ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม>>
พื้นฐานพระคริสตธรรมคัมภีร์
ธรรมชาติของมนุษย์
มนุษย์ส่วนใหญ่ใช้เวลาน้อยมากในการใคร่ครวญถึงความตายหรือแม้แต่ธรรมชาติของตัวเอง
ซึ่งเป็นชนวนพื้นฐานของความตาย
การขาดการสำรวจตนเองนำไปสู่การขาดความรู้เกี่ยวกับตัวเอง
และดังนั้นผู้คนจึงล่องไปตามกระแสชีวิตและตัดสินใจในเรื่องต่างๆ
ตามใจปรารถนา มีการปฏิเสธ - ปิดบังอย่างหนัก -
ที่จะคำนึงถึงความจริงที่ว่าชีวิตนั้นสั้นนัก
และความตายก็มาถึงเราเร็วเสียเหลือเกิน "ชีวิตของท่านเป็นเช่นใดเล่า
ท่านก็เป็นเช่นหมอกที่ปรากฏอยู่เพียงชั่วครู่ แล้วก็หายไป"
(ยากอบ 4:14) "คนเราจะต้องตายหมดด้วยกันทุกคน เป็นเหมือนน้ำที่หกบนแผ่นดิน
จะเก็บรวมกลับคืนมาอีกไม่ได้" (2 ซามูเอล 14:14)
"เหมือนหญ้าที่งอกขึ้นใหม่ในเวลาเช้า (ความเยาว์วัย)
มันก็บานออกและขึ้นใหญ่ ครั้นเวลาเย็นก็ร่วงโรย และเหี่ยวไป" (สดุดี
90:5-6) โมเสส ชายผู้ช่างคิด ตระหนักถึงเรื่องนี้ และทูลขอพระเจ้าว่า
"ขอพระองค์ทรงสอนให้นับวันของข้าพระองค์
เพื่อข้าพระองค์ทั้งหลายจะมีจิตใจที่มีปัญญา" (สดุดี 90:12)
ในช่วงชีวิตที่แสนสั้น เราจึงควรยกความมีปัญญาให้เป็นความสำคัญอันดับหนึ่ง
มนุษย์ตอบโต้จุดสุดท้ายของความตายแตกต่างกันออกไป
บางวัฒนธรรมพยายามทำให้การตายและพิธีฝังศพเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต
เพื่อลดความรู้สึกสูญเสียและความเป็นจุดจบ คริสเตียนส่วนมากสรุปว่ามนุษย์มี
วิญญาณอมตะ หรือมีความเป็นอมตะภายในตัว
และเดินทางไปยังสถานที่บางแห่งเพื่อรับรางวัลหรือโทษทัณฑ์
ความตายเป็นปัญหาขั้นพื้นฐานและโศกนาฎกรรมในประสบการณ์ของมนุษย์
เป็นที่คาดการณ์ไว้ว่ามนุษย์ใช้สมองอย่างหนักในการลดผลกระทบทางจิตใจเกี่ยวกับเรื่องนี้
ดังนั้น ทฤษฎีผิดๆ
มากมายเกี่ยวกับความตายและธรรมชาติของมนุษย์จึงถูกสร้างขึ้น
ทฤษฎีเหล่านี้จะต้องนำมาทดสอบกับพระคริสตธรรมคัมภีร์เพื่อค้นหาความจริง
เราควรจำไว้ว่า คำโป้ปดที่เกิดขึ้นเป็นครั้งแรกและถูกบันทึกไว้ในพระ
คริสตธรรมคัมภีร์คือ คำโป้ปดของงูในสวนเอเดน
แทนที่จะพูดอย่างตรงไปตรงมาอย่างที่พระเจ้าตรัสกับมนุษย์ว่ามนุษย์จะ
"ต้องตายแน่" ถ้าเขาทำบาป (ปฐมกาล 2:17) งูร้ายกล่าวว่า
"เจ้าจะไม่ตายจริงดอก" (ปฐมกาล 3:4)
ความพยายามที่จะปฏิเสธจุดจบและผลลัพธ์ของความตายกลายเป็นลักษณะอย่างหนึ่งของศาสนาเทียม
สามารถเห็นได้อย่างชัดเจนเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า คำสอนผิดๆ คำสอนหนึ่ง
นำไปสู่คำสอนผิดๆ อีกหนึ่งคำสอน อีกคำสอนหนึ่ง และอีกคำสอนหนึ่ง
ในทางตรงข้ามความจริงเรื่องหนึ่งนำไปสู่อีกเรื่องหนึ่ง ดังจะเห็นได้ใน 1
โครินธ์ 15:13-17 เปาโล
กระโดดจากความจริงหนึ่งไปสู่อีกความจริงหนึ่ง (สังเกตคำว่า
"ถ้า
.ถ้า
.ถ้า")
เราต้องพิจารณาสิ่งที่พระคริสตธรรมคัมภีร์พูดไว้เกี่ยวกับการเนรมิตสร้างมนุษย์เพื่อจะได้เข้าใจธรรมชาติจริงของเรา บันทึกในพระคริสตธรรมคัมภีร์เป็นภาษาธรรมดา ซึ่งถ้าเราดูตามตัวอักษร เราจะไม่มีข้อสงสัยเลย ว่าเราเป็นอย่างไรตามธรรมชาติ (ดู Digression 18 เกี่ยวกับการดูตามตัวอักษรในปฐมกาล) "พระเจ้าทรงปั้นมนุษย์ด้วยผงคลีดิน..เพราะเราสร้างเจ้ามาจากดิน เจ้าเป็นผงคลีดิน และจะต้องกลับเป็นผงคลีดินดังเดิม" (ปฐมกาล 2:7,3:19) ไม่มีอะไรสักนิดที่บอกว่ามนุษย์มีความเป็นอมตะ ไม่มีส่วนใดที่จะมีชีวิตอยู่บนโลกเมื่อเขาตายไป
มีข้อความในพระคริสตธรรมคัมภีร์ที่เน้นย้ำความจริงว่ามนุษย์ประกอบด้วยผงคลีดิน "ข้าพระองค์ทั้งหลายเป็นดินเหนียว" (อิสยาห์ 64:8) "มนุษย์เดิมนั้นกำเนิดจากดินและเป็นมนุษย์ดิน" (1 โครินธ์ 15:47) "รากฐานของเขาอยู่ในผงคลีดิน" (โยบ 4:19) "และมนุษย์จะกลับไปเป็นผงคลีดิน" (โยบ 34:14-15) อับราฮัมยอมรับว่าท่าน "เป็นเพียงผงคลีและขี้เถ้า" (ปฐมกาล 18:27) ทันทีที่มนุษย์ไม่เชื่อฟังคำบัญชาของพระเจ้า ในสวนเอเดน พระเจ้าทรง "ไล่ชายนั้นออกไป อย่าปล่อยให้เขายื่นมือไปหยิบผลต้นไม้แห่งชีวิตมากิน แล้วมีอายุยืนชั่วนิรันดร์" (ปฐมกาล 3:24,22) ถ้ามนุษย์มีความเป็นอมตะอยู่ การไล่มนุษย์ออกไปก็ไม่จำเป็น
|| หน้าถัดไป>>
1 พระเจ้า
2 พระวิญญาณของพระเจ้า
3 พระสัญญาของพระเจ้า
4 พระเจ้ากับความตาย
5 แผ่นดินของพระเจ้า
6 พระเจ้าและความชั่วร้าย
7 การบังเกิดพระเยซู
8 ธรรมชาติของพระเยซู
9 การรับบัพติศมา
10
ชีวิตในพระคริสต์