ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม >>

ประวัติเครื่องแต่งกาย

» สาเหตุที่มนุษย์มีการแต่งกายแตกต่างกัน

» การแต่งกายไทยตามสมัยประวัติศาสตร์และโบราณคดี

» การแต่งกายสมัยรัตนโกสินทร์

» การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของการใช้เสื้อผ้าในแต่ละยุคสมัย

» การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของการใช้เครื่องประดับในแต่ละยุคสมัย

» การแต่งกายของชาวเขาในประเทศไทย

» การแต่งกายชาวเอเซีย

» การแต่งกายชาวตะวันออกกลางและยุโรป

» การแต่งกายของยุโรปตอนเหนือ

» แนวความคิดในการออกแบบเครืองแต่งกายจากสมัยต่าง ๆ

การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาการของการใช้เครื่องประดับในแต่ละยุคสมัย

ในสังคมเมืองเริ่มแรก (ยุคโลหะ) ก็ได้มีการคิดค้นเสาะหาสิ่งของอื่น ๆ ที่ค้นพบในสมัยต่อ ๆ มา ไม่ว่าจะเป็นความรู้ในการหลอมโลหะ เช่น สัมฤทธิ ทองแดง ทองคำ หรือเงิน หรือการหลอมแก้ว ตลอดจนการสรรหาอัญมณีต่าง ๆ มาใช้เป็นเครื่องประดับต่าง ๆ เช่น ทำเป็นสร้อยคอ ต่างหู กำไลมือ กำไลข้อเท้า แหวน เป็นต้น

และในสมัยประวัติศาสตร์ รูปแบบของเครื่องประดับก็พัฒนาไปจากที่เรียบง่ายเป็นรูปแบบ ที่มีความงาม ซึ่งต้องใช้ความรู้และเทคนิคที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น อันก่อให้เกิดศัพท์ที่เรียกว่า ถนิมพิมพาภรณ์

ในระยะต่อมาเมื่อสังคมของมนุษย์ในยุคสังคมเมือง เริ่มรวมตัวกันเป็นกลุ่มชนใหญ่ มี หัวหน้าปกครองดูแล และได้เจริญขึ้น เป็นเมือง มีเจ้าเมืองปกครอง และเมื่อเจ้าเมืองมีอำนาจขึ้น สามารถขยายอำนาจครอบคลุมอาณาบริเวณได้กว้างขวางขึ้น มีการจัดตั้งเป็นรัฐหรืออาณาจักร มี การติดต่อกับคนต่างถิ่นและคนในแดนไกล เจ้าเมืองได้เปลี่ยนไปมีฐานะเป็นกษัตริย์ขึ้น ถนิม พิมพาภรณ์หรือเครื่องประดับซึ่งแต่เดิมเป็นการประดับประดา ได้กลายมาเป็นสิ่งที่แสดงถึง ฐานันดรศักดิในสังคมของ ผู้สวมใส่ว่าเป็นชนชั้น ในระดับใด เป็นกษัตริย์ เจ้านายชั้น สูง หรือใน ราชสำนัก หรือขุนนาง หรือสามัญชน หรือทาส และมีการตั้งกฎเกณฑ์ระเบียบแบบแผนในการใช้ เครื่องประดับขึ้น ในระยะเวลาต่อมา

ดังปรากฏในกฎหมายตราสามดวง ซึ่งเขียนไว้ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 หรือ พระเจ้าอู่ทองว่า ผู้อยู่ในฐานันดรใดสมควรที่จะมีเครื่องประดับที่มีค่าได้จำนวนมากน้อยเพียงใด และวัสดุที่นำมาใช้ประดิษฐ์เป็นเครื่องประดับนั้น บุคคลฐานะใดที่สามารถสวมใส่ได้ และบุคคล ฐานะใดที่สวมใส่ไม่ได้ และถ้าฝ่าฝืนจะมีบทลงโทษอย่างไรอีกด้วย

แต่เดิมนั้น มีคำศัพท์ที่แยกประเภทของเครื่องประดับอยู่ 2 คำ คือ ศิราภรณ์ หมายถึง เครื่องประดับศีรษะ และถนิมพิมพาภรณ์ คือ เครื่องประดับกาย ถนิมพิมพาภรณ์ของไทยที่ ปรากฏในปัจจุบันล้วนมีประวัติต้นกำเนิดและวิวัฒนาการที่ยาวนาน

หลักฐานซึ่งปรากฏศัพท์ที่เรียกเครื่องประดับต่าง ๆ ที่เก่าที่สุดนั้น สามารถศึกษาได้จาก กฎมณเฑียรบาล ครั้งสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ที่กำหนดการแต่งกายขององค์ พระมหากษัตริย์ พระอัครมเหสี และเจ้านายชั้น สูงองค์อื่น ๆ ตลอดจนถึงขุนนางว่าต้องแต่งกาย และใช้เครื่องประดับอย่างไรในพระราชพิธีใด

จากกฎมณเฑียรบาล พอจะทราบได้ว่า แต่โบราณนั้น ตำแหน่งและศักดินาของคนจะมีการ ใช้เครื่องประดับศีรษะมากที่สุด (ศิราภรณ์) หากตำแหน่งต่างกันศิราภรณ์จะต่างกัน อันเป็นที่ สังเกตได้ง่ายกว่าเครื่องประดับประเภทอื่น ๆ

เครื่องประดับศีรษะที่ปรากฏมีชื่อต่างกัน อาทิ พระมหากษัตริย์มีมหามงกุฎ พระสุวรรณมาลา พระมาลาสุกหรํ่า พระอัครมเหสี พระราชเทวีมีมงกุฎ พระสุวรรณมาลา เป็นต้น ส่วนเจ้านาย ฝ่ายในและสตรีชั้น สูงมีพระมาลามวยหางหงส์ พระมาลามวยกลม เศียรเพศ (กรองหน้า) เกี้ยว ดอกไม้ไหวแซม เกี้ยวแซม โขลนเกล้าและรัดแครง

ส่วนเครื่องประดับกายที่เรียกว่าถนิมพิมพาภรณ์ ปรากฏชื่อต่าง ๆ อาทิ มหากุณฑล พาหุรัด ถนิมมาลัย สร้อยมหาสังวาล อุตราดวงใด 7 แถง ธำมรงค์ 3 ลวด กองเชิงและรองพระ บาท

ทั้งศิราภรณ์และถนิมพิมพาภรณ์ของไทยที่กล่าวมานีใ้นปัจจุบันบางอย่างยังปรากฏใช้อยู่ แต่บางอย่างก็เลือนไปจนไม่สามารถทราบรูปแบบที่จริงได้ ซึ่งเครื่องประดับดังกล่าวได้สืบทอด คตินิยมและรูปแบบดั้งเดิมมานาน

แม้ว่าลักษณะการใช้เครื่องประดับจะมีการคิดค้นสร้างสรรค์ขึ้น ภายในท้องถิ่น และตรงกับ สภาวะของวัฒนธรรมประเพณีของตน ตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์เมื่อ 5,000 ปีมาแล้วก็ตาม แต่จากการที่ได้มีการติดต่อระหว่างกลุ่มชนหรือรัฐในดินแดนนี้กับดินแดนอื่น ๆ ทั้งในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ด้วยกันเอง หรือกับซีกโลกตะวันออก คือ จีน ทั้งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยกันเอง หรือกับซีกโลกตะวันออก คือ จีน ได้มีการติดต่อทั้งการค้าและทางศาสนา ความเชื่อ ตามแบบอินเดียโบราณทั้งในเรื่องของพิธีกรรมและในชีวิตประจำวันจึงถูกซึมซับเข้ามาทีละน้อย

ซึ่งพบว่าการใช้เครื่องประดับของคนในดินแดนแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอายุก่อน ศตวรรษที่ 18 จะมีรูปแบบที่คล้ายกับเครื่องประดับในประติมากรรมของอินเดียโบราณมาก ยิ่งเป็น รูปเทพเจ้าชั้น สูงในศาสนาพราหมณ์ หรือพระโพธิสัตว์ในพุทธศาสนา จะทรงเครื่องประดับเป็น จำนวนมากที่ทุกส่วนของร่างกาย

ส่วนเทพชั้น รองก็จะมีเครื่องประดับน้อยลง หรือมีรูปแบบที่แตกต่างออกไป อันแสดงให้ เห็นถึงสถานภาพนั่นเอง ซึ่งที่จริงเครื่องประดับเหล่านี้คือเครื่องประดับของกษัตริย์ แต่เมื่อสร้าง รูปเทพเจ้าขึ้น มาก็ได้ถวายเครื่องประดับที่ดีที่สุดของกษัตริย์แด่เทวะ จนในที่สุดความคิดนี้ไ้ด้เลือน ไป จนคิดว่านั่นคือเครื่องประดับของเทวะจริง ๆ

อย่างไรก็ตาม เครื่องประดับที่ตามแบบอินเดียและในท้องถิ่นความจริงแล้วมีทั้งที่เป็น เครื่องประดับจริง และที่ใช้เป็นเครื่องราง หรือเครื่องหมายมงคล หรือสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์แห่ง วรรณะของตนก็จะนำมาประดับไว้ด้วย อาทิ หนังกวาง หนังเสือ เขี้ยวเสือ สายยัชโญปวีต ลูกประคำ ที่ทำจากไม้มงคล เช่น รุทราสะ ไม้จันทน์ กับทั้งเครื่องประดับที่มีลวดลายเป็นมงคล เช่น สังข์ โค ช้าง และดอกไม้มงคลต่าง ๆ ด้วยเชื่อว่าเมื่อนำสิ่งเหล่านีจ้ำลองสวมไว้ที่ตัวก็จะทำให้ผู้สวมใส่ มีแต่ความโชคดี เป็นที่รักแห่งพระผู้เป็นเจ้า บางท้องถิ่นจะหาเครื่องรางหรือสิ่งที่เป็นมงคลเหล่านี้ ได้ยาก จึงคิดทำเลียนแบบขึ้น ด้วยวัสดุที่หาได้ เช่น หิน งา กระดูก ทองคำ เงิน และโลหะอื่น ๆ

สำหรับวัสดุที่นำมาทำเครื่องประดับต่าง ๆ ที่นิยมกันมาแต่โบราณพบว่าทองคำเป็นสิ่งที่ มีผู้ต้องการมากที่สุด อาจเป็นเพราะเมื่อนำมาทำเครื่องประดับแล้วมีสีสันสวยงาม กับทั้งมีราคาแพง มีหลักฐานว่ามนุษย์เริ่มรู้จักทองคำมาตั้งแต่ราว 3,500 ปีมาแล้ว ทั้งในอินเดียและอียิปต์

ในอียิปต์มีการค้นพบเครื่องทองเป็นจำนวนมากในพีระมิดสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน ซึ่งมีอายุประมาณปี 1,350 ปีก่อนคริสตกาลหรือราว 3,350 ปีมาแล้ว

นอกจากนี้ยังมีจดหมายเหตุเกี่ยวกับแหล่งทองคำที่สำคัญในยุคนั้น ว่าอยู่ในอียิปต์ตอนล่าง และฟาโรห์เท่านั้น ที่ผูกขาดการค้าทอง และโปรดที่จะรับบรรณาการและภาษีเป็น ทองคำ ส่วนอัญมณีที่ชื่นชอบ คือ เทอร์ควอยช์ (หินสีฟ้า) ซึ่งมีแหล่งใหญ่อยู่ในชีนาย

ชาวอียิปต์จะใช้แหวนทองในการซื้อขายบ้านเรือน ที่นา และทาส แม้ว่าโดยทั่วไปจะใช้ แหวนทองแดงเป็นเครื่องตีราคา นอกจากนี้ยังได้มีการค้นพบลูกปัดทองคำที่เก่าที่สุดในหลุมศพที่ เกาะครีต ซึ่งมีอายุประมาณ 1,700 ปีก่อนคริสตกาล หรือราว 3,700 ปีมาแล้ว

เครื่องประดับสมัยก่อนประวัติศาสตร์
เครื่องประดับสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่พบบนผืนแผ่นดินไทย มักจะพบในแหล่งโบราณคดี ที่มีอายุอยู่ในสมัยหินใหม่ และสมัยโลหะหรือที่เรียกว่า สังคมเกษตรกรรม และสังคมเมืองเริ่มแรก

กล่าวได้ว่าเครื่องประดับนั้น มีความเป็นมาและความเก่าแก่ที่สุดอย่างหนึ่งในบรรดา โบราณวัตถุที่มนุษย์สามารถทำขึ้น ได้ ซึ่งในระยะเริ่มแรกการทำเครื่องประดับนี้ มนุษย์คงจะใช้ วัตถุที่เขาสามารถหาได้ง่าย ๆ ในระยะนั้น อาทิ หินสีต่าง ๆ เปลือกหอย และกระดูกสัตว์

แต่ในระยะต่อมาเมื่อมนุษย์เรียนรู้เกี่ยวกับหินมีค่า สามารถนำมาขัดเจียระไนให้สวยงาม หรือมีความรู้ในเรื่องการหลอมโลหะเครื่องประดับก็จะมีลักษณะงดงามขึ้น ด้วยกรรมวิธีที่ซับซ้อน เกิดมีเครื่องประดับที่ทำด้วยสัมฤทธิ เงิน และทองคำ ส่วนหินมีค่านั้น พบว่ามีการนำทับทิม และ หยก มาดัดแปลงตกแต่งเป็นลูกปัดไว้ประดับกาย แต่อย่างไรก็ดีพบว่า หากจะศึกษาถึงลักษณะ ของเครื่องประดับที่สืบทอดต่อกันมานับเป็นเวลาหลายร้อยปี จะพบว่ารูปแบบและกรรมวิธีใน การผลิตเครื่องประดับแต่ละประเภทไม่ค่อยมีการเปลี่ยนแปลงไปมากนัก

สำหรับในสังคมที่ยังไม่มีระบบการใช้สิ่งแลกเปลี่ยนด้วยเหรียญกษาปณ์และธนบัตร ในระยะเวลานั้น สิ่งใดที่ทำด้วยโลหะมีค่า ผู้ใดมีไว้ในครอบครองก็จะมีผู้มั่งคั่งร่ำรวย ด้วยเหตุนี้จึง ทำให้เราสามารถเข้าใจถึงความสำคัญของหัวหน้าหรือกษัตริย์ ในการที่จะตอบแทนหรือให้รางวัล แก่ความดีงาม ความกล้าหาญแก่บรรดาขุนศึก ขุนนาง หรือประชาชน ด้วยการให้ของมีค่าที่ทำ จากทอง เงิน ซึ่งประดับด้วยอัญมณีและรวมไปถึงภาชนะที่เป็นเครื่องยศเป็นของมีค่าอื่น ๆ

เครื่องประดับที่นิยมตอบแทนให้รางวัล อาทิ สร้อยคอ กำไล แหวน และจี้ห้อยคอ ซึ่ง บรรดาของเหล่านี้สามารถนำติดตัวหลบหนีไปง่ายกว่าสมบัติมีค่าอื่น ๆ หรืออาจจะนำไปฝังแอบ ซ่อนศัตรูได้ ซึ่งในประเทศไทยเองนีเ้รามักพบเครื่องประดับของมีค่าเหล่านี้ใ้นพื้น ดินโดยบังเอิญ เสมอ ๆ อย่างไรก็ดี การขุดค้นแหล่งโบราณคดีสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในแหล่งโบราณคดีที่ยังไม่ ถูกรบกวน มักจะพบหลุมฝังศพที่เป็นเนินใหญ่ มีศพบุรุษ สตรี และเด็ก เรียงรายอยู่ใกล้เคียงกัน เสมอ ซึ่งบางแห่งอาจจะเป็นสุสานโดยเฉพาะ แต่บางแห่งก็เป็นการฝังอยู่ใต้ถุนบ้านเรือนที่อาศัย นั่นเอง

โครงกระดูกที่พบจะมีเครื่องประดับและเครื่องใช้สอย ตลอดจนภาชนะฝังอยู่รอบ ๆ โครง กระดูกด้วย ซึ่งเครื่องประดับที่ขุดพบเหล่านี้สามารถช่วยให้เราเรียนรู้ในเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ตลอดจนคติความเชื่อถือของคนในสังคมโบราณนั้น ๆ ได้ดีขึ้น

เครื่องมือ เครื่องใช้ เครื่องประดับ นับเป็นโบราณวัตถุอย่างหนึ่งที่ทำให้เราสันนิษฐานได้ว่า สังคมในยุคนั้น เชื่อว่าความตายน่าจะเป็นการสืบเนื่องของชีวิตอย่างหนึ่ง คล้ายกับความเชื่อของ ชาวพุทธที่ว่าผู้ที่ตายไปแล้ววิญญาณจะมีการเกิดใหม่ในโลกหน้านั่นเอง ดังนั้น สังคมในสมัยก่อน ประวัติศาสตร์จึงมีการนำเอาศพไปฝัง พร้อมด้วยเครื่องประดับของใช้ส่วนตัว และภาชนะอื่น ๆ ที่ผู้ตายเคยเป็นเจ้าของ หรืออาจจะมีการสร้างขึ้น ใหม่ด้วยหวังว่าเพื่อให้ผู้ตายนำไปใช้ในโลกหน้า

การนำเครื่องประดับประเภทแก้วแหวนเงินทองประดับตามร่างกายของผู้ตายและฝังลง ไปด้วย อาจพิจารณาได้ว่าน่าจะเป็นทั้งลักษณะของความเชื่อ หรือเป็นเรื่องไสยศาสตร์ที่เน้นให้ เห็นถึงความปรารถนาให้วิญญาณของผู้ตายคืนสู่ความสุขสงบกับเทพเจ้าที่สังคมนั้น เคารพนับถือ และป้องกันมิให้มุ่งไปสู่ความทุกข์ในนรกภูมิ

สำหรับการศึกษาเครื่องประดับสมัยก่อนประวัติศาสตร์ในประเทศไทยนั้น มักจะพบว่า มนุษย์เริ่มใช้เครื่องประดับกันตั้งแต่สมัยหินใหม่เป็นต้นมา จนเข้าสมัยโลหะหรือหมายถึงว่า มีการ ใช้เครื่องประดับตั้งแต่มนุษย์อยู่ในสังคมเกษตรกรรมและสังคมเมืองเริ่มแรกเป็นต้นมา อันเป็น วัฒนธรรมที่สืบทอดต่อกันมา

มนุษย์สมัยหินใหม่ มีความเป็นอยู่เมื่อราว 5,000 ปีมาแล้ว มีวัฒนธรรมความเป็นอยู่ แบบกสิกรรม แม้ว่าจะมีการล่าสัตว์บ้างเล็กน้อย มีความเจริญสืบทอดต่อมาจากมนุษย์ในยุค หินกลาง หรือในสังคมล่าสัตว์ที่ใช้เครื่องมือหินกะเทาะ หรือเครื่องมืออื่นทำด้วยกระดูกสัตว์และ เปลือกหอย เริ่มรู้จักสัตว์น้ำและการเพาะปลูกบ้างแล้ว จึงมีเครื่องมือทั้ง ขวาน ลิ่ม จอบ ใบหอก หัวลูกศร และเบ็ด เป็นต้น มีความชำนาญในการทำเครื่องปั้นดินเผา พิธีกรรมในการฝังศพของ มนุษย์สมัยนี้สืบทอดมาจากสมัยหินกลาง เราจึงได้ทราบถึงลักษณะการฝังศพ และเครื่องมือ เครื่องใช้ที่วางไว้ในหลุมศพ ตลอดจนการแต่งตัวด้วยเครื่องประดับต่าง ๆ ทั้งลูกปัดและกำไล

เมื่อมนุษย์เจริญขึ้น สามารถคิดค้นนำโลหะมาหลอมและหล่อเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ได้แล้ว วิถีชีวิตของคนในสมัยหินใหม่ก็สิน้ สุดลง แต่ภาชนะและเครื่องใช้ที่ยังมีอยู่ เช่น ภาชนะดินเผา หรือขวานหินก็ยังคงใช้ต่อมา เพียงแต่ได้รับความนิยมน้อยลง แต่ใช้ของที่ทำด้วยโลกมากขึ้น จึงมีทั้งขวานโลหะ พร้าโลหะ รวมถึงเครื่องประดับก็ทำด้วยโลหะ เช่น กำไล แหวน ห่วงคอ เป็นต้น

โลหะที่ใช้ในสมัยนั้น ในประเทศไทยเป็นโลหะผสมระหว่างทองแดงกับดีบุก เรียกว่า สำริด (สัมฤทธิ์) แม้ว่าสมัยโลหะที่เป็นสากลจะแบ่งเป็นสมัยสำริดและสมัยเหล็ก เพราะในระยะเวลา หนึ่งจะพบเฉพาะโลหะอย่างใดอย่างหนึ่งเท่านั้น แต่ในเมืองไทยมักพบรวมกันจึงไม่อาจจะแยกได้ ดังนั้น จึงรวมเรียกว่าสมัยโลหะ

ชีวิตความเป็นอยู่ของมนุษย์สมัยโลหะนั้น ได้พัฒนาการมาจากสมัยหินใหม่ โดยอยู่รวมกัน เป็นกลุ่มใหญ่ น่าจะมีการแบ่งหน้าที่การทำงานด้วย เป็นสังคมเมืองเริ่มแรก จึงมีระเบียบแบบแผน สังคม และมีการติดต่อกับกลุ่มชนในดินแดนใกล้เคียง ดังนั้น เครื่องมือเครื่องใช้จึงมีรูปแบบที่แปลก ออกไป รวมถึงเครื่องประดับ เช่น กำไล และลูกปัด ซึ่งมีทั้งลูกปัดหินและลูกปัดแก้ว และมีหลาย รูปแบบที่เชื่อได้ว่านำมาจากแถบอินเดียและทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางแถบเปอร์เชียและจาก จักรวรรดิโรมัน (อภิโชค แซ่โคว้, 2542 : 90-98)

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย