สุขภาพ ความงาม อาหารและยา สมุนไพร สาระน่ารู้ >>

พืชสมุนไพร
(Medicinal plants)

ประวัติการใช้พืชสมุนไพรในประเทศไทย
สารประกอบทางเคมีในพืช (Phytochemistry)
พืชสมุนไพรซึ่งเป็นที่รู้จักและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจของประเทศไทย

ประวัติการใช้พืชสมุนไพรในประเทศไทย

การใช้พืชสมุนไพรในประเทศไทยนั้น มีการใช้เป็นยาพื้นบ้านสืบเนื่องกันมานานแล้ว แต่มิได้มีการจดบันทึกหลักฐานต่าง ๆ ไว้อย่างชัดเจนจนกระทั่งมีการประดิษฐ์ตัวอักษรไทยในสมัยกรุงสุโขทัยเมื่อประมาณ 700-1,000 ปีที่ผ่านมา แต่สันนิษฐานว่าคงไม่ได้มีการจดบันทึกตำรายาขนานต่าง ๆ ไว้มากมายนัก น่าจะมีการจดจำและบอกเล่าสืบต่อกันมาจนถึงยุคของกรุงศรีอยุธยา และในตอนต้นของกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งตรงกับคริสตวรรษที่ 18 ในช่วงแห่งการครองราชย์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 และพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 ได้มีการรวบรวมและบันทึกตำรายาขนานต่าง ๆ ไว้ ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ได้ทรงให้มีการจารึกตำรายาและสรรพคุณของสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ไว้บนกำแพงของวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม(วัดโพธิ์ ท่าเตียน) เมื่อถึงรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงโปรดให้มีการเรียบเรียงและตีพิมพ์ตำรายา และสรรพคุณของสมุนไพรชนิดต่าง ๆ ซึ่งตกทอดสืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน

แต่เมื่อมีการนำยาที่ผลิตจากชาติตะวันตกเข้ามาใช้ในประเทศไทย ความนิยมในการใช้ยาสมุนไพรสำหรับรักษาโรคก็ตกต่ำลงอย่างรวดเร็ว เนื่องจากตำรับยาต่าง ๆ นั้นไม่ได้กล่าวถึงวิธีการเตรียม และสัดส่วนที่ถูกต้องแน่นอน ทำให้การรักษาโรคไม่ได้ผล และอาจเกิดจากความหวงวิชาของแพทย์แผนโบราณ ที่ไม่ยอมจดตำรายาที่ถูกต้องลงไป แต่การที่เราหันไปนิยมใช้ยาที่ผลิตจากต่างประเทศทั้ง ๆ ที่พืชวัตถุดิบหลายชนิดเป็นพืชที่ปลูกในประเทศไทย แล้วนำไปจำหน่ายยังต่างประเทศนั้นมีผลให้เกิดการเสียดุลทางการค้า ยามีราคาแพงกว่าต้นทุนการผลิตมากมีการเอาเปรียบผู้บริโภคโดยผู้นำยาเข้า ยาที่เป็นที่นิยมบางชนิดอาจมีราคาแพง เมื่อมีความต้องการของผู้บริโภคเกิดขึ้นในระยะเวลานั้น รัฐบาลเองก็ไม่สามารถจัดให้มีสุขอนามัยที่ดีระหว่างชุมชนเมืองและชุมชนชนบทได้ เนื่องจากความต้องการคุณภาพของยาไม่เท่ากัน

ในปี พ.ศ. 2525 มหาวิทยาลัยมหิดลได้พัฒนาโครงการเกี่ยวกับการวิจัยและฟื้นฟูพืชสมุนไพนขึ้นเพื่อใช้ในการรักษาโรค การผลิตยาในเชิงอุตสาหกรรม และการผลิตสมุนไพรเพื่อส่งออกไปจำหน่ายยังต่างประเทศ ซึ่งโครงการนี้สามารถดำเนินไปได้ด้วยดี และมีพืชสมุนไพรจำนวน 55 ชนิดที่ได้รับการสนับสนุน

 

ในการเลือกชนิดของพืชที่นำมาใช้เป็นพืชสมุนไพรนั้น ขึ้นอยู่กับ

  1. สรรพคุณในการรักษาโรค ชนิดของสารออกฤทธิ์ และการสามารถนำมารักษาโรคเบื้องต้นได้ โดยใช้พืชเพียงชนิดเดียว
  2. พืชที่นำมาใช้นั้นต้องได้รับการทดสอบแล้วว่าไม่เป็นพิษ ไม่ชักนำให้ก่อมะเร็งที่เนื้อเยื่อส่วนต่าง ๆ ของร่างกายมนุษย์ หรือเป็นพืชที่มีการนำมารับประทานเป็นอาหารอยู่เป็นประจำ
  3. พืชนั้นสามารถถูกนำมาใช้รักษาอาการของโรคที่มีการวินิจฉัยโรคแล้วได้
  4. มีการนำส่วนต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์ หรือเตรียมส่วนต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ง่าย
  5. เป็นพืชที่หาได้ง่ายในท้องถิ่น และมีตลอดทั้งปี

มีการอบรมแพทย์โบราณให้ทราบถึงวิธีการใช้ยาสมุนไพรเพื่อรักษาโรคตามหมู่บ้านได้อย่างถูกต้อง ซึ่งสามารถส่งเสริมและสนับสนุนการใช้พืชสมุนไพรในชุมชนชนบทได้เป็นอย่างดี แต่ยังคงใช้ไม่ได้ผลนักกับการวางจำหน่ายในร้านขายยา และการใช้พืชสมุนไพรรักษาอาการป่วยของคนไข้ในโรงพยาบาล ซึ่งรัฐบาลเองก็พยายามที่จะจดรายชื่อสมุนไพรเข้าไปในบัญชีรายชื่อของยาที่จำเป็น เพื่อที่จะได้มีการพัฒนาและปรับปรุงการผลิตพืชสมุนไพรให้เข้าสู่อุตสาหกรรมยาได้อย่างมีมาตรฐาน

ส่วนการผลิตพืชสมุนไพรเพื่อการส่งออกนั้น ยังคงไม่สามารถพัฒนาได้มากนัก เนื่องจากยังไม่มีการพัฒนาเทคโนโลยีในการผลิตพืช เป็นปริมาณมากตามความต้องการของระบบอุตสาหกรรมได้อย่างเต็มที่ และทั้งนี้ขึ้นกับความแปรปรวนในความต้องการของตลาดโลกด้วย

พืชสมุนไพรจึงเป็นพืชที่น่าจะมีการส่งเสริมและพัฒนาให้มีการปลูกมากขึ้น เนื่องจากพืชสมุนไพรหลายชนิดสามารถเจริญเติบโตได้ในพื้นที่ซึ่งพืชเศรษฐกิจชนิดอื่น ๆ ไม่สามารถเจริญเติบโตได้ และพืชหลายชนิดต้องเจริญเติบโตในสภาพป่าธรรมชาติ จึงทำให้มีการอนุรักษ์สภาพต่าง ๆ ของป่าให้คงเดิมไว้

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย