ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ธรรมบรรยายของ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราชฯ
แสงส่องใจ
คาเม วา ยทิวารญฺเญ นินฺเน วา ยทิวา ถเล
ยตฺถํ อรหนฺโต วิหรนฺเต ตํ ภูมิรามเณยฺยกํ
พระอรหันต์ทั้งหลายอยู่ในที่ใด คือบ้านก็ตาม ป่าก็ตาม ที่ลุ่มก็ตาม
ที่ดอนก็ตามที่นั้นย่อมเป็นภูมิน่ารื่นรมย์นี้เป็นพระพุทธภาษิต
เมื่อ 2627 ปีมาแล้ว ในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6 พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเสด็จจากดุสิตทิพยสถาน ลงทรงเสวยพระชาติเป็นมนุษย์ ดังเป็นที่เข้าใจกันมาแต่โบราณกาลนานนัก ว่าทรงได้รับกราบบังคมทูลเชิญจากพรหมเทพชั้นสูงผู้มีหน้าที่แวดล้อมรักษาพระพุทธบาท มีท่านท้าวจตุโลกบาล เป็นต้น ให้เสด็จลงทรงเสวยพระชาติในมนุษยโลก เพื่อทรงนำโลกมิให้ต้องว่างพระพุทธศาสนาอยู่ต่อไป นั่นก็คือเพื่อทรงดับทุกข์ดับร้อนของโลกที่ว่างพระพุทธศาสน
โลกยามว่างพระพุทธศาสนานั้นเป็นที่ปรากฎประจักษ์ชัดแจ้ง ว่าขาดความร่มเย็นเป็นสุข มีแต่ความรุ่มร้อนรุนแรงนานาประการ ดังรู้เห็นกันอยู่แล้วทุกถ้วนหน้าในเวลานี้ ที่เพียงถึงกึ่งพุทธกาลเท่านั้น พระพุทธศาสนายังไม่หมดสิ้นไปอย่างสิ้นเชิงจากโลก ความเดือดร้อนรุนแรงร้อยแปดพันประการก็เกิดขึ้นมิได้ว่างเว้น เป็นไปตามที่มีคำบอกกล่าวเล่าขานกันมาตลอดเป็นเวลานานนักแล้ว กึ่งพุทธกาลนี้คือ 2500 ปี ความผิดปกติก็ยังเกิดขึ้นครองโลกหนักหนา เป็นที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงนัก และยิ่งวันก็ยิ่งรุนแรงขึ้น อย่างเชื่อเชื่อ อย่างไม่น่าเป็นไปได้ ว่าบ้านเมืองที่เคยร่มเย็นเป็นสุข โดยเฉพาะบ้านเมืองของไทยเรานี้ จะมีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่างเหลือเชื่อเช่นทุกวันนี้ได้ น่าพิศวงและน่ากลัวอยู่มิใช่น้อย นี้เป็นความจริง ที่ย่อมไม่มีผู้ปฏิเสธ
พร้อมกับที่เห็นความรุนแรงน่าประหวั่นพรั่นพรึงในยุคกึ่งพุทธกาล ก็ย่อมเห็นกันทุกถ้วนหน้า ว่าพระพุทธศาสนาไม่ปรากฏอยู่ในจิตใจผู้คนเมื่อใด หรือปรากฏอยู่เพียงบางเบาเมื่อใด เมื่อนั้นความร่มเย็นเป็นสุขจักพลอยหมดสิ้นไปพร้อมกัน นี่แสดงถึงความยิ่งใหญ่แห่งพระพุทธานุภาพ หรืออานุภาพของพระพุทธศาสนา อานุภาพของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แต่ควรเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ความสำคัญแห่งพระพุทธศาสนาถูกละเลยอย่างเหลือเชื่อในปัจจุบัน คำทรงสอนในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าได้รับความสนใจเทิดทูนเป็นสิริมงคลยิ่งใหญ่ของชีวิตน้อยมาก นี่แหละเป็นเหตุแห่งความเดือดร้อนหนักหนาขึ้นของของโลกทุกวันเวลา โลกที่มีพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติไทย ชาติสำคัญชาติหนึ่งในโลก
ในฐานะสูงส่งสำคัญที่เราเป็นพุทธศาสนิกชน มีพระพุทธศาสนาเป็นสิริมงคลสูงสุดประจำชาติ ควรอย่างยิ่งที่จะคิดให้ถูกก่อนจะสายเกินไป คิดเสียแต่ในบัดนี้ ให้เห็นความผิดพลาดบกพร่องอย่างยิ่งของพวกเราชาวพุทธทั้งหลาย ที่มิได้คิดให้จริงจังเลยถึงความสำคัญที่สุดของพระพุทธศาสนา ที่จะสามารถพาไปสู่ความร่มเย็นเป็นสุขสวัสดีอย่างยิ่งได้ นี้เป็นความจริงที่เหมือนไม่จริง เพราะอานุภาพของพระพุทธศาสนานั้นยิ่งใหญ่จนเหลือเชื่อ แต่ผู้ไม่มีบุญเท่านั้นที่จะไม่เชื่อ ส่วนผู้มีบุญจะเชื่อ บุญมากเพียงไรก็จะเชื่อมากเพียงนั้น เทิดทูนปฏิบัติพระพุทธศาสนาเพียงนั้น นี้เป็นความจริง ที่ควรพากันเชื่อให้จริงเถิด จะได้พากันพ้นทุกข์พ้นร้อนนักหนา ที่พากันได้รับอยู่ในทุกวันนี้
วันที่ 2 เดือนมิถุนาย พระพุทธศักราช 2547 นี้ เป็นวันมหามงคลที่เวียนมาถึงอีกครั้งหนึ่ง ผู้ใดที่ยอมรับความจริง ว่าตนยังเทิดทูนพระพุทธศาสนาไม่เพียงพอเลย ยังต่ำมาก ยังน้อยมาก ไม่สมสิริมงคลยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา ก็ขอให้ถือโอกาสแก้ไขความบกพร่องอย่างยิ่งของจิตใจตน ในวาระที่วันมหามงคลเวียนมาถึง ในวันที่ 2 มิถุนายนนี้ ที่เป็นวันมหาบูชายิ่งใหญ่ของโลก มิใช่เพียงของเราผู้นับถือพระพุทธศาสนา มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รักเท่านั้น วันมหาบูชานั้นคือวันวิสาขบูชา วันที่สมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จลงสู่โลก ให้เกิดสิริมงคลพ้นพรรณนาแก่โลก ตราบเท่าทุกวันนี้
วันวิสาขบูชาคือวันขึ้น 15 ค่ำ พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ ในเดือน 6
เป็นวันที่เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม พระพุทธศักราช 2542
สหประชาชาติได้ประกาศความมีปัญญาสว่างไสว มีสัมมาทิฏฐิยิ่งใหญ่
โดยได้ประกาศยอมรับพระพุทธศาสนาเป็นวันสำคัญของโลก
โดยมีวันวิสาขบูชาเป็นวันบูชาวันหนึ่งของโลก วันแห่งสันติภาพโลก
สันติภาพที่รู้กันดีถ้วนหน้า
ว่าเป็นความสงบสุขที่ปรารถนาอย่างยิ่งของทุกชาติทุกศาสนา
และเป็นสันติภาพที่สหประชาชาติยอมรับอย่างเชื่อมั่นจริงใจต่อโลก
ว่าคือวันวิสาขบูชา วันเสด็จประสูติ วันทรงตรัสรู้ และวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน
แห่งสมเด็จพระบรมศาสดาจารย์สัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงพระคุณหาที่เปรียบมิได้
นั่นก็คือการยอมรับของสหประชาชาติ ต่อโลก
ว่าสันติภาพหรือความร่มเย็นเป็นสุขเกิดได้จากพระพุทธศาสนา
หรือสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า สมเด็จพระบรมครูของเราชาวพุทธ
และของพรหมเทพผู้ยิ่งใหญ่ในสวรรค์ชั้นฟ้าด้วยกัน
ชาวโลกทั้งหลาย รวมทั้งที่เป็นพุทธศาสนิกนับถือพระพุทธศาสนา และเป็นทั้งพุทธมามกะผู้มีพระพุทธศาสนาเป็นที่รัก แม้ยังไม่แจ้งแก่ใจในความยิ่งใหญ่แห่งสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็อาจเข้าใจได้ไม่ยากนัก เพียงนึกถึงวันวิสาขบูชา ที่เป็นทั้งวันเสด็จประสูติ ทรงตรัสรู้ และเสด็จดับขันธปรินิพพาน ว่าตรงกันทั้งสามมหาวาระ ถ้าไม่ใช่ไม่เป็นไปด้วยอำนาจความยิ่งใหญ่แห่งพระพุทธบารมี จะเป็นไปได้เพราะเหตุใด อย่าได้คิดแบบไร้ปัญญา ว่าเป็นการบังเอิญ ขอให้จำไว้อย่ารู้ลืม ว่าไม่มีคำว่าบังเอิญในการทุกอย่างที่เกี่ยวด้วยสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีบังเอิญในทุกเรื่องทุกการที่เกี่ยวเนื่องด้วยสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าท่าน ทุกเรื่องทุกสิ่งเป็นไปตามที่พระพุทธบารมีกำหนด แน่นอน
เจ้าชายสิทธัตถะมกุฎราชกุมารแห่งศากยะ เสด็จประสูติในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
เป็นวันพระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ คือวันวิสาขปุณณมี
หรือวันวิสาขบูชานั่นเอง หลังจากนั้น 35 ปี
มกุฎราชกุมารพระองค์นั้นทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ได้ทรงเป็นสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า คือทรงตรัสรู้เมื่อพระชนมายุ 35
พรรษา วันนั้นเป็นวันวิสาขปุณณมี หรือวันวิสาขบูชาเช่นกัน คือเป็นวันขึ้น 15
ค่ำ เดือน 6 พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ เช่นเดียวกับเมื่อวันเสด็จประสูติ
และหลังจากนั้นอีก 45 ปี
สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้นเสด็จดับขันธปรินิพพาน
คือเมื่อพระชนมายุ 80 พรรษา วันนั้นเป็นวันวิสาขปุณณมี
หรือวันวิสาขบูชาอีกเช่นกัน คือ เป็นวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 6
พระจันทร์เต็มดวงเสวยวิสาขฤกษ์ เช่นเดียวกับเมื่อวันเสด็จประสูติ
และเมื่อวันทรงตรัสรู้ และวันเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าจึงเกิดขึ้นตรงกันในวันวิสาขปุณณมี
หรือวันวิสาขบูชา ห่างกันด้วยปีเท่านั้น นับปีปัจจุบันคือพระพุทธศักราช 2547
ก็เสด็จประสูติมาแล้ว 2627 ปี
มาแล้ว ทรงตรัสรู้เมื่อ 2592 ปีมาแล้ว และเสด็จดับขันธปรินิพพานเมื่อ 2547
ปีมาแล้ว นั่นก็คือพระพุทธศักราชเริ่มเมื่อเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้วนั่นเอง
แม้เป็นผู้ชอบเรื่องอิทธิฤทธิ ปาฏิหาริย์ บารมี ไม่น่าจะมองข้ามความสูงสุดในเรื่องเหล่านี้ที่มียิ่งกว่าพร้อมในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีท่านผู้ใด หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดในโลกทั้งปวง จะพรั่งพร้อมด้วยอิทธิฤทธิ ปาฏิหาริย์ และบารมีเสมอด้วยสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าแน่นอน มีกรรมหนักหนานักที่มองข้ามความยิ่งใหญ่ที่สุดนี้ไปตามกันทั้งที่ชื่นชอบนักหนาในเรื่องเหล่านี้ ที่เป็นเพียงความสำคัญเล็กน้อยนักที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงมี ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณ พระปัญญาคุณ และพระปริสุทธิคุณ ที่ยิ่งใหญ่ สูงสุดเหนือความยิ่งใหญ่สูงส่งทั้งหลายทั้งปวง ในโลกทั้งนั้น ทรงเป็นพระผู้ทรงชนะที่ไม่กลับแพ้ก็ด้วยพระคุณทั้งสาม ทั้งด้วยพระคุณนี้ยังทรงสามารถนำผู้ไม่ดื้อกับพระองค์ เชื่อฟังปฏิบัติตามที่ทรงสอนอย่างจริงจังสม่ำเสมอ ให้ได้เป็นผู้ชนะที่ไม่กลับแพ้ เช่นเดียวกับพระพุทธองค์ มีจำนวนไม่น้อย ตั้งแต่ยังทรงพระชนมายุสังขารอยู่ และแม้จนทุกวันนี้ ที่เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่ทรงมีพระรูปกายให้ผู้ไม่มีตาหาเห็นได้ไม่
การเสด็จดับขันธปรินิพพานแห่งองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์หาได้เป็นเช่นเดียวกับการละโลกนี้ไปของสัตว์โลกทั้งหลาย
ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตมหาเถระ เคยเล่าไว้ว่า
พระพุทธองค์เคยเสด็จลงทรงสอนท่านในยามที่ท่านกำลังพยายามปฏิบัติตามคำทรงสอนเพื่อให้ถึงความเป็นผู้ชนะที่ไม่กลับเป็นผู้แพ้อีกต่อไป
อีกนัยหนึ่งก็คือให้ได้ไกลกิเลสสิ้นเชิง พ้นความเกิดแก่เจ็บตายตลอดไป
ไม่มีการต้องเวียนว่ายอยู่ในวัฏฏะ
ในขณะที่ท่านพระอาจารย์ท่านกำลังร่ำร้องต้องการพระมหากรุณามาช่วยให้ท่านบรรลุจุดมุ่งมาดปรารถนา
ได้โดยเสด็จสมเด็จพระบรมศาสดาถึงจุดสูงสุดที่หัวใจท่านร่ำร้องปรารถนาอยู่ทุกขณะจิต
และด้วยพระมหากรุณาคุณสมเด็จพระบรมศาสดาทรงปรากฎพระองค์ต่อหน้าท่านพระอาจารย์มั่นมหาเถระในขณะนั้น
ขณะที่ท่านกำลังปฏิบัติอยู่ในทางจงกรม ทรงแสดงตั้งแต่วิธีเดินจงกรม
ตลอดไปถึงวิธีทำจิตทำใจให้ไกลจากกิเลส ที่พระพุทธองค์ทรงได้ทรงถึงแล้ว
เป็นพระบริสุทธิคุณ ที่เกิดได้ด้วยพระปัญญาคุณที่บริบูรณ์พร้อม
และท่านพระอาจารย์มั่นก็สามารถ โดยเสด็จถึงจุดสูงสุดในพระพุทธศาสนา
คือความไกลกิเลสสิ้นเชิง พ้นการเวียนว่ายตายเกิด ได้เป็นผู้ชนะที่ไม่กลับแพ้
"ความชนะใดที่ไม่กลับแพ้ ความชนะนั้นดี" นี้เป็นภาษิตสำคัญประการหนึ่งใน
พระพุทธศาสนา พระคุณทั้ง 3
องค์ในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ทรงแสดงแก่ท่านพระอาจารย์มั่น
จนเป็นเหตุสำคัญให้ท่านพระอาจารย์ได้เป็นพระสำคัญ
ได้ปฏิบัติแทนพระพุทธองค์อยู่ทุกวันนี้ ที่น่าจะเป็นเหตุให้ได้คิด
ว่าสมเด็จพระบรมศาสดาเสด็จดับขันธปรินิพพาน ทรงพ้นไปแต่พระรูปกาย
ที่เพียงผู้ไม่มีตาเท่านั้นที่หาเห็นไม่ แต่ความยิ่งใหญ่ด้วยพระอิทธิฤทธิ
พระปาฏิหาริย์ พระบารมี หาได้พ้นไปพร้อมกับพระรูปกาย
กรณีท่านพระอาจารย์มั่นเป็นเหตุให้มั่นใจได้สำหรับผู้รู้ใช้ปัญญาทั้งหลาย
อันความพิเศษยิ่งใหญ่แห่งพระอรหันตเจ้าในพระพุทธศาสนานั้น
น่าจะมีหลายท่านเคยรู้เคยเห็นมาแล้ว
จึงมีความเชื่อมั่นในความพิเศษสุดแห่งธัมมะในพระพุทธศาสนา
ที่สามารถทำความเป็นพิเศษไม่มีเสมอเหมือนแก่ผู้ปฏิบัติเกิดผลแล้ว
มีหลายท่านเคยฟังท่านพระอาจารย์ชอบ ฐานสโม
หรือที่หลายคนสมัยนี้เรียกท่านว่าหลวงปู่ชอบ
เล่าให้ฟังว่าท่านเคยเกิดเป็นราชาแห่งพญานาค คือเป็นพญานาคราชใหญ่
มีบริษัทบริวารมาก และจนมาถึงปัจจุบันชาติ แม้ท่านจะได้เป็นมนุษย์แล้ว
พ้นแล้วจากความเป็นพญานาคราช แต่ท่านก็ยังมีความสำคัญแก่พญานาคมากหลาย
ท่านเล่าไว้ว่าเคยมีผู้ขอให้ท่านช่วยทำให้ฝนตกเพื่อให้เกิดน้ำยามแล้งจัด
เมื่อท่านรับอาราธนาไปสู่ที่นั้น พญานาคจำนวนมากก็จะไปด้วย ท่านเล่าว่า
พญานาคจะไปกันทั้งครอบครัว ช่วยกันพ่นน้ำฟู่ฟู่
เป็นเหตุให้เป็นฝนตกหนักทั่วบริเวณนั้น สิ้นแล้วอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์นี้เกิดได้แม้เมื่อท่านพระอาจารย์ท่านที่ท่านว่าเคยเป็นพญานาคราชในอดีตชาติ
แต่มาในชาติที่เป็นมนุษย์แล้วท่านก็ยังบันดาลให้เกิดความมหัศจรรย์ได้
พระพุทธศาสนาไม่น่าได้รับการเทิดทูนอย่างยิ่งหรือในด้านของอิทธิฤทธิปาฏิหาริย์
ที่ชอบกันในบุคคลหมู่คณะหนึ่ง
แสงส่องใจ
พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนอะไร
พุทธวิธีควบคุมความคิด
วิธีสร้างบุญบารมี