ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

สมถะวิปัสสนา

อุปมานิวรณ์ธรรม ๑

เปรียบเหมือน น้ำปนสี น้ำเดือด น้ำมีแหน น้ำเป็นคลื่น น้ำขุ่น

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า สมัยใด บุคคลมีใจอันกามราคะกลุ้มรุม อันกามราคะครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งธรรมอันเป็นเครื่องสลัดออกจากกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้นบุคคลย่อมไม่รู้ไม่เห็นตามความเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ตน แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่น แม้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย มนต์ที่ทำสาธยายตลอดกาลนาน ก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำ ซึ่งระคนด้วย ครั่ง ขมิ้นสีเขียว หรือสีเหลืองอ่อน บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะอันเต็มไปด้วยน้ำนั้น ไม่ถึงรู้พึงเห็นตามความจริง แม้ฉันใด สมัยใด บุคคลมีใจอันกามระคะกลุ้มรุม อันกามราคะครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งธรรมอันเป็นเครื่องสลัดออกแห่งกามราคะที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยบุคคลย่อมไม่รู้ไม่เห็นตามความเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ตน แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่น แม้ซึ่งประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย มนต์แม้ที่ทำการสาธยายมาตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ได้สาธยาย ฉันนั้นเหมือนกัน

อีกประการหนึ่งสมัยใด บุคคลมีใจพยาบาทกลุ้มรุม อันพยาบาทครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริงซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้นบุคคลย่อมไม่รู้ไม่เห็นตามความเป็นจริงแม้ในประโยชน์ตน แม้ในประโยชน์ผู้อื่น แม้ในประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่ายแม้มนต์ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ได้ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำร้อนเพราะไฟ เดือดพล่านเป็นไอ บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น ไม่พึงรู้พึงเห็นตามความเป็นจริง แม้ฉันใด สมัยใดบุคคลอันมีใจพยาบาทกลุ้มรุม อันพยาบาทครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งพยาบาทที่เกิดขึ้นแล้ว สมัยนั้นบุคคลย่อมไม่รู้ไม่เห็นตามความเป็นจริง แม้ซึ่งประโยชน์ของตน แม้ซึ่งประโยชน์ผู้อื่น แม้ประโยชน์ทั้ง ๒ ฝ่าย แม้มนต์ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย ฉันนั้นก็เหมือนกัน

อีกประการหนึ่งสมัยใด บุคคลมีใจอันถีนมิทธะกลุ้มรุม อันถีนมิทธะครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ แม้มนต์ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ได้ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำอันปนด้วยสาหร่าย และแหนปกคลุมแล้ว บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น ไม่พึงรู้พึงเห็นตามความเป็นจริง แม้ฉันใด สมัยใดบุคคลอันมีใจถีนมิทธะกลุ้มรุม อันถีนมิทธะครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งถีนมิทธะที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ แม้มนต์ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย ฉันนั้นก็เหมือนกัน

อีกประการหนึ่งสมัยใด บุคคลมีใจอันอุทธัจจะกุกกุจจะกลุ้มรุม อันอุทธัจจะกุกกุจจะครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุทธัจจะกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ แม้มนต์ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ได้ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำอันลมพัดไหว วนเป็นคลื่น บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น ไม่พึงรู้พึงเห็นตามความเป็นจริง แม้ฉันใด สมัยใดบุคคลอันมีใจอุทธัจจะกุกกุจจะกลุ้มรุม อันอุทธัจจะกุกกุจจะครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งอุทธัจจะกุกกุจจะที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ แม้มนต์ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย ฉันนั้นก็เหมือนกัน

อีกประการหนึ่งสมัยใด บุคคลมีใจอันวิจิกิจฉากลุ้มรุม อันวิจิกิจฉาครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ แม้มนต์ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ได้ทำการสาธยาย เปรียบเหมือนภาชนะที่เต็มด้วยน้ำขุ่น มัวเป็นตมที่เขาวางไว้ในที่มืด บุรุษมีตาดีมองดูเงาหน้าของตนในภาชนะที่เต็มด้วยน้ำนั้น ไม่พึงรู้พึงเห็นตามความเป็นจริง แม้ฉันใด สมัยใดบุคคลอันมีใจวิจิกิจฉากลุ้มรุม อันวิจิกิจฉาครอบงำอยู่ และย่อมไม่รู้ชัดตามความเป็นจริง ซึ่งธรรมเป็นเครื่องสลัดออกแห่งวิจิกิจฉาที่เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯ แม้มนต์ที่ทำการสาธยายตลอดกาลนานก็ไม่แจ่มแจ้ง ไม่ต้องกล่าวถึงมนต์ที่ไม่ทำการสาธยาย ฉันนั้นก็เหมือนกัน

<< ย้อนกลับ | สารบัญ | หน้าถัดไป >>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย