ศาสนา
ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม
การเดินทางของพุทธศาสนาสู่ประเทศไทย
พระพุทธศาสนาในประเทศไทย
เส้นทางติดต่อระหว่างอินเดียกับสุวรรณภูมิ
พุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ
พุทธศาสนาสมัยฟูนัน
พุทธศาสนาสมัยทวาราวดี
พุทธศาสนาสมัยศรีวิชัย
พุทธศาสนาสมัยลพบุรี
พุทธศาสนาสมัยลานนา
พุทธศาสนาลังกาวงศ์สู่ลานนา
พุทธศาสนาสมัยสุโขทัย
การปกครองคณะสงฆ์ และศิลปกรรม
พระมหาธรรมราชาลิไทกับพุทธศาสนา
พุทธศาสนาสมัยอยุธยา
พุทธศาสนาสมัยธนบุรี
พุทธศาสนาสมัยรัตนโกสินทร์
พุทธศาสนาสมัยอยุธยา
ยุคที่ 1 กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีมา 417 ปี ตั้งแต่ พ.ศ. 18932310
ต่อมาย้ายราชธานีมาอยู่ที่กรุงธนบุรี มีพระมหากษัตริย์ปกครอง 33 พระองค์
ทรงนับถือพุทธศาสนาทั้งหมด ทรงอุปถัมภ์บำรุงวัดวาอารามอย่างจริงจัง
วัดและพระสงฆ์เป็นที่รวมใจของชาวอยุธยา วัดเป็นสโมสร โรงพยาบาล เป็นศาล
เป็นที่ผักผ่อนหย่อนใจ เป็นโรงเรียน ที่ศึกษาศิลปศาสตร์สาขาต่างๆ
เป็นแหล่งวัฒนธรรมต่างๆ มากมาย
สมัยพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงสร้างพระนครศรีอยุธยา อีก 3
ปีต่อมาทรงสร้างวัดคือวัดพุทไธสวรรย์ ที่ตำบลเวียงเหล็ก เป็นอารามแห่งแรกของอยุธยา
สร้างพุทธเจดีย์ที่สำคัญของวัดคือ พระปรางค์ใหญ่พระวิหาร
พระพุทธรูปตามระเบียงคดซึ่งทำด้วยศิลา และกุฏิพระพุทธโฆสาจารย์
ซึ่งเป็นอธิบดีสงฆ์ฝ่ายคันถธุระ มีตำแหน่งสังฆราชฝ่ายซ้าย
วัดพุทไธสวรรย์ เป็นวัดที่ประสิทธิประสาทวิชาการพิชัยสงครามตลอดสมัยอยุธยา
ต่อมา พ.ศ. 1900 ทรงสร้างวัดขึ้นอีกวัดหนึ่ง เรียกว่า วัดพญาไท
คือวัดใหญ่ชัยมงคลในปัจจุบัน
สร้างถวายคณะสงฆ์ที่ไปเรียนมาจากลังกาในสำนักของพระวันรัตน์ คณะสงฆ์นี้ได้นามว่า
คณะป่าแก้ว และวัดที่อยู่ก็เรียกว่า วัดป่าแก้ว พอใจในการปฏิบัติวิปัสสนาธุระ
สมเด็จพระวันรัตน์ มีตำแหน่งพระสังฆราชฝ่ายขวา ในสมัยนั้นเรียกพระสงฆ์ว่าเจ้าไท
วัดนี้จึงเรียกว่า วัดพญาไท ซึ่งหมายถึงพระสังฆราชนั่นเอง
ต่อมาสมัยขุนหลวงพระงั่ว(สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 1
ทรงสร้างวัดมหาธาตุเป็นวัดประจำพระนคร
สมัยนั้นมีธรรมเนียมที่ว่าเมืองราชธานีต้องมีวัดสำคัญประจำพระนคร 3 วัด
คือวัดมหาธาตุ วัดราชบูรณะ และวัดราชประดิษฐาน
ส่วนวัดมหาธาตุนั้นต้องมีพระบรมธาตุเป็นหลักสำคัญของวัด
และในสมัยอยุธยานั้นวัดมหาธาตุเป็นวัดสำคัญ
คือเป็นที่ประทับของสมเด็จพระสังฆราชมาทุกสมัย
พระราเมศวรเสด็จจากลพบุรี ปลงพระชนม์เจ้าทองลั่น หรือทองจันทร์
ราชโอรสของพระบรมราชาธิราชที่ 1 แล้วขึ้นครองราชเมื่อ พ.ศ. 1931 ครองอยู่ 7 ปี
ก็สิ้นพระชนม์ ทรงสร้างวัดพระราม วัดภูเขาทอง ซึ่งเป็นวัดใหญ่ทั้ง 2 วัด
วัดพระรามนั้นทรงสร้างถวายพระเพลิงพระชนก คือพระรามาธิบดีที่ 1
ตั้งอยู่ที่ริมบึงชีขัน ส่วนวัดภูเขาทองสร้างนอกพระนคร
และกษัตริย์ที่สร้างวักราชบูรณะคือ เจ้าสามพระยา(พระบรมราชาธิราชที่ 2 ) ประมาณ
พ.ศ. 19671991 วัดราชบูรณะนั้นทรงสร้างถวายพระเพลิงพระเชษฐาทั้ง 2 พระองค์
คือเจ้าอ้ายพระยา และเจ้ายี่พระยา
ยุคที่ 2 เป็นสมัยพระโอรสของพระบรมไตรโลกนาถ (พระรามาเมศวร) คือ
สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2 ขึ้นครองราชระหว่าง พ.ศ. 19912031 เป็นเวลา 40 ปี
นับว่ายาวนานที่สุดในบรรดากษัตริย์อยุธยา ยุคนี้นิยมสร้างสถูปแบบลอมฟางหรือแบบลังกา
พระพุทธรูปซึ่งเคยเป็นอิทธิพลของขอมลพบุรี
มาถึงยุคนี้อิทธิพลของสุโขทัยเข้ามาแทนที่ ด้วยเหตุ 2 ประการ คือ
1ทรงมีพระราชมารดาเป็นเจ้าหญิงสุโขทัย 2ทรงคุ้นเคยกับศิลปแบบสุโขทัยมาก
ในยุคนี้พุทธศาสนาเจริญถึงขีดสุด คือทรงสร้างวัดพระศรีสรรเพชรญ์
มีฐานะเป็นพุทธวาสไม่มีพระสงฆ์อยู่
ทรงนิพนธ์มหาชาติคำหลวงไว้ให้พระสงฆ์เทศในงานต่างๆ
ซึ่งประเพณีการเทศน์มหาชาตินั้นมีมาแต่สุโขทัยแล้ว แต่ยังไม่มีคำเทศฉบับหลวง
พึงมีครั้งแรกสมัยพระบรมไตรโลกนาถนี้ พระองค์มีความเลื่อมใสพระสำนักพระวันรัตน์
วัดป่าแก้ว จึงเสด็จออกผนวชเอาอย่างกษัตริย์สุโขทัย พร้อมกับข้าราชบริพารทั้งหมด
2388 รูป เป็นการบวชที่มโหฬารมาก ทรงผนวชอยู่ 8 เดือน 15
วันจึงลาผนวชเพื่อครองราชต่อไป
ทรงได้ช้างเผือกมานับเป็นช้างเผือกเชือกแรกของพระเจ้าแผ่นดินสมัยอยุธยา
พระรามาธิบดีที่ 2 ทรงประสูติที่พิษณุโลก และเสด็จมาครองราชที่อยุธยา
ทรงสร้างพุทธเจดีย์ตามอย่างสมัยสุโขทัย สร้างพระพุทธรูปยืนต่างๆ ด้วยโลหะ หนักกว่า
5 หมื่นกว่าชั่ง หล่อแล้วแผ่ทองคำหนัก 200กว่าชั่ง สูง 8 วา พระอุระกว้าง 11 ศอก
พระพักตร์ยาว 4 ศอก ใช้เวลาหล่อและแต่งถึง 3 ปี ทรงถวายพระนามว่า พระศรีสรรเพชรญ์
เป็นพระทองคำที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเมื่อกรุงแตกครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310
พม่าเอาไฟสุมลอกทองไปหมด หลังจากสมัยของพระองค์แล้ว พุทธศาสนาอยู่ในฐานะทรงตัว
ไม่เจริญขึ้น ด้วยเพราะการสงครามและเรื่องเศรษฐกิจเป็นสาเหตุสำคัญ
สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ์ พ.ศ. 2091 ถึงแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
ทรงทำแต่สงคราม ซึ่งเริ่มเมื่อ พ.ศ. 21332148 ทรงรบกับพม่าบ้าง เขมรบ้างถึง 17
ครั้งทรงกอบกู้บ้านเมือง
ได้สร้างเจดีย์ใหญ่เป็นที่ระลึกในชัยชนะครั้งนั้นที่วัดเจ้าพญาไท
สร้างแบบลังกาสูงเส้นเศษ
สมัยพระเอกาทศรถ เสวยราชสมบัติ ได้ทรงสร้างวัดวรเชษฐารามขึ้น
เพื่ออนัสรณ์ถึงสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
นอกจามนี้ยังได้สร้างพระพุทธรูปสนองพระองค์พระนเรศวร
เพราะในเวลานั้นยังไม่นิยมการปั้นหรือการหล่อพระบรมรูปไว้สักการะบูชา
จึงต้องสร้างพระพุทธรูปแทนพระองค์ไว้ให้คนสักการะบูชา
สมัยพระเจ้าทรงธรรม พ.ศ. 21632171 พระองค์เป็นผู้รู้พระไตรปิฎก
ทรงสนใจในการพระศาสนา และการศึกษาพระปริยัติธรรมอย่างยิ่ง เสด็จลงพระที่นั่งจอมทอง
3 หลัง บอกบาลีแก่พระภิกษุสามเณรทุกวัน มีพระภิกษุสมาเณรจามวัดต่างๆ ผลัดกันมาเรียน
ในรัชกาลนี้ มีพระสงฆ์พวกหนึ่งมาจากลังกา
ทูลว่าไทยมีรอยพระพุทธบาทแน่นอนอยู่ที่สุวรรณบรรพต พระองค์ทรงให้สืบค้นหาที่
จังหวัดสระบุรี จึงพบตรัสสั่งให้ช่างสถาปนาเป็นมณฑปสวมพระพุทธบาท
และสร้างพระอุโบสถพระวิหาร กุฏิต้องใช้เวลาหลายปี จึงตรัสให้สร้างตำหนักตะวันออก
ชื่อตำหนักท่าเจ้าสนุก ที่พระพุทธบาทนั้นทรงพระราชทานชายฉกรรจ์ให้เป็นข้าพระ
จึงเกิดประเพณีเทศกาลไหว้พระพุทธบาทขึ้นในกลางเดือน 3 และเดือน 4 ทุกปี
เรื่องรอยพระพุทธบาทนี้ เป็นของเกิดในอินเดียก่อน
เริ่มสร้างกันตั้งแต่สมัยพระเจ้าอโศกมหาราชมีสมัยที่เก่ากว่าพระพุทธรูป
พระพุทธบาทที่สร้างกันนั้นมีหลายแบบในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราชเรื่อยมา
และเป็นเครื่องหมายบอกว่า พุทธศาสนาได้เจริญรุ่งเรืองมาเป็นลำดับตลอดมา
ในประเทศไทยรอยพระพุทธบาทที่เก่าแก่ที่สุดนั้นเป็นสมัยทวาราวดี
พบในลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงที่ราบสูงนครราชสีมา ทำติดต่อกันเรื่อยมา
สมัยสุโขทัยได้ไปพิมพ์รอยพระพุทธบาทมาจากลังกาแล้วสร้างไว้ในที่ต่างๆ
ตามที่เห็นสมควร
สมัยพระนารายณ์มหาราช พ.ศ. 21992231 ทรงเป็นโอรสของพระเจ้าปราสาททอง
มีความเลื่อมใสพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง พระองค์ทรงถูกเชื้อเชิญจากราชทูตฝรั่งเศส
ซึ่งเป็นประเทศที่นับถือคริสต์ให้เปลี่ยนศาสนา ในสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
แต่ก็หาทรงหวั่นไหวไม่ ทรงตอบปฏิเสธแบบละมุ่นละม่อม
และขณะนั้นพระองค์กำลังโปรดให้หล่อพระพุทธรูปทองคำสูง 4 ศอกเศษอยู่องค์หนึ่ง สูง 1
ศอกบ้าง สูง 2 ศอกบ้าง ถวายพระนามว่า พระบรมไตรโลกนาถ และพระบรมไตรภพนาถ พระองค์
ทรงได้ประกาศออกเป็นราชกฤษฎีกา ว่า บุคคลใดจะนับถือศาสนาใดก็ได้
โดยไม่ทรงบังคับในการที่ประชาชนของพระองค์จะนับถือในเรื่องของศาสนา
ในสมัยนั้นพระองค์ยังทรงสร้างวัดแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ได้แก่
1.วัดเซนต์เปาโร (อยู่ จ. ลพบุรี)
2. วัดเซนต์โยเซฟ (อยู่ จ.อยุธยา)
พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงสนพระทัยศึกษาคัมภีร์ไบเบิล ของศาสนาคริสต์
และ คัมภีร์อัลกูรอ่าน ของศาสนาอิสลาม และมีความรู้เป็นอย่างดี
ในขณะนั้นศาสนาคริสต์นิกายโรมันแคธอลิก ซึ่งตั้งอยู่ที่ นครวาติ กัน ประเทศอิตาลี
ได้วางรากฐานอย่างจริงจัง เพื่อให้เป็นศูนย์กลางในการเผยศาสนาคริสต์ โดยเน้นที่
ไทย-ลาว กัมพูชา ญวน-มาลายู ฯลฯ การกระทำของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชครังนั้น
ก็ด้วยเหตุที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14
ทรงเป็นพระสหายต่างชาติที่สนิทของสมเด็จพระนารายณ์
จึงได้ทรงสนับสนุนศาสนาคริสต์ในไทย โดยในขณะนั้น
มีบุคคลสำคัญที่เป็นหลักในการตั้งคริสต์จักรในไทย คือ นายเยรากี
ขณะนั้นเป็นชนชาวกรีก ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น นายฟอนคอล
ครั้งสุดท้ายเข้ารับราชการรับใช้สมเด็จพระนารายณ์ พระองค์จึงให้บรรดาศักดิ์เป็นที่
พระยาวิชาเยนทร์ และต่อมาพระยาวิชาเยนทร์ได้เข้ากับพระเจ้าหลุยส์ที่ 14
โดยมีแผนจะยึดประเทศไทย 4 แผน คือ
1. ต้องการทำลายอิทธิพลของพุทธศาสนาลงให้ได้ เพราะเมื่อพุทธศาสนาเสื่อมลง
คริตส์จึงสามารถมีบทบาทขึ้นมาได้อ่างเต็มที่ได้นั่นเอง
2. กษัตริย์ไททุกพระองค์ทรงนับถือพุทธศาสนา
โดยวิธีการเกลี้ยกล่อมพระนารายณ์และข้าราชการชั้นสูงซึ่งเป็นชั้นระดับผู้นำของไทยให้เข้ารีต
ก็จะเป็นการทำลายพุทธศาสนาโดยง่าย (โดยข้อ 2 นี้มีบทบาทสำคัญต่อพุทธศาสนามากที่สุด
พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ส่งทูตนำพระราชสาสน์ของพระองค์เข้าเฝ้าสมเด็จพระนารายณ์)
3. ส่งทหารเข้ายึดประเทศไทยเลย
ครั้งนั้นสมเด็จพระนารายณ์ทรงตอบคำถามพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ดังนี้
1. จะให้พระองค์เปลี่ยนพุทธศาสนาที่นับถือมาถึง 2229 ปีไม่ใช่ง่ายเลย
ตอบว่า โปรดให้พระราชบุตรของเราเข้ารีตให้หมดก่อน แล้วเราจะเข้าเป็นคนสุดท้าย
2. พระเจ้าเป็นผู้มีฤทธิ์อำนาจ ทำไมไม่บันดาล ให้ศาสนาในโลกมีศาสนาเดียว
ถ้าพระเจ้าเป็นผู้มีฤทธิ์อำนาจจริง ๆ ทำไมไม่ดลใจให้เราเลื่อมใส
3. ขอฝากชะตากรุงศรีอยุธยา อยู่ในความเมตตาของพระเจ้าด้วย
และขอพระเจ้าหลุยส์ผู้เป็นสุดที่รัก อย่าได้เสียพระทัยไปเลย
ต่อมาพุทธศาสนากับคริสต์ได้แตกกัน
พระปิยะพระราชโอรสของสมเด็จพระนารายณ์ต้องการขึ้นครองราชย์
ส่วนหลวงสรศักดิ์ได้พระเทพราชาเป็นพวกและหวังจะให้พระเทพราชาขึ้นครองราชย์
พระนารายณ์ทรงทราบความจริงว่า
หลวงสรศักดิ์นั้นยังมีความต้องการจะเปลี่ยนพุทธศาสนามาเป็นศาสนาคริตส์
พระองค์จึงทรงสร้างวังชื่อว่า วังพระนารายณ์ ที่ลพบุรี
โดยประกาศเป็นเขตวิสุงคามสีมา คือเป็นวัด ทำให้หลวงสรศักดิ์ไม่กล้าเข้ายึด
ซึ่งเป็นสถานที่ประทับของสมเด็จพระนารายณ์ ภายหลังปัญหาต่าง ๆ คลี่คลาย
พระเทพราชาได้เป็นกษัตริย์ต่อมา และพระเจ้าเสือเป็นกษัตริย์องค์ที่ 2
สมัยพระเจ้าบรมโกษฐ์ พ.ศ. 22752310 ครองราชสมบัติเป็นเวลา 26 ปี (
เป็นโอรสของพระเจ้าเสือ) พระองค์มีอายุยืน 70 ปี
สมัยนี้มีการบูรณะอารามใหญ่น้อยทั้งในพระนครและหัวเมืองต่างๆ เช่น
1. วัดพระศรีสรรเพชญ์
2. วัดพระราม
3. เจดีย์ภูเขาทอง (
เริ่มสร้างแต่สมัยราชวงศ์สุพรรณภูมิ-มาเสร็จสมบูรณ์ในราชวงศ์พลูหลวงในรัชกาลพระเจ้าบรมโกษฐ์
)
ทางหัวเมือง คือ วัดพระแท่นศิลาอาสน์ จังหวัดอุตรดิตถ์
มีพระราชนิยมเรื่องการบรรพชาอุปสมบท ราษฎรหรือข้าราชการ
ถ้ายังไม่ผ่านการบรรพชาอุปสมบทมาก่อน ก็จะไม่ทรงชุบเลี้ยงหรือเลื่อนยศให้
กวีในทางศาสนาคือ
1. พระมหานาค วัดท่าทราย ได้แต่งเรื่องปุณโณวาทคำฉันท์
2.
เจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์หรือกรมขุนเสนาพิทักษ์ เป็นพระโอรสของพระเจ้าบรมโกษฐ์
ทรงนิพนธ์ พระมาลัยคำหลวงนันโทปนันทสูตร เป็นต้น
พระราชกิจที่สำคัญอย่างหนึ่งของพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์
คือการทรงอุปถัมภ์ให้มีการตั้งสมณวงศ์ในลังกา ที่เรียกว่า
สยามวงศ์หรืออุบาลีวงศ์มาจนกระทั่งทุกวันนี้
สาเหตุเนื่องจากประเทศลังกาเกิดสงคราม ถูกกดขี่จากโปตุเกส ห้ามนับถือพุทธศาสนา
จึงทำให้สมณวงศ์ในลังกาสูญสิ้นไป หรือแต่ สามเณรสรณังกร ซึ่งตอนนั้นมีอายุมาก
ได้พยายามฟื้นฟูสมณวงศ์ ช่วงนั้นเป็นสมัยของพระเจ้ากิติสิริราชสิงหะ
กษัตริย์ลังกา และทราบจากพ่อค้าทีไปติดต่อค้าขายกับกรุงศรีอยุธยาว่า
มีภิกษุสงฆ์มาก พุทธศาสนามีความเจริญมาก
ราชทูตของลังกาได้เดินทางมากรุงศรีอยุธยาปีเศษ ตื่นเต้นกับวัดวาอาราม
โบสถ์เจดีย์วิหารว่า มองไปทางไหนก็เห็นแต่ทองทั้งนั้น
ครั้งแรก ไทยได้ส่งคณะ พระอุบาลีเถระและอริยมุนี 2 รูป
ซึ่งเป็นหัวหน้าไปลังกา เดินทางอยู่ 1 เดือน 21 วันจึงถึงลังกา
ได้จำพรรษาที่วัดบุปผาราม ณ ประเทศลังกา
และทำการอุปสมบทสามเณรสรณังกรเป็นภิกษุรูปแรก ซึ่งมีอายุถึง 54 ปีแล้ว
เป็นปลายสมัยพระเจ้าอยู่หัวบรมโกษฐ์ ใช้เวลา 4 ปี สามารถบวชได้ 6,000 รูป
พระอุบาลีเถระได้มรณภาพที่ลังกาในอีก 2-3 ปีต่อมา
พระเจ้ากิตติสิริราชสิงหะ พระองค์ทรงมอบเครื่องบรรณาการแก่พระเจ้าบรมโกษฐ์
คือ
1. พระไตรปิฎก
2. พระพุทธรูปทองคำ
ครั้งที่ 2 ไทยได้ส่ง พระภิกษุ คือ พระวิสุทธาจารย์ พระวรญาณมุนี
และพระจำนวน 20 รูป เณร 20 รูป รวมเป็น 42 รูปไปลังกา
ในครั้งนี้ไทยได้อัญเชิญพระทันตธาตุ จากลังกามาด้วย (
พระเขี้ยวแก้วของพระพุทธเจ้า)
สรุป พระพุทธศาสนากับกรุงศรีอยุธยา ตั้งแต่ต้น
เฉพาะกษัตริย์ที่เกี่ยวข้องกับพุทธศาสนา ดังนี้
1. พุทธศาสนาเป็นแบบลังกาวงศ์ กษัตริย์ทุกพระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะ
2.
ศิลป์และวรรณคดี เช่น ศิลป์ลพบุรี นิยมสร้างเป็นทรงพระปรางค์ข้าวโพด
และยังมีศิลป์แบบขอม ศิลป์แบบลพบุรีส่วนด้านวรรณคดี ได้แก่ มหาชาติคำหลวง
เป็นวรรณคดีที่สำคัญ (ต่อมามีชื่อเสียงสมัยพระบรมไตรโลกนารถ รัชกาลที่ 1 )
3. การปกครองคณะสงฆ์ แบ่งเป็น 2 คณะ (โดยเอาแบบมาจากกรุงสุโขทัย) คือ
- คามวาสี
- อรัญญวาสี
4. การศึกษา มีการศึกษาพระไตรปิฎก แบ่งเป็น คันถธุระ และวิปัสสนาธุระ
และการศึกษาส่วนใหญ่ก็ทำกันในพระราชวัง เช่น พระที่นั่งจอมทอง มณเฑียรธรรม
เป็นต้น.