ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม >>
อาการเจ็บป่วยที่เกิดขึ้นเนื่องจากอำนาจของครูหมอมโนห์รา
พิธีกรรมกับกระบวนการรักษาเยียวยา
บทวิเคราะห์
ทิศทางการดำรงอยู่ของมโนห์รา
สาเหตุที่ทำให้มโนห์ราในปัจจุบันเกิดการเปลี่ยนแปลง
บทวิเคราะห์
ด้วยเหตุที่ระบบการแพทย์มีให้เลือกมากขึ้นและสะดวกขึ้น
โอกาสที่ผู้ป่วยตัดสินใจที่จะรักษาด้วยวิธีทางการแพทย์แบบสมัยใหม่จึงมีมากกว่า
เนื่องจากความสะดวกรวดเร็วและผ่านการยอมรับว่ามีความถูกต้องตามหลักวิทยาศาสตร์กว่าวิธีอย่างอื่น
แต่เมื่อรักษาไม่ได้ผลจึงย้อนกลับไปเลือกการรักษาพื้นบ้านแบบดั้งเดิมตามความเชื่อที่ตนเองได้รับการถ่ายทอดมาและอาศัยญาติพี่น้องหรือคนใกล้ชิดเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะรักษาเยียวยาอย่างไรด้วยวิธีใด
ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดทางด้าน การแพทย์พื้นบ้าน (Ethnomedicine)
ซึ่งเป็นระบบการแพทย์ที่มีฐานความรู้ความคิดเป็นวัฒนธรรมที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กับความเชื่อ
ประเพณีหรือพิธีกรรมของชุมชน
เป็นลักษณะเฉพาะกลุ่มที่มีผลต่อการกำหนดความเป็นไปของสมาชิกกลุ่ม
โดยมีจุดร่วมที่สำคัญที่สุดคือเป็นลักษณะของเครือข่ายสังคมที่มีประสบการณ์การรับรู้ร่วมกัน
เช่น มีความทุกข์ใจร่วมกัน มีความวิตกกังวลร่วมกัน
ประเมินอาการร่วมกันว่าการเจ็บป่วยนั้นรุนแรงมากน้อยเพียงใด ป่วยเป็นอะไร
เพราะสาเหตุใดและช่วยตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาเยียวยาที่เห็นว่าน่าจะมีประสิทธิภาพที่สุดร่วมกัน
ซึ่งปรากฏการณ์การเจ็บป่วยทั้งตัวรูปแบบของการเจ็บป่วยและการตอบสนองต่อการเจ็บป่วยของชาวบ้านจะได้รับอิทธิพลโดยตรงจากกระบวนการทางวัฒนธรรมของชาวบ้านเอง
กรณีของการเลือก มโนห์รา ในการรักษาโรคก็เช่นเดียวกันถือได้ว่า
เป็นระบบการแพทย์พื้นบ้านที่มีวิธีการอาศัยอำนาจเหนือธรรมชาติโดยการใช้พิธีกรรมทางไสยศาสตร์ในการแก้ไขปัญหาการเจ็บป่วย
ซึ่งรูปแบบของพิธีกรรมมีขั้นตอนต่างๆ มากมาย โดยเฉพาะ มโนห์รา
ได้เข้ามามีบทบาทสำคัญในทุกขั้นตอนของพิธีกรรม
ตั้งแต่การหาสาเหตุของการเจ็บป่วยจนถึงขั้นตอนของการรักษาเยียวยาซึ่งเป็นรูปแบบของการแก้บน
พบว่าพิธีกรรมต่างๆ
ทุกขั้นตอนมีพื้นฐานมาจากความคิดความเชื่อที่มีความเคารพศรัทธาต่อสิ่งที่มีอำนาจเหนือธรรมชาติ
ในกรณีนี้คือ ครูหมอมโนห์รา ซึ่งเป็นบรรพบุรุษของผู้ที่มีเชื้อสายมโนห์รา
โดยมีความเชื่อว่าครูหมอมโนห์ราจะลงโทษถ้าลูกหลานมีการกระทำผิดและสามารถดลบันดาลให้เกิดการเจ็บป่วยมีอาการแบบ
มโนห์ราย่าง ตามความเชื่อที่ได้รับการถ่ายทอดสืบต่อกันมา
โดยที่การแก้ไขมีวิธีเดียวคือ การขอขมาลาโทษ
และผู้ที่สามารถเยียวยารักษาได้ก็มีเพียง ครูหมอมโนห์รา เท่านั้น
ซึ่งวิธีการจะผ่านพิธีกรรมดังกล่าวข้างต้น
จากที่ได้มีการทบทวนและพูดคุยกับผู้ที่มีประสบการณ์ในการรับการรักษาเยียวยาโดยอาศัยพิธีกรรมของมโนห์รา
มีสิ่งที่น่าสังเกตน่าสนใจก็คือ ทำไมผู้ป่วยทุกรายเมื่อเลือกใช้ มโนห์รา
เป็นทางเลือกในการรักษาและมีการดำเนินขั้นตอนของพิธีกรรมตามความคิดความเชื่อ
มักจะหายขาดจากการเจ็บป่วยทุกรายหลังจากเสร็จสิ้นพิธีกรรมแล้ว
เหตุที่เป็นเช่นนี้น่าจะเป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและการเยียวยารักษาแบบการแพทย์พื้นบ้านเป็นไปอย่างช่วยเหลือเกื้อกูลกัน
มีหลักของคุณธรรมและความเมตตาเป็นองค์ประกอบ
เนื่องจากภายใต้พื้นฐานวัฒนธรรมความเชื่อแบบที่หยั่งรากลึกในสำนึกของชุมชน
พิธีกรรม
ดูจะเป็นรูปแบบของการขจัดปัดเป่าหรือเยียวยารักษาโรคภัยไข้เจ็บที่มาคุกคามสุขภาพของผู้ป่วยได้อย่างชัดเจนที่สุด
โดยเฉพาะกระบวนการการรักษาที่มีขั้นตอนอันนำไปสู่การคลี่คลายความวิตกกังวล
ซึ่งเป็นภาวะทางจิตใจของผู้ป่วย สามารถสะท้อนถึงปรัชญาการรักษาโรคที่ถือว่า
มนุษย์เป็นหน่วยของชีวิตที่ประกอบด้วยร่างกายและจิตใจ การที่สุขภาพกายจะดีได้นั้น
จะต้องมีสุขภาพจิตที่ดีด้วย ได้อย่างดีที่สุด
อิทธิพลของจิตใจที่มีอยู่เหนือร่างกายมนุษย์นั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน
ขณะที่การแพทย์สมัยใหม่ที่ยึดเอาความถูกต้องเที่ยงตรงสามารถพิสูจน์ตรวจวัดได้ด้วยประสาทสัมผัสไม่สามารถเข้าถึงเรื่องราวทางจิตใจได้
เพราะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ได้จำกัดการเรียนรู้ของมนุษย์ไว้ในขอบเขตของวัตถุเท่านั้น
แต่อย่างไรก็ตามระบบการแพทย์สมัยใหม่และระบบการแพทย์พื้นบ้านก็มีความใกล้เคียงกันในเรื่องของการวินิจฉัยโรค
โดยพบว่า โรคที่เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างจิตใจและร่างกาย คือ
โรคทางร่างกายที่มีสาเหตุมาจากจิตใจ (Psychosomatic disease) แสดงให้เห็นชัดว่า
สภาพจิตใจที่วิตกกังวล ฟุ้งซ่าน เครียด เซ็งหรือหวาดระแวง สามารถทำให้เกิดโรคต่างๆ
ได้ในทุกระบบของร่างกาย ดังที่ นายแพทย์ประเวส วะสี (2533 : 6) กล่าวว่า
สุขภาพมีตัวกำหนดที่เชื่อมโยงกันในสามมิติ (ไตรมิติ) คือ ชีวมิติ จิตมิติ
สังคมมิติ หมายถึง สิ่งที่เกิดขึ้นกับกายก็กระทบกับจิตและสังคมได้
สิ่งที่เกิดขึ้นกับจิตก็กระทบกายและสังคมได้และสิ่งที่เกิดขึ้นกับสังคมก็กระทบกับกายและจิตใจได้
สอดคล้องกับแนวคิดของ ดร. สุรีย์ กาญจนวงค์ (2536:37) ที่กล่าวว่า
สิ่งที่กำหนดการเจ็บป่วยเกิดจากการเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันระหว่าง ชีวะ-จิต-สังคม
เนื่องเพราะสังคมมีพลังกดดันให้บุคคลเกิดความเครียดและแสดงออกมาทางร่างกายได้
โดยเฉพาะสังคมที่มีวัฒนธรรมความคิดความเชื่อเฉพาะเป็นของตนเองก็ยิ่งมีส่วนทำให้เกิดการเจ็บป่วยได้ตามความคิดความเชื่อนั้นได้โดยง่าย
ตรงตามแนวคิด ทฤษฎีจิตเวชพื้นบ้าน (Ethnopsychiatry)
ที่ได้จากการศึกษาปัญหาทางจิตใจในระบบการแพทย์พื้นบ้านซึ่งพบว่า
บทบาททางวัฒนธรรมความคิดความเชื่อมีผลต่อสาเหตุของการเกิดโรคและการเยียวยารักษา
สำหรับการใช้มโนห์ราในบทบาทของการแพทย์พื้นบ้านของชาวไทยทางภาคใต้นี้
สอดคล้องกับแนวคิดของ ฟอสเตอร์ (Foster:1978)
ที่มองว่ารูปแบบดังกล่าวเป็นการกระทำของชาวบ้านโดยทัศนะของชาวบ้านเอง
การรักษาแบบการแพทย์พื้นบ้าน
บางส่วนมีหลักการพื้นฐานอยู่บนการสร้างจินตนาการให้เกิดพลังที่มีผลต่อการรักษาโรคได้โดยการใช้สถานภาพและบทบาททางสังคมที่กำหนดให้นั่นเอง
ซึ่งการรักษาจะเป็นการมองคนไข้ในฐานะของผู้ที่กำลังเผชิญกับความทุกข์อันเกิดจากความเจ็บป่วย
ใช้ความสามารถที่เข้าถึงอารมณ์และความรู้สึกของผู้ป่วยและญาติได้ดีโดยมีพิธีกรรมที่เสริมสร้างกำลังใจ
มีขั้นตอนและองค์ประกอบต่างๆ ที่ก่อให้เกิดความเชื่อถือศรัทธา เช่น ขณะทำพิธี
สมาธิของทุกคนจะจดจ่อกับพิธีกรรม
ทำให้ความวิตกกังวลลดน้อยลงและโอกาสที่จะหายขาดจากการเจ็บป่วยมีความเป็นไปได้สูง
กรณีของพิธีกรรม มโนห์รา สัญลักษณ์ของเครื่องดนตรี ทำนองดนตรี
บทร้อง ท่ารำรวมถึงขั้นตอนต่างๆ
ของพิธีกรรมก็น่าจะเป็นอีกองค์ประกอบหนึ่งที่ส่งผลต่อการหายจากการเจ็บป่วย
เพราะสัญลักษณ์ดังกล่าวถือเป็นการสื่อแบบ Dramatic Art คือ
มีศิลปะสอดแทรกประกอบให้เห็นและเป็นการสื่อแบบละเอียดอ่อนแฝงไว้ด้วยความเมตตาปราณี
ส่งผลให้ผู้เจ็บป่วยและญาติพี่น้องเกิดความเชื่อถือศรัทธา สภาพจิตใจก็ดีขึ้น
ความวิตกกังวลลดน้อยลง โอกาสที่จะหายจากการเจ็บป่วยจึงมีความเป็นไปได้สูง