ปรัชญา อภิปรัชญา ญาณวิทยา จิตวิทยา ตรรกศาสตร์ >>
แนวคิดทฤษฎีหลังสมัยใหม่
In Search of the Postmodern
ในการค้นหาเกี่ยวกับ โพสท์โมเดิร์น
ในสองทศวรรษที่ผ่านมา การถกเถียงกันเกี่ยวกับโพสท์โมเดิร์นได้มีอิทธิพลต่อฉากทางด้านศิลปวัฒนธรรมและวงวิชาการในหลายสาขาทั่วโลก.
ในด้านทฤษฎีสุนทรียศาสตร์และวัฒนธรรม
การโต้เถียงกันปรากฏตัวขึ้นมาท่ามกลางศิลปะลัทธิโมเดิร์น
ไม่ว่ามันศิลปะในยุคโมเดิร์นจะยังคงดำเนินต่อไป หรือยังไม่ตายก็ตาม
แต่ศิลปะแนวโพสท์โมเดิร์นกำลังไล่หลังตามมาติดๆ. ในทางปรัชญา
ข้อถกเถียงกันต่างๆได้ปะทุขึ้นมาในความสนใจ
ไม่ว่าขนบจารีตของปรัชญาสมัยใหม่จะสิ้นสุดลงแล้วหรือไม่ก็ตาม
แต่หลายต่อหลายคนเริ่มให้การยกย่องปรัชญาโพสท์โมเดิร์นที่ไปเชื่อมโยงกับ
เกี่ยวเนื่องกันกับงานของ Nietzche, Heidegger, Derrida, Rorty, Lyotard,
และคนอื่นๆ.
บรรดาผู้ให้การสนับสนุนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่โพสท์โมเดิร์น
ได้วิพากษ์วัฒนธรรม, ทฤษฎี, และการเมืองแนวขนบจารีตยอย่างรุนแรง
ขณะเดียวกันพวกที่ให้การปกป้องเกี่ยวกับขนบประเพณีแบบโมเดิร์นก็ตอบโต้ด้วยการเมินเฉยหรือทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ต่อพวกที่ท้าทายใหม่ๆ
และมีการโจมตีพวกดังกล่าวกลับไป
นอกจากนี้บางคนก็มีปฏิกริยาตอบโต้ด้วยการพยายามที่จะเรียนรู้เรื่องราวของโพส์ทโมเดิร์นด้วยความยากลำบาก
และแย่งชิงวาทกรรมใหม่ๆและฐานะตำแหน่งต่างๆเหล่านี้เอาไว้
บรรดานักวิจารณ์เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่โพสท์โมเดิร์นหรือหลังสมัยใหม่
ให้เหตุผลว่า
มันเป็นเพียงแฟชั่นความนิยมเพียงชั่วครั้งชั่วคราวที่จะผ่านเลยไป(Foucault 1986/7;
Guattari 1986), และบางคนก็กล่าวว่า
มันเป็นนวัตกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์ที่ดูเรียบร้อยภายนอกอันหนึ่งของปัญญาชนทั้งหลาย
ในการแสวงหาเกี่ยวกับวาทกรรมใหม่และต้นตอหรือแหล่งที่มาของทุนทางวัฒนธรรม(Britton
1988), หรือแม้แต่นักอุดมคติแนวอนุรักษ์นิยมอีกคน
ก็วิจารณ์ว่าเป็นความพยายามที่จะลดทอนคุณค่าทฤษฎีโมเดิร์นและค่านิยมต่างๆเกี่ยวกับการปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระลงมา(Habermas
1981 and 1987a). แต่การปรากฎตัวขึ้นมาของวาทกรรมต่างๆของโพสท์โมเดิร์น
และสิ่งที่ยังไม่เป็นที่เข้าใจเหล่านี้ได้หยิบยกประเด็นปัญหาต่างๆขึ้นมา
ซึ่งแสดงถึงการต่อต้านและปฏิเสธที่จะรวมเข้าไปอยู่กับกระบวนทัศน์ทั้งหลายซึ่งเป็นที่ยอมรับกันแล้วอย่างละมุนละม่อม
ในทัศนะที่กว้างขวางเกี่ยวกับข้อโต้แย้งในเรื่องของโพสท์โมเดิร์น
เราเสนอที่จะสร้างคำอธิบายและแยกแยะความแตกต่างระหว่างการแสดงออกมาอย่างชัดเจนในสิ่งที่สำคัญที่สุดเกี่ยวกับทฤษฎีโพสท์โมเดิร์น
กับ การที่จะพยายามชี้ให้เห็นถึงฐานะตำแหน่งที่เป็นแกนหลักสำคัญของมัน
เพื่อสร้างความเข้าใจอย่างถ่องแท้ และมองหาข้อจำกัดต่างๆที่มีอยู่. กระนั้นก็ตาม
ดังที่เราจะได้เห็นว่า มันไม่มีทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นที่เป็นหน่วยเดียวหรือเอกภาพ
หรือแม้แต่สภาพการณ์ใดๆที่เชื่อมโยงสอดคล้องต้องกันที่มีลักษณะรวมกันเป็นเนื้อเดียวกัน
ตรงกันข้าม
ทฤษฎีหนึ่งทฤษฎีใดอาจจะถูกโจมตีโดยความหลากหลายแตกต่างระหว่างทฤษฎี ซึ่งบ่อยครั้ง
รวมเข้าด้วยกันเป็นก้อนในฐานะที่เป็นทฤษฎีโพสท์โมเดิร์น และทฤษฎีพหุนิยม -
ซึ่งก็ขัดแย้งกันอยู่บ่อยๆ - เกี่ยวกับสภาพการณ์ของโพสท์โมเดิร์น .
ทฤษฎีหนึ่งทฤษฎีใดยังอาจถูกโจมตีโดยความคิดที่ไม่แข็งแรงมากพอ
หรือยังอยู่ภายใต้การสร้างให้เป็นทฤษฎีขึ้นมาได้ด้วยเกี่ยวกับ"โพสท์โมเดิร์น"
ในทฤษฎีต่างๆซึ่งรับเอามา หรือถูกแสดงตัวหรืออธิบายในเทอมดังกล่าว
เพื่อความกระจ่างชัดเกี่ยวกับคำซึ่งเป็นกุญแจสำคัญบางคำในครอบครัวของแนวความคิดเกี่ยวกับโพสท์โมเดิร์น
มันจะเป็นประโยชน์มากที่จะจำแนกให้เห็นอย่างชัดเจนระหว่างวาทกรรมต่างๆของโมเดิร์นและโพสท์โมเดิร์นออกจากกัน(see
Featherston 1988). ซึ่งในบทนี้ ท่านจะพบกับเนื้อหาดังกล่าว
สำหรับการเริ่มต้น
เราอาจต้องจำแนกความแตกต่างระหว่าง"ความเป็นสมัยใหม่"(modernity)ที่ได้รับการทำให้เป็นแนวคิดขึ้นมาในยุคโมเดิร์น
กับ "ความเป็นหลังสมัยใหม่"(postmodernity)ในฐานะที่เป็นศัพท์ใหม่คำหนึ่ง
ซึ่งได้มาอธิบายถึงยุคสมัยที่ตามมาของความเป็นสมัยใหม่(modernity)ที่พูดถึง.
มันมีวาทกรรมมากมายเกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่
ซึ่งต่อมาภายหลังมันมีคุณสมบัติของความเป็นหลังสมัยใหม่
และศัพท์คำดังกล่าวยังเป็นการพูดถึงความหลากหลายในการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ,
การเมือง, สังคม, และวัฒนธรรมด้วย
ความเป็นสมัยใหม่(modernity) ดังที่ถูกทำให้เป็นทฤษฎีขึ้นมาโดย Marx,
Weber, และคนอื่นๆ, เป็นศัพท์ที่เกี่ยวกับยุคสมัยทางประวัติศาสตร์
ซึ่งอ้างอิงถึงยุคสมัยที่ต่อมาจาก"ยุคกลาง"(Middle Ages)
หรือลัทธิศักดินา(feudalism). สำหรับบางคน
ความเป็นสมัยใหม่ถูกทำให้ตรงข้ามกับสังคมตามจารีตประเพณีเดิมๆ
และถูกสร้างอัตลักษณ์ของตัวมันขึ้นมาโดยสิ่งประดิษฐ์หรือนวัตกรรมใหม่, ความแปลก,
และความเป็นพลวัตร(Berman 1982).
วาทกรรมต่างๆในทางทฤษฎีของความเป็นสมัยใหม่นับจาก Descartes จนมาถึง the
Enlightenment (ยุคสว่างหรือยุคแห่งพุทธิปัญญา)
และลูกหลานของมันที่ให้การสนับสนุนเรื่องราวของเหตุผลนั้น
ต่างถือว่า"เหตุผล"เป็นต้นตอของ"ความก้าวหน้า"ในด้านความรู้และความเจริญของสังคม
เช่นเดียวกับฐานะตำแหน่งที่เป็นสิทธิพิเศษของความจริง(truth)
และรากฐานของความรู้ที่เป็นระบบ
"เหตุผล"ได้รับการเข้าใจว่า
ตัวมันเองมีความสามารถที่จะค้นพบบรรทัดฐานทางด้านทฤษฎีและการปฏิบัติอย่างเพียงพอ
ซึ่งระบบคิดและการกระทำสามารถที่จะได้รับการสร้างขึ้นมา
และสังคมสามารถได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน.
โครงการยุคสว่างหรือยุคแห่งพุทธิปัญญานี้(Enlightenment
project)ยังเป็นสิ่งที่นำไปปฏิบัติและมีอิทธิพลในอเมริกา, ฝรั่งเศส,
และประเทศที่มีการปฏิวัติประชาธิปไตยอื่นๆด้วย
ซึ่งพยายามที่จะล้มล้างโลกแห่งศักดินาลง
และสร้างระเบียบสังคมที่ยุติธรรมและความเสมอภาคขึ้นมา
ที่จะทำให้เหตุผลและความก้าวหน้าของสังคมเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา (Toulmin 1990).
ความเป็นสมัยใหม่ในทางสุนทรียะ
ปรากฏตัวขึ้นมาในความเคลื่อนไหวของพวกขบวนการทางศิลปะแนวหน้าของบรรดาโมเดิร์นนิสท์(the
new avant-garde modernist movements)
และบรรดาวัฒนธรรมรองต่างๆที่ไม่ยึดถือตามขนบจารีต(behemian subcultures)
ซึ่งกบฎต่อแง่มุมที่แปลกแยกของความเป็นอุตสาหกรรมและความเป็นเหตุเป็นผล
ขณะเดียวกันก็แสวงหาการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมและค้นหาความสามารถของตนเองในเชิงสร้างสรรค์อย่างเต็มที่ในทางศิลป[to
find creative self-realization in art]
ความเป็นสมัยใหม่ได้เข้ามาสู่ชีวิตประจำวันโดยผ่านการโปรยปรายของศิลปสมัยใหม่
ผลผลิตต่างๆของสังคมบริโภค เทคโนโลยี
และลักษณะหรือวิธีการเกี่ยวกับการขนส่งและการสื่อสาร.
พลวัตรต่างๆและความเป็นสมัยใหม่ได้สร้างโลกอุตสาหกรรมและอาณานิคมใหม่ขึ้นมา
ซึ่งสามารถจะได้รับการอธิบายในฐานะที่เป็น"การทำให้เป็นสมัยใหม่"(modernization)
[สำหรับศัพท์คำว่า modernization เป็นศัพท์ที่แสดงถึงขบวนการเหล่านั้นของ
การทำให้เป็นปัจเจก, การทำให้เป็นเรื่องทางโลก, การทำให้เป็นอุตสาหกรรม,
ความแตกต่างทางวัฒนธรรม, การทำให้เป็นสินค้า, การทำให้มีความเป็นเมือง,
การทำให้เป็นระบบราชการ, และการทำให้เป็นเหตุผล
ซึ่งรวมเข้าด้วยกันได้ก่อให้เกิดโลกสมัยใหม่ หรือ modern world ขึ้นมา]
กระนั้นก็ตาม การสร้างความเป็นสมัยใหม่ขึ้นมา
ได้ผลิตความทุกข์ยากและความเจ็บปวดที่ไม่ได้มีการเปิดเผยหรือบอกกล่าวล่วงหน้าเอาไว้เกี่ยวกับบรรดาผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของมัน
ซึ่งไล่เลียงได้นับจาก ชาวไร่, ชาวนา, กรรมกร,
และช่างฝีมือทั้งหลายที่ถูกกดขี่โดยการทำให้เป็นอุตสาหกรรมของนายทุน
จนกระทั่งถึงการกีดกันผู้หญิงออกไปจากปริมณฑลสาธารณะ
และไปจนถึงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์เกี่ยวกับการทำให้เป็นอาณานิคมของนักจักรวรรดิ์นิยมทั้งหลาย
ความเป็นสมัยใหม่ยังได้สร้างสถาบันทั้งหลายที่เกี่ยวกับระเบียบวินัยขึ้นมา
ปฏิบัติการต่างๆ
และวาทกรรมหลายหลากที่ทำให้วิธีการต่างๆของมันในการครอบงำและบังคับควบคุมเป็นไปอย่างถูกต้องตามกฎหมาย.
ด้วยเหตุนี้ ใน The `dialectic of Enlightenment'
(หลักวิภาษวิธีของยุคสว่าง)(Horkheimer and Adorno 1972)
จึงได้อธิบายถึงขบวนการอันหนึ่ง
ซึ่ง"ความเป็นเหตุเป็นผล"ได้เปลี่ยนแปลงไปสู่ภาวะที่ตรงข้ามกันกับตัวมัน
และคำทั่นสัญญาของความเป็นสมัยใหม่เกี่ยวกับการปลดปล่อยมนุษย์ให้เป็นอิสระ
กลายเป็นหน้ากากของการกดขี่และการครอบงำ. กระนั้นก็ตาม
บรรดาผู้ปกป้องเกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่((Habermas 1981, 1987a, and 1987b)
อ้างว่า "มันมีศักยภาพที่ยังไม่บรรลุผล"(unfulfilled potential)
และมีทรัพยากรต่างๆที่จะเอาชนะข้อจำกัดต่างๆ และผลของการทำลายล้างเหล่านี้
แต่อย่างไรก็ตาม บรรดานักทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นอ้างว่า
ในสังคมร่วมสมัยที่มีความไฮเทคทางด้านสื่อ,
กระบวนการต่างๆที่เร่งด่วนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงและการแปรผัน
สิ่งเหล่านี้กำลังผลิตสังคมโพสท์โมเดิร์นใหม่อันหนึ่งขึ้นมา
และผู้ที่ให้การสนับสนุนมันทั้งหลายอ้างว่า
ยุคของความเป็นโพสท์โมเดิร์นได้ก่อให้เกิดภาวะทางประวัติศาสตร์ที่แปลกใหม่อันหนึ่ง
และการก่อตัวขึ้นมาของสังคมวัฒนธรรมที่ไม่เหมือนเดิม
ซึ่งต้องการแนวความคิดและทฤษฎีใหม่ๆมารองรับ
บรรดานักทฤษฎีเกี่ยวกับความเป็นโพสท์โมเดิร์น (Baudrillard, Lyotard,
Harvey, ฯลฯ) ให้เหตุผลว่า เทคโนโลยีต่างๆอย่างเช่น คอมพิวเตอร์และสื่อ,
รูปแบบใหม่ของความรู้,
และการเปลี่ยนแปลงในระบบสังคมเศรษฐกิจต่างๆกำลังสร้างรูปแบบทางสังคมหลังสมัยใหม่อันหนึ่งขึ้นมา.
Baudrillard และ lyotard
ได้ตีความพัฒนาการต่างๆเหล่านี้ในเทอมของแบบฉบับที่แปลกใหม่ของข้อมูล, ความรู้,
และเทคโนโลยี, ขณะที่บรรดานักทฤษฎีนีโอ-มาร์กซิสท์ทั้งหลาย อย่าง Jameson และ
Harvey ได้ตีความ โพสท์โมเดิร์น
ในเทอมต่างๆของพัฒนาการเกี่ยวกับขั้นตอนที่สูงกว่าของลัทธิทุนนิยม(higher stage of
capitalism)
ซึ่งมันได้รับการทำเครื่องหมายขึ้นมาโดยการแทรกซึมของทุนในระดับที่สูงขึ้น
และการทำให้เป็นเนื้อเดียวกันข้ามโลก
กระบวนการต่างๆเหล่านี้กำลังสร้างการแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยทางวัฒนธรรมเพิ่มขึ้นด้วย
รวมไปถึงการเปลี่ยนแปลงในประสบการณ์เกี่ยวกับพื้นที่ว่างและเวลา,
และลักษณะใหม่ๆของประสบการณ์, ความเป็นตัวตน, และวัฒนธรรม.
เงื่อนไขต่างๆเหล่านี้ได้ให้พื้นฐานสังคมเศรษฐกิจและรากฐานทางวัฒนธรรมสำหรับทฤษฎีโพสท์โมเดิร์น
และการวิเคราะห์ของมันได้ให้มุมมองและทัศนียภาพต่างๆจากสิ่งซึ่งทฤษฎีโพสท์โมเดิร์น
สามารถอ้างได้ว่าอยู่บนแถวหน้าสุดของพัฒนาการร่วมสมัย
นอกจากความแตกต่างกันระหว่าง"ความเป็นสมัยใหม่"และ"ความเป็นหลังสมัยใหม่"ในปริมณฑลของทฤษฎีทางสังคมแล้ว,
วาทกรรมเกี่ยวกับหลังสมัยใหม่หรือโพสท์โมเดิร์น
ยังแสดงบทบาทสำคัญในอาณาเขตของสุนทรียศาสตร์และทฤษฎีทางวัฒนธรรมด้วย. ในที่นี้
ข้อถกเถียงได้ไปเกี่ยวพันรายรอบความแตกต่างระหว่างลัทธิสมัยใหม่และลัทธิหลังสมัยใหม่ในศิลปกรรมต่างๆ
ภายใต้วาทกรรมนี้ "ลัทธิสมัยใหม่"
อาจถูกนำมาใช้เพื่ออธิบายถึงขบวนการทางศิลปะของยุคโมเดิร์น (ลัทธิ impressionism,
l'art our l'art, expression, surrealism, และขบวนการแนวหน้าอื่นๆ หรือ avant-garde
movements),
ขณะที่"ลัทธิหลังสมัยใหม่"สามารถอธิบายถึงรูปแบบและปฏิบัติการต่างๆทางสุนทรีย์ที่หลากหลายซึ่งตามมาทีหลัง
และแตกหักกับลัทธิสมัยใหม่. รูปแบบเหล่านี้รวมเอาสถาปัตยกรรมของ Robert Venturi และ
Philip Johnson, การทดลองทางด้านดนตรีของ John Cage, ผลงานศิลปะของ Warhol และ
Rauschenberg, นวนิยายต่างๆของ Pynchon และ Ballard, และงานภาพยนตร์อย่างเช่นเรื่อง
Blade Runner หรือ Blue Velvet.
ข้อถกเถียงกันเหล่านี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ว่ามันใช่หรือไม่ใช่ข้อแตกต่างทางแนวคิดอันแหลมคมระหว่างลัทธิสมัยใหม่และลัทธิหลังสมัยใหม่
และลักษณะที่ดีและข้อจำกัดต่างๆเกี่ยวกับขบวนการต่างๆเหล่านี้
วาทกรรมต่างๆเกี่ยวกับหลังสมัยใหม่
ยังปรากฎตัวในขอบเขตของทฤษฎีและการโฟกัสลงบนการวิจารณ์เกี่ยวกับทฤษฎีสมัยใหม่
และข้อถกเถียงกันต่างๆสำหรับความแตกร้าวของทฤษฎีหลังสมัยใหม่. ทฤษฎีสมัยใหม่ -
ไล่ลำดับจากโครงการปรัชญาของ Descartes, ไปจนถึง the Enlightenment,
จนกระทั่งถึงทฤษฎีทางสังคมของ Comte, Marx, Weber และคนอื่นๆ - ได้ถูกวิจารณ์
ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการแสวงหาของมันเพื่อวางรากฐานอันหนึ่งเกี่ยวกับความรู้,
การทำให้เป็นสากล และข้ออ้างแบบรวมทั้งหมด,
ความหยิ่งผยองของมันต่อการค้นหาความจริงที่อยู่เหนือคำโต้แย้ง
และลัทธิเหตุผลอันหลอกลวงและน่าสงสัยของมัน. โดยในทางที่แย้งกัน
บรรดาผู้ปกป้องเกี่ยวกับทฤษฎีสมัยใหม่
ได้โจมตีลัทธิสัมพัทธนิยมหลังสมัยใหม่(postmodern relativism),
ลัทธิความไร้เหตุผล(irrationalism), และสุญนิยม(nihilism)
ยิ่งไปกว่านั้น
ทฤษฎีหลังสมัยใหม่ยังวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการเป็นตัวแทนความจริง
และความเชื่อสมัยใหม่ที่ว่าทฤษฎีเป็นกระจกเงาสะท้อนความจริง
โดยแทนที่ฐานะสภาพทางทัศนียวิทยาและลักษณะสัมพัทธ์ที่ว่า ทฤษฎีต่างๆ
อย่างเก่งที่สุด ก็เพียงให้ทัศนียภาพเพียงบางส่วนของวัตถุต่างๆ
และการเป็นตัวแทนของการรับรู้ทั้งหมดเกี่ยวกับโลกนั้นเป็นเพียงสื่อกลางทางประวัติศาสตร์และทางภาษาเท่านั้น
ทฤษฎีหลังสมัยใหม่หรือโพสท์โมเดิร์นบางทฤษฎี
ปฏิเสธอย่างสอดคล้องต้องกันเกี่ยวกับทัศนียภาพขนาดใหญ่(macroperspective)ทั้งหมดในเรื่องของสังคมและประวัติศาสตร์
ซึ่งได้รับการชื่นชอบโดยทฤษฎีสมัยใหม่หรือโมเดิร์น
ทฤษฎีหลังสมัยใหม่เห็นด้วยและให้การสนับสนุนเกี่ยวกับทฤษฎีเล็กๆและการเมืองขนาดเล็ก(microthery
and micropolitics)(Lyotard 1984a)
ทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นยังปฏิเสธข้อสันนิษฐานต่างๆของทฤษฎีโมเดิร์นเกี่ยวกับความสอดคล้องกันทางสังคม
และความคิดเห็นต่างๆเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นเหตุเป็นผล.
ทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นสนับสนุนความหลากหลาย, ลักษณะพหุวิสัย,
การแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย, และลักษณะที่ไม่แน่นอนคลุมเครือ
นอกจากนี้
ทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นยังละทิ้งเรื่องของเหตุผลและอัตบุคคลที่เป็นหน่วยเดียว(unified
subject)ซึ่งได้รับการยืนยันโดยทฤษฎีโมเดิร์นเป็นจำนวนมาก
ด้วยการสนับสนุนการกระจายออกจากศูนย์กลางทางสังคมและทางภาษา
และอัตบุคคลที่แตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย(fragmented subject)
ด้วยเหตุนี้ เพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนเกี่ยวกับแนวคิด
ในที่นี้จึงอยากจะใช้ศัพท์คำว่า"ความเป็นหลังสมัยใหม่"(
postmodernity)เพื่ออธิบายถึงยุคสมัยที่ตามมาหลังจาก"ความเป็นสมัยใหม่"(modernity),
และใช้คำว่า"ลัทธิหลังสมัยใหม่"(postmodernism)เพื่ออรรถาธิบายถึงขบวนการต่างๆและสิ่งประดิษฐ์ที่มนุษย์สร้างขึ้นในขอบเขตทางวัฒนธรรม
ที่สามารถได้รับการจำแนกแยกแยะจากขบวนการต่างๆของสมัยใหม่(modernist),
รวมไปถึงตำรับตำราทั้งหลาย และปฏิบัติการต่างๆ
เรายังแยกความแตกต่างระหว่าง"ทฤษฎีสมัยใหม่"(modern theory) กับ
"ทฤษฎีหลังสมัยใหม่"(postmodern theory)ด้วย,
เช่นเดียวกับระหว่าง"การเมืองสมัยใหม่"(modern
politics)ซึ่งได้ถูกสร้างอัตลักษณ์ขึ้นมาโดยพรรคการเมือง, รัฐสภา,
หรือการเมืองแบบสหภาพแรงงาน(trade union politics -
รูปแบบองค์กรทางการเมืองที่รวมตัวกันโดยคนงานเพื่อต่อรองกับนายจ้าง)
ในทางที่ตรงข้ามกันกับ"การเมืองหลังสมัยใหม่"(postmodern
politics)ที่เชื่อมสัมพันธ์กับการเมืองขนาดเล็กที่มีฐานของท้องถิ่น(locally base
micropolitics) ซึ่งท้าทายต่อขบวนการอันกว้างขวางของวาทกรรมต่างๆ
และรูปแบบที่ถูกทำให้เป็นสถาบันต่างๆขึ้นมาของอำนาจ
เพื่อให้ความกระจ่างและความสว่างต่อความสับสนและวาทกรรมหลากรูปแตกต่างกันของโพสท์โมเดิร์น
อันดับแรก เราจะนำเสนอวิธีการทางโบราณคดีหรือการขุดค้นเกี่ยวกับคำศัพท์
อธิบายอย่างละเอียดถึงประวัติศาสตร์ของมัน การนำมาใช้ในช่วงแรกๆ
และความหมายที่ขัดแย้งกันต่างๆ. ต่อจากนั้น
เราจะไปดูกันถึงพัฒนาการเกี่ยวกับทฤษฎีโพสท์โมเดิร์นร่วมสมัยในบริบทของช่วงหลังทศวรรษที่
1960s ในประเทศฝรั่งเศส
ที่ซึ่งแนวความคิดเกี่ยวกับเงื่อนไขของโพสท์โมเดิร์นใหม่อันหนึ่งกลายมาเป็นแนวทางหรือแก่นแกนสำคัญในช่วงปลายทศวรรษที่
1970s. และในหัวข้อ 1.3
เราจะเสก็ตภาพให้เห็นถึงข้อสงสัยและการซักไซ้ไล่เรียงของเราเกี่ยวกับทฤษฎีโพสท์โมเดิร์น
และทัศนียภาพที่จะช่วยนำทางข้อซักถามของเราไปจนตลอดของหนังสือเล่มนี้
Foucault
and the Critique of Modernity
ฟูโกและการวิจารณ์เกี่ยวกับความเป็นสมัยใหม่
Deleuze and Guattari:
Schizos, Nomads, Rhizomes
Baudrillard
en route to Postmodernity
Baudrillard
ในเส้นทางสู่ความเป็นหลังสมัยใหม่
Lyotard
and Postmodern Gaming
Lyotard
และการเล่นเกมโพสท์โมเดิร์น
- อ้างอิง : สมเกียรติ ตั้งนโม.2544. ตามรอยแนวคิดทฤษฎีหลังสมัยใหม่ : ทฤษฎีโพสท์โมเดิร์น.