตรีแม้มีพี่น้องตั้ง 10 คน ถ้าเป็นม่ายก็หายสูญ ธงเป็นเครื่องปรากฏแห่งราชรถ
ควันเป็นเครื่องปรากฏแห่งไฟ พระราชาเป็นเครื่องปรากฏแห่งแว่นแคว้น
ภัสดาเป็นเครื่องปรากฏแห่งสตรี ความเป็นม่ายเป็นความตรอมตรมในโลก
หม่อมฉันจักต้องไปแน่นอน " ฯลฯ " ส่วนลูกชาลีและกัณหา ทั้ง 2
นั้น เป็นพระลูกรักของหม่อมฉัน ลูกทั้ง 2 นั้นจักยังดวงใจ ของหม่อมฉันทั้ง 2
ผู้โศกเศร้าให้รื่นรมย์ในป่านั้น "
ครั้นรุ่งสางสว่างแล้ว 4 กษัตริย์ คือ พระเวสสันดรโพธิสัตว์ พระนางมัทรี
และพระโอรสธิดาชาลีกัณหา ก็ทรงอำลาประชาชน และเหล่าอำมาตย์ราชบริพาร
เสด็จขึ้นประทับบนรถม้าพระที่นั่ง ที่เขาเตรียมไว้
เสด็จมุ่งพระพักตร์ตรงไปยังเขาวงกตทันที ในระหว่างทางเสด็จนั้นได้มีพราหมณ์ 4 คน
มาดักรอขอเฝ้าอยู่แล้ว พราหมณ์ทั้ง 4 ได้ทูลขอม้าทั้ง 4 ตัวนั้น
พระเวสสันดรโพธิสัตว์ก็พระราชทานให้ คงเหลือแต่รถเปล่าไร้ม้าเทียม
เทพดาจึงเนรมิตเป็นละมั่งทอง มาลากรถของพระองค์ไป ในไม่ช้าก็มีพราหมณ์คนที่ 5
มาทูลขอรถพระที่นั่งนั้น พระองค์ก็พระราชทานแก่พราหมณ์ไป ครั้นแล้วพระโพธิสัตว์
ก็ทรงอุ้มพระกุมารชาลี พระมัทรีทรงอุ้มพระธิดากัณหาชินา ต่างทรงสนทนาร่าเริงพระทัย
เสด็จดำเนินไปตามมรรคาสู่ป่าเขา
ครั้นเสด็จดำเนินไปได้ 30 โยชน์ ด้วยอำนาจเทวดาช่วยย่นระยะทาง
พอถึงตอนเย็นก็เข้าเขตนครเจตรัฐ พระยาเจตราชหกหมื่นพระองค์
เสด็จมาเฝ้าทูลถามความเป็นมา พระเวสสันดรโพธิสัตว์ ได้ตรัสตอบตามความจริงตั้งแต่ต้น
แล้วทรงสรุปว่า ชาวเมืองเชตุดรพากันขัดเคืองเรา และพระราชบิดาก็กริ้วขับไล่เรา
เราจะไปยังเขาวงกต พระยาเจตราชทั้งหลาย ทูลเชิญให้ทรงพักผ่อนอยู่ที่เจตรัฐก่อน
พวกตนจะพาไปทูลขออภัยโทษ ต่อพระราชบิดาของพระองค์ แต่พระโพธิสัตว์ไม่ทรงเห็นด้วย
เมื่อพระยาเจตราช ทรงขอให้ครอบครองราชสมบัติ อยู่ที่เจตรัฐนั้นเสียเลย
พระเวสสันดรก็ไม่ทรงยินยอม ตรัสว่า " ดูก่อนพระยาเจตบุตรทั้งหลาย
ความพอใจหรือความคิดเพื่อครองราชสมบัติ ไม่มีแก่เราผู้อันพระชนกนาถทรงเนรเทศแล้ว
หากเราขืนกระทำไปความไม่ปรองดอง ก็จะพึงมีแก่พวกท่าน เพราะเราเป็นตัวการสำคัญ อนึ่ง
ความบาดหมาง และการทะเลาะกับชาวสีพี เราไม่ต้องการ ใช่แต่เท่านั้น
ความบาดหมางอาจรุนแรงขึ้น กลายเป็นสงครามใหญ่ก็เป็นได้ คนเป็นอันมากพึงฆ่าฟันกัน
เพราะเหตุแห่งเราผู้เดียว ความปรารถนาดีของพวกท่าน เป็นอันเรารับไว้ด้วยใจเถิด
พระราชบิดาขับไล่เรา เราจักไปเขาวงกต "
พระโพธิสัตว์พร้อมด้วยพระนางมัทรี และโอรสธิดา ทรงพักผ่อนที่เจตรัฐ 1 คืน
พอรุ่งเช้าก็ทรงอำลาพระยาเจตราชทั้งหลาย เสด็จพระราชดำเนินต่อไป
ตามมรรคาที่พระยาเจตราชทรงบอกให้ ในที่สุดก็เสด็จถึงเขาวงกต ทั้ง 4
พระองค์ได้เสด็จเข้าประทับ ในบรรณศาลา ซึ่งท้าวสักกเทวราชทรงบัญชา
ให้พระวิสสุกรรมเทพบุตรสร้างไว้ถวายโดยเฉพาะ อันตั้งอยู่ใกล้สระโบกขรณี
มีทิวทัศน์น่ารื่นรมย์ใจ พระเวสสันดรทรงผนวชเป็นฤาษี
แม้พระนางมัทรีก็ทรงผนวชเป็นดาบสินี ในกาลต่อมาได้ทรงให้ 2 กุมารบวชเป็นฤาษีน้อย
เช่นพระองค์ ทั้ง 4 พระองค์ทรงบำเพ็ญธรรม ยังเมตตาให้เป็นไปทั่ว
เป็นที่รักใคร่ยินดี ของปวงสัตว์ทั้งหลาย พระนางมัทรีเป็นผู้ออกไปหาผลาผลมาอุปัฏฐาก
บำรุงพระเวสสันดรฤาษี และพระฤาษีน้อยทั้ง 2 อย่างสุขสบาย สิ้นกาลผ่านมาได้ 7 เดือน
ครั้งนั้น มีพราหมณ์คนหนึ่ง ชื่อชูชก อยู่ที่ทุนนวิฏฐคาม ในแคว้นกาลิงค์
ภรรยาสาวของพราหมณ์นั้น ชื่ออมิตตา (นางอมิตดา หรืออมิตตตาปนา) เป็นคนสวยและขยัน
ในกิจการบ้านเรือน พวกนางพราหมณีใกล้เคียง มักถูกพวกพราหมณ์สามีทุบตี
เพราะเหตุที่ไม่น่ารัก และขยันเหมือนนางอมิตตา
พากันโกรธแค้นนางอมิตตาผู้เป็นต้นเหตุ ให้ตนต้องถูกทุบตี
จึงพากันมาประชุมที่ท่าน้ำขู่ คุกคามนางอมิตตา และด่าว่าต่างๆ นานา
นางอมิตตากลัวจึงบอกพราหมณ์ชูชกผู้สามีว่า นางจะไม่ไปท่าน้ำอีกแล้ว
เพราะพวกนางพราหมณี หลายคนคอยด่าว่าคุกคาม เพราะเหตุที่นางมีสามีเป็นคนแก่
ชูชกก็บอกว่า " ต่อไปนี้เจ้าอย่าทำการงานเพื่อฉันเลย
ฉันจักทำการงานเองทุกอย่าง ขอให้เธออยู่อย่างสบายเถิด "
นางอมิตตาก็บอกว่า " ท่านพราหมณ์ ดิฉันไม่ได้เกิดในตระกูลที่ใช้ผัว
จึงใช้ผัวทำงานไม่ได้ ถ้าท่านไม่นำทาส หรือทาสีมาให้ดิฉัน ดิฉันก็อยู่กับท่านไม่ได้
" แล้วได้แนะให้ชูชกไปขอพระชาลีกัณหา จากพระเวสสันดร
ในที่สุดชูชกก็ต้องตามใจนางอมิตตา ออกเดินทางไปเขาวงกตเพื่อขอ 2 พระกุมาร