ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>

แนวคิดทฤษฎีหลังสมัยใหม่
Postmodern theory

Deleuze and Guattari: Schizos, Nomads, Rhizomes

"ในทุกวันนี้เราอาศัยอยู่ในยุคของวัตถุต่างๆ, ก้อนอิฐ ก้อนหิน ที่แตกออกเป็นชิ้นๆ และเศษดินเศษทรายเล็กๆน้อยๆที่เหลืออยู่... พวกเราไม่เชื่อในความคิดรวบยอดเบ็ดเสร็จเดิมๆอีกแล้วซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีอยู่ หรือเชื่อมั่นในความเป็นทั้งหมดในท้ายที่สุดที่รอคอยเรา ณ วันเวลาแห่งอนาคตในวันใดวันหนึ่งข้างหน้า" (Deleuze and Guattari 1983: p.42)

"ทฤษฎีอันหนึ่งที่ไม่ได้เหมารวมหมด; มันเป็นเครื่องมืออันหนึ่งสำหรับการเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ และมันยังคูณตัวมันเองอีกด้วย... นั่นคือสิ่งที่เป็นในธรรมชาติของอำนาจที่จะรวมตัว และ... ทฤษฎีนั้น โดยธรรมชาติแล้วตรงข้ามหรือเป็นปรปักษ์กับอำนาจ" (Deleuze 1977a: p.208)

Gilles Deleuze และ Felix Guattari ได้ร่วมหัวจมท้ายในการผจญภัยเข้าไปในโพสท์โมเดิร์น ซึ่งพวกเขาพยายามที่จะสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ๆของความคิด, งานเขียน, ความเป็นอัตบุคคล, และการเมืองขึ้นมา. ขณะที่พวกเขาไม่ได้รับเอาวาทกรรมเกี่ยวกับโพสท์โมเดิร์นมาใช้ และ Guattari (1986) ได้โจมตีมันในฐานะที่เป็นคลื่นลูกใหม่ของ cynicism (ลัทธิซีนิก ซึ่งเชื่อว่ามนุษย์ถูกกระตุ้นโดยความเห็นแก่ตัว พวกนี้จะละทิ้งอารยธรรมและขนบจารีตเพื่อปลดเปลื้องตัวเองให้เป็นอิสระ) และอนุรักษ์นิยม

แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาคือตัวแทนที่น่ายกย่องของฐานะตำแหน่งเกี่ยวกับโพสท์โมเดิร์นในความพยายามอย่างเต็มที่ ที่จะถอดถอนปลดเปลื้องความเชื่อต่างๆของโมเดิร์นในเรื่องของเอกภาพ(unity), ลำดับชั้นสูงต่ำ, เอกลักษณ์, รากฐานต่างๆ, อัตบุคคล และ การเป็นตัวแทน, ขณะเดียวกันก็ให้การสรรเสริญหลักการต่างๆในทางตรงข้ามเกี่ยวกับความแตกต่าง และความหลากหลายในทางทฤษฎี, การเมือง, และชีวิตประจำวัน.

หนังสือที่มีอิทธิพลมากที่สุดแห่งยุคของพวกเขาคือ Anti-Oedipus (1983; orig. 1972) เป็นการวิจารณ์ปลุกปั่นอันหนึ่งเกี่ยวกับวาทกรรมและสถาบันต่างๆของความเป็นสมัยใหม่ ซึ่งได้มาระงับความปรารถนาและแพร่ขยายความเป็นอัตบุคคลแบบฟาสซิสท์ ที่สิงสู่อยู่ในขบวนการต่างๆของการปฏิวัติ. Deleuze และ Guattari เป็นนักทำสงครามการเมือง และบางทีเป็นพวกที่มีความกระตือรือร้นมากในการให้การสนับสนุนการเมืองขนาดเล็กต่างๆ(micropolitics) เกี่ยวกับความปรารถนาที่จะเร่งการเปลี่ยนแปลงอย่างถอนรากถอนโคนให้เกิดขึ้นโดยการปลดปล่อยความปรารถนาออกมา

ผลที่ตามมาจากเหตุนี้ พวกเขาได้คาดการณ์ถึงความเป็นไปได้เกี่ยวกับแบบของโพสท์โมเดิร์นใหม่อันหนึ่งของการดำรงอยู่ ที่ที่ปัจเจกได้เอาชนะรูปแบบต่างๆของโมเดิร์นที่มากดบีบเกี่ยวกับเรื่องของเอกลักษณ์ และภาวะหยุดนิ่ง ที่จะกลายไปเป็นผู้ที่ร่อนเร่ไปตามความปรารถนาในกระบวนการต่อเนื่องเกี่ยวกับความเหมาะสมและการแปรสภาพ

Deleuze เป็นศาสตราจารย์ทางด้านปรัชญา ผู้ซึ่งในช่วงปีทศวรรษที่ 1950s และ 1960s ได้ให้ความสนใจในการศึกษาเกี่ยวกับแนวคิดของ Spinoza, Hume, Kant, Nietzsche, Bergson, Proust และคนอื่นๆ. ส่วน Guattari เป็นนักจิตวิเคราะห์แนวปฏิบัติ ซึ่งนับแต่ช่วงทศวรรษที่ 1950s ได้ทำงานที่คลีนิคการทดลองทางด้านจิตเวชศาสตร์, La Borde. เขาได้รับการฝึกฝนทางด้านจิตวิเคราะห์แนว Lacanian, เป็นคนที่มีความกระตือรือร้นทางการเมืองนับจากช่วงต้นๆ และได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ต่างๆเดือนพฤษภาคม 1968. เขาได้ร่วมงานกับนักทฤษฎีชาวอิตาเลี่ยน Antonio Negri (Guattari and Negri 1990) และได้ถูกนำเข้าไปเกี่ยวพันกับการเคลื่อนไหวเพื่อปกครองตนเอง ซึ่งพยายามให้ได้มาซึ่งขบวนการปฏิวัติที่เป็นอิสระภายนอกโครงสร้างต่างๆขององค์กรพรรคการเมืองทั้งหลาย

Deleuze และ Guattari ทั้งสองประกอบอาชีพต่างกัน และได้มารวมกันเป็นครั้งแรกในปี ค.ศ.1969 เมื่อพวกเขาเริ่มงาน Anti-Oedipus. อันนี้ได้รับการตามมาด้วย Kafka: Toward a Minor Literature(1986; orig. 1975), A Thousand Plateaus (1987; orig. 1980), และนอกจากนี้ยังมีผลงานต่างๆที่ต่างคนต่างทำอีกเป็นจำนวนมาก



มีความสนใจมากมายที่มีความคล้ายคลึงและความแตกต่างกันระหว่างผลงานของพวกเขากับ Foucault. ที่เหมือนกันกับ Foucault ก็คือ Deleuze ได้รับการฝึกฝนมาทางด้านปรัชญา และ Guattari ได้ทำงานอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชศาสตร์ และได้มีความสนใจในความรู้ทางด้านการแพทย์ในฐานะที่เป็นรูปแบบหนึ่งซึ่งมีความสำคัญเกี่ยวกับการควบคุมทางสังคม. Deleuze และ Guattari ได้ดำเนินรอยตามวิถีทางหรือแนวโน้มทั่วๆไปเกี่ยวกับการวิจารณ์ของ Foucault เกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่(modernity). คล้ายๆกับ Foucault, ความใส่ใจที่เป็นแกนกลางสำคัญของพวกเขาก็คือ เรื่องของความเป็นสมัยใหม่ ในฐานะที่เป็นขั้นตอนประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับการครอบงำ ซึ่งมีพื้นฐานอยู่บนการแพร่ขยายของวาทกรรมเกี่ยวกับการทำให้เป็นปกติ(normalizing discourse) และสถาบันต่างๆที่แพร่หลายไปทั่วในทุกๆด้านเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของสังคมและในชีวิตประจำวัน

แต่อย่างไรก็ตาม มุมมองทางทัศนียวิทยาแบบภาพกว้างของพวกเขาต่อความเป็นสมัยใหม่ค่อนข้างจะแตกต่างกัน. สิ่งที่เด่นชัดมากที่สุดก็คือ ในขณะที่ Foucault มีแนวโน้มที่จะวิพากษ์ในลักษณะรวมๆทั้งหมดเกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่, Deleuze และ Guattari กลับค้นหาเพื่อที่จะสร้างทฤษฎีและแยกให้เห็นแง่มุมหรือด้านที่เป็นบวกและมีลักษณะปลดปล่อยของมัน การถอดระหัสเกี่ยวกับการไหลเลื่อนของแรงขับทางเพศ(libidinal)ที่นำไปสู่พลวัตรต่างๆของเศรษฐกิจแบบทุนนิยม(the decoding of libidinal flows initiated to the dynamics of the capitalist economy).

ไม่เหมือนกันกับ Foucault, ผลงานของ Deleuze และ Guattari เป็นงานที่วิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความรู้และเรื่องของเหตุผลไม่มากนัก กล่าวคือ เขาทั้งสองวิจารณ์เรื่องเหล่านี้น้อยกว่าเรื่องของสังคมทุนนิยม; ผลที่ตามมา การวิเคราะห์ต่างของพวกเขาได้ให้ความไว้วางใจและความเชื่อมั่นต่อปริมณฑลต่างๆเกี่ยวกับขนบจารีตแบบมาร์กซิสท์มากกว่างานของ Foucault. แต่อย่างไรก็ตาม ที่เหมือนๆกันกับ Foucault คือ พวกเขาไม่ได้แสดงตัวหรือถือว่าพวกเขาเป็นมาร์กซิสท์ และปฏิเสธระเบียบวิธีในหลักวิภาษวิธีสำหรับตรรกะแบบโพสท์โมเดิร์นเกี่ยวกับความแตกต่าง, ทัศนียวิทยาแบบภาพกว้าง, และการแตกออกเป็นชิ้นๆ. ขณะเดียวกัน ทั้งสามได้มองภาพระยะใกล้ข้างหน้าและเห็นถึงความสำคัญของโครงสร้างขนาดเล็กที่สร้างเป็นทฤษฎีเกี่ยวกับการครอบงำขึ้นมา. Deleuze และ Guattari ค่อนข้างกล่าวออกมาอย่างชัดเจนถึงความสำคัญของโครงสร้างขนาดใหญ่ด้วย และได้พัฒนางานวิจารณ์ที่ลงลึกไปในรายละเอียดเกี่ยวกับรัฐ

ยิ่งไปกว่านั้น ขณะที่การเน้นของ Foucault เจาะจงลงไปที่เทคโนโลยีต่างๆที่เกี่ยวกับเรื่องระเบียบวินัยของความเป็นสมัยใหม่ และพุ่งเป้าไปที่ร่างกายที่ตกอยู่ภายใต้ระบบกฎเกณฑ์ของอำนาจ/ความรู้(power/knowledge). Deleuze และ Guattari กลับเพ่งความสนใจไปที่การทำให้เป็นอาณานิคมเกี่ยวกับความปรารถนาขึ้นมา(the colonization of desire) โดยวาทกรรมและสถาบันสมัยใหม่หลายหลาก. ขณะเดียวกัน ความปรารถนาเป็นแนวเรื่องรองอันหนึ่งในวงศ์วานวิทยาหลังๆของ Foucault เกี่ยวกับอัตบุคคล(subject), แต่สำหรับ Deleuze และ Guattari มันเป็นสิ่งสำคัญแรกสุดเลยทีเดียว

ผลลัพธ์ที่ตามมา วิธีการจิตวิเคราะห์, แนวความคิดเกี่ยวกับการยับยั้งชั่งใจ, การพัวพันอยู่กับ Freudo-Marxism, และการวิเคราะห์เกี่ยวกับครอบครัวและลัทธิฟาสซิสม์จึงแสดงบทบาทสำคัญยิ่งในงานของ Deleuze และ Guattari ยิ่งกว่างานของ Foucault, แม้ว่าการวิจารณ์ของพวกเขาเกี่ยวกับจิตวิเคราะห์จะสร้างขึ้นมาบนการวิจารณ์ของ Foucault เกี่ยวกับ Freud, จิตเวชศาสตร์, และวิทยาศาสตร์มนุษย์ก็ตาม

ในทางที่แย้งกันกับ Foucault ซึ่งเน้นเรื่องธรรมชาติการสร้างอำนาจ และปฏิเสธสมมุติฐานเกี่ยวกับการระงับ-ปราบปราม, Deleuze และ Guattari พร้อมที่จะพูดถึงเรื่องการระงับ-ปราบปรามเกี่ยวกับความปรารถนาอย่างเต็มที่ และพวกเขาได้ทำเช่นนั้น, เพราะพวกเขาได้สร้างแนวคิดที่มีสาระสำคัญอันหนึ่งเกี่ยวกับความปรารถนาขึ้นมา. นอกจากนี้ เจตนาและความตั้งใจของ Deleuze และ Guattari ที่ให้การสนับสนุนการให้เสรีภาพทางด้านร่างกายและความปรารถนา ยืนหยัดอยู่ในความขัดแย้งที่แหลมคมกับความเห็นพ้องหรือการเข้าข้างของ Foucault ที่มีต่อโครงการ"เกรโค-โรมัน" ในเรื่องเกี่ยวกับการควบคุมตัวตน(Foucault's sympathies to the Greco-Roman project of mastering the self).

อย่างไรก็ตาม นักทฤษฎีทั้งสามคนนี้พยายามที่จะกระจายชนชั้นกลางออกจากการเป็นศูนย์กลาง และทำการชำระสะสางเรื่องอัตบุคคลของมนุษย์(humanist subject). Foucault ติดตามเรื่องราวดังกล่าวโดยผ่านวิธีการโบราณคดีและวงศ์วานวิทยาเชิงวิพกาษ์(a critical archaeology and genealogy)ที่ได้ลดทอนอัตบุคคลลงมาสู่การเป็นผลของวาทกรรมและปฏิบัติการในเรื่องของวินัย, ขณะที่ Deleuze และ Guattari ได้ติดตามเรื่องของการทำลายล้างในลักษณะ schizophrenic (เกี่ยวกับจิตเภท)ของ ego และ super-ego โดยเห็นด้วยกับจิตไร้สำนึกที่เป็นพลวัตร

แม้ว่าต่อมาภายหลัง Foucault จะปรับทัศนะต่างๆของเขาในเรื่องของอัตบุคคล แต่นักทฤษฎีทั้งสามคนนี้ก็ปฏิเสธความคิดโมเดิร์นนิสท์เกี่ยวกับอัตบุคคลที่เป็นแบบเดียวกัน, ความมีเหตุมีผล, และการแสดงออก และพยายามที่จะทำให้เกิดความเป็นไปได้ของการปรากฏตัวขึ้นมาของแบบฉบับใหม่อันหนึ่งของอัตบุคคลที่กระจายออกจากศูนย์กลาง(decetered subjects), และได้รับการปลดปล่อยให้เป็นอิสระจากสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวเกี่ยวกับเอกลักษณ์ต่างๆที่เป็นแบบเดียวกันและการกำหนดตายตัว, และมีอิสระที่จะกระจายไป พร้อมทั้งมีลักษณะหลากหลาย, ที่ได้รับการก่อตัวขึ้นมาอีกครั้งในฐานะที่เป็นแบบฉบับใหม่อันหนึ่งความเป็นอัตบุคคลและร่างกายต่างๆ(new types of subjectivities and bodies).

นักเขียนทั้งสามคนได้แสดงให้เห็นการนับถือกันอย่างสูงสำหรับผลงานต่างๆของแต่ละคน. ในหนังสือของเขาเรื่อง Foucault (1988; orig. 1986 p.14), Deleuze ต้อนรับทักทาย Foucault ในฐานะนักคิดใหม่ในระดับถอนรากถอนโคนคนหนึ่ง ซึ่งผลงานของเขาเป็นตัวแทนของก้าวย่างที่แจ่มชัดมากที่สุด กระนั้นก็ให้การยอมรับในปฏิบัติการทางทฤษฎีเกี่ยวกับความหลากหลายต่างๆ. สำหรับในส่วนของ Foucault เอง(1977; p.213) อ้างว่า ผลงานของ Deleuze และ Guattari มีอิทธิพลอย่างสำคัญต่อทฤษฎีของเขาเกี่ยวกับเรื่องอำนาจ และได้เขียนบทนำที่ยกย่องสรรเสริญผลงานเรื่อง Anti-Oedipus.

ในงานวิจารณ์แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับผลงานของ Deleuze ใน "Theatrum Philosophicum" (1977: pp. 165-96), Foucault ยกย่องเขาสำหรับงานเขียนที่วิพากษ์วิจารณ์ปริมณฑลต่างๆทางปรัชญาตะวันตก และสรรเสริญในความรู้ที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์. และที่ Foucault แสดงความถ่อมตัวมากครั้งหนึ่ง คือการเอ่ยคำพูดออกมาในเชิงดูหมิ่นฐานะตำแหน่งหรือที่ทางของตัวเขาเองในประวัติศาสตร์ ดังเช่นที่เขาเคยกล่าวว่า (1977; p.165) "บางทีสักวันหนึ่ง, ศตวรรษนี้จะถูกรู้จักในฐานะที่เป็นวันเวลาของแนวคิดแบบ Deleuzian"

ในการสนทนากันเรื่อง "Intellectuals and Power" (Foucault 1977: pp.205-17), สุ้มเสียงของ Foucault และ Deleuze ได้ผสมผสานคลุกเคล้ากันอย่างอิสระในโครงการที่มีส่วนร่วมกันอันหนึ่งเกี่ยวกับการสร้างนิยามความหมายใหม่ขึ้นมาทางทฤษฎี ซึ่งมักจะปฏิบัติกันอยู่แล้วเสมอ ในส่วนตัวของแต่ละคน

Foucault and the Critique of Modernity
ฟูโกและการวิจารณ์เกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่

Deleuze and Guattari: Schizos, Nomads, Rhizomes

Baudrillard en route to Postmodernity
Baudrillard ในเส้นทางสู่ความเป็นหลังสมัยใหม่

Lyotard and Postmodern Gaming
Lyotard และการเล่นเกมโพสท์โมเดิร์น

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย