ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ปริเฉทที่ 1 ชาติกถา
ปริเฉทที่ 2 อาวาหมงคลกถา
ปริเฉทที่ 3 เทวทูตทัสนกถา
ปริเฉทที่ 4 ปัพพัชชกถา
ปริเฉทที่ 5 ทุกรกิริยากถา
ปริเฉทที่ 6 มารวิชัย อภิสัมโพธิกถา
ปริเฉทที่ 7 พุทธกิจ
ปริเฉทที่ 8 พุทธกิจบรรยาย
ปริเฉทที่ 3 เทวทูตทัสนกถา
(พระมหาบุรุษเห็นเทวทูต)
สมเด็จ พระ พุทธเจ้าของเรา
ประทับอยู่ในพระราชสถานเกษมสันต์นี้ ด้วยพระชนมชีพอันสันติสุข และด้วยความปฏิพัทธ์
ไม่ทรงทราบเลยซึ่งความเศร้าโศก ความขัดสน ความกลัดกลุ้ม ความชราภาพ และความมรณะ
ถึงกระนั้นก็ดี ในยามบรรทมหลับก็ทรงพระสุบินว่า
พระวิญญาณได้เร่ร่อนไปตามทะเลแห่งความมืด
และไปบรรลุถึงฝั่งอันสว่างได้เมื่ออ่อนเพลียแล้ว
โดยนำความจำอันแปลกประหลาดในการเดินทางอันขมุกขมัวนั้นมาด้วย และทั้งมีอยู่อีกว่า
ครั้งหนึ่ง ขณะที่พระองค์เกยพระเศียรหลับอยู่บนพระอุระอันวิไลลักษณ์ของพระนางยโสธรา
ซึ่งหัตถ์ทั้งคู่เป็นเครื่องกระทำให้ซาบซ่าน ค่อยๆ
ประเล้าประโลมให้พระเนตรของพระองค์หลับไป จนพระองค์ทรงละเมอโดยมีพระอุทานออกมาว่า
"โลกของฉัน! โอ! โลก! ฉันได้ยิน! ฉันรู้! ฉันจึงมา!"
นางจึงทูลถามด้วยดวงเนตรอันโพลงเพราะความตื่นตกพระทัยว่า
"เป็นอะไรไปนะเพคะ ทูลกระหม่อม" เพราะในวาระนั้น
พระวิริยภาพซึ่งปรากฏจากแววพระเนตรของพระองค์ซึ่งทอดมาแสดงให้เกิดความกลัว
และพระพักตร์ของพระองค์ก็แม้นเหมือนเทพเจ้าพระองค์หนึ่ง
ครั้นแล้วพระองค์ก็ทรงยิ้มไปใหม่ เพื่อบรรเทาความโหยไห้ของพระเทวี
แล้วทรงขอให้นักดนตรีดีดพิณ
แต่ครั้งหนึ่ง
มีผู้นำเครื่องดนตรีรูปอย่างผลน้ำเต้ามีสาย(ซอ)มาวางที่ธรณีประตู ณ
ที่ซึ่งลมอาจพัดให้มีเสียงเป็นเพลงและบรรเลงไปโดยลำพัง
เพราะลมสามารถทำให้สายเงินเหล่านั้นเป็นเพลงอย่างน่าพิศวงได้
บรรดาผู้ซึ่งอยู่รอบๆ นั้น ได้ยินแต่เพียงเสียงเท่านั้น
แต่พระสิทธัตถะทรงได้ยินหมู่เทวาบรรเลงเพลงและขับร้องเป็นลำนำมาสู่พระโสต
ของพระองค์ว่าดังนี้ "เราเป็นเสียงของลมโชยซึ่งจะโบกพัดแสวงหาความสงบอารมณ์
แต่ก็ไม่ได้พบความสงบอารมณ์นั้นเลย จงดูเถิด ลมเป็นฉันใด
ชีวิตที่ต้องตายก็เป็นฉันนั้น คือมีความสลดใจ ความอัดอั้น ความกังวลและความดิ้นรน"
"เราไม่อาจรู้เหตุผลแห่งความเป็นอยู่ของเราและกำเนิดแห่งความเป็นอยู่ของเรา
ต้นกำเนิดของชีวิต และผลที่สุดของชีวิตได้ เราก็เป็นเหมือนที่ท่านเป็น
คือภาพแห่งความเวิ้งว้าง
เราจะมีความสนุกอะไรในความเศร้าโศกซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่มีที่สุด?"
"ความสำราญอะไรที่ท่านมีอยู่ในความสนุกไม่รู้สร่าง อา!
หากความเสน่หายืนยง ความเสน่หาอาจบังเกิดความสุขได้อย่างล้นพ้น
แต่ชีวิตเป็นเหมือนลม ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นแต่เพียงเสียงซึ่งไม่ถาวร
ที่กังวานมาจากสายที่ดังนั้น"
"โอ! โอรสของมายาเอ๋ย เป็นเพราะเราเร่ร่อนอยู่ ณ
พื้นปฐพีนั้นเอง เราจึงมีเสียงคร่ำครวญอยู่ที่สาย เราไม่ขับร้องเรื่องปลาบปลื้ม
เพราะเราเห็นความทุกข์โศกมากมายในประเทศทั้งหลาย
มีแต่ดวงตาที่ร้องไห้และบิดมือด้วยความสิ้นหวัง"
"ตลอดเวลาที่เราพัดเรื่อยไป
เราเห็นเป็นที่น่าขบขันเพราะถ้ามนุษย์อาจรู้ว่า
ชีวิตที่มีอยู่นั้นเป็นแต่สภาพที่ไม่เป็นแก่นสารแล้ว ถึงจะมีอำนาจบังคับเมฆ
หรือกระแสน้ำให้นิ่งได้ก็ดี ก็ยังคงมีชีพที่ไม่เป็นแก่นสารดุจกัน"
"แต่พระองค์ต้องเป็นผู้โปรดสัตว์
เวลาของพระองค์ใกล้เข้ามาแล้ว โลกอันน่าอนาถคอยพระองค์ด้วยความแร้นแค้น
โลกอันมืดมนอนธการกำลังหมุนเคว้งคว้างอยู่ในวงแห่งความเศร้าโศก! จงลุกขึ้นเถิด!
พระโอรสของมายา! จงรำพึงถึงพระองค์เถิด จงเลิกพักผ่อนพระองค์เสียเถิด"
"เราเป็นเสียงของลมซึ่งโชยไป จงเห็นตามข้าพเจ้าเถิดเจ้าข้า
เพื่อพระองค์จะได้พบการพักผ่อนของพระองค์ จงสละความเสน่หาของพระองค์เสีย
เพื่อความเมตตาแก่สัตว์ทั้งปวงที่ควรรัก จงมีความเอ็นดูต่อผู้เศร้าโศกทรมาน
และทิ้งพระราชอิสริยยศเพื่อบรรเทาทุกข์ และบำเพ็ญความช่วยเหลือ"
"ซึ่งเราโชยมาสัมผัสบนสายเงินดังนี้
ก็เพราะสำหรับพระองค์ที่ยังไม่ทรงทราบสิ่งทั้งปวงแห่งโลก ซึ่งเรากล่าวดังนี้แหละ
เราเยาะเย้ยตามสภาพ ซึ่งพระองค์ทรงเพลิดเพลินอยู่ ณ บัดนี้"
ครั้งหนึ่ง ช้านานต่อมาเป็นเวลาเย็น
ขณะพระองค์ประทับอยู่ท่ามกลางแห่งพระราชสำนักอันงามวิจิตรของพระองค์
พลางถือพระหัตถ์พระนางศรียโสธราไว้ สตรีสาวคนหนึ่งขับร้องเพลงดึกดำบรรพ์เรื่องหนึ่ง
เพื่อยั่วกามในยามสำราญอย่างอิ่มเอิบ กับมีดนตรีคอยรับ
ในเมื่อเสียงอันไพเราะของคนร้องหยุดร้องเป็นบทๆ คือเป็นเสภาเรื่องความรัก
ว่าด้วยปัญหาแห่งม้าวิเศษตัวหนึ่งและนครอันน่าพิศวงแห่งหนึ่ง
อยู่ไกลซึ่งชนชาวชาติผิวซีดอาศัยอยู่
และซึ่งดวงอาทิตย์เมื่อจวนค่ำก็จมดิ่งลงไปในทะเล
พระองค์จึงตรัสว่า "จิต
ทำให้เรานึกถึงการขับร้องของลมตามสายซอซึ่งมีเรื่องราวอันน่าฟัง
จงให้ไข่มุกของเธอไปยโสธราเพื่อขอบใจเขา แต่ส่วนเธอ เธอผู้เป็นไข่มุกของฉัน
จงว่าให้ฟังทีเถิด! ว่ามีโลกกว้างใหญ่ยิ่งกว่านี้ไปอีกไหม?
มีประเทศใดที่เห็นดวงอาทิตย์ใหญ่หมุนอยู่ในคลื่นบ้างหรือ?
ณ ที่นั้น มีใจใครเหมือนใจเราบ้าง มีคนมากมายสุดคณนา
ที่ไม่รู้จัก บางทีตกทุกข์ได้ยากด้วยซ้ำซึ่งเราอาจช่วยได้
ถ้าเรารู้จักเขาเหล่านั้น! เมื่อดวงอาทิตย์กำลังโผล่มาจากทิศตะวันออก
แหวกราชวิถีสีทอง ฉันนึกถามตนเองด้วยความประหลาดใจบ่อยๆ ว่า ณ ปลายที่สุดของโลกนั้น
เด็กในจำพวกเด็กทางทิศตะวันออกคนใดเป็นคนที่แรกซึ่งได้กระทำความเคารพรัศมี
ของดวงอาทิตย์ จนแม้แต่ในขณะกำลังอยู่ในวงแขนของเธอและเหนืออุระของเธอ อือ!
แม่เทวีผู้งามประโลมของฉัน
ดวงหทัยของฉันเต้นอย่างร้ายแรงในยามอัสดงคตแห่งดวงอาทิตย์บ่อยๆ
ด้วยความต้องการอยากตามดวงอาทิตย์ไปสู่ทิศอัสดงค์ซึ่งมีสีแดงเข้มเพื่อเห็น
ชาวชนแห่งทิศตะวันตก ที่นั่นคงต้องมีมนุษย์ใจดีซึ่งเราต้องรักเป็นแน่
คงจะไม่มีอย่างอื่นอยู่ที่นั่นเป็นแน่มิใช่หรือ!"
ในขณะนั้นเอง ฉันมีความกลัดกลุ้มใจ
จนแม้แต่จุมพิตริมพระโอษฐ์อันละมุนละไมของเธอก็ไม่สามารถจะบรรเทาถอนได้ เออ!
นางสาวธิดา เออ! จิต! เจ้าที่รู้จักเมืองวิเศษ
อาชาไนยในนิทานของเจ้านั้นเขาผูกไว้ที่ไหนหนอ!
ข้าจักไม่อาจเอาเวียงวังของข้าใส่หลังอาชาไนยนั้นได้สักวันหนึ่ง
แล้วเหาะไปเหาะไปเพื่อดูความกว้างแห่งพื้นพิภพทีเดียวหรือ?
หรือมิฉะนั้น
ถ้าข้าได้ปีกของแร้งหนุ่มเจ้าซากศพตัวนั้นที่เล็งเห็นสมบัติราชอาณาจักรอื่น
ใหญ่ยิ่งกว่าอาณาจักรของข้า
ข้าจะบินไปสู่ยอดเขาหิมาลัยซึ่งแวววับไปด้วยหิมะซึ่งมีสีแม้นกุหลาบ
เพื่อทอดตาค้นหาประเทศที่อยู่โดยรอบ "แต่นี่ช่างกระไรเลย ข้าไม่เคยได้เห็นเลย
และไม่เคยพยายามให้ข้าได้เห็นเลย! จงบอกข้าบ้างเถิดว่า
นอกออกไปจากประตูสำริดของเรานั้นมีอะไรบ้าง?"
ดังนั้นจึงมีผู้ทูลว่า "ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงเกษมสันต์
มีพระนคร มีวัดวาอาราม สวนและป่าละเมาะ มีทุ่ง บางทุ่งก็มีลำราง ลำห้วย สนามหญ้า
มีป่าทึบ และทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่สุดสายตามากหลาย
แล้วก็คือพระราชอาณาจักรของพระเจ้าพิมพิสาร
และในที่สุดก็ทุ่งอันกว้างแห่งโลกซึ่งมนุษย์มากต่อมากอาศัยอยู่..." ดีแล้ว
พระสิทธัตถะตรัส "จงบอกนายฉันนะให้เตรียมเทียมรถของเรา
พรุ่งนี้เที่ยงเราจะไปดูสิ่งซึ่งมีอยู่ภายนอกพระราชวัง" ดังนี้
จึงมีผู้ไปทูลพระราชบิดาว่า "ข้าแต่พระองค์
พระราชโอรสของพระองค์มีพระประสงค์อยากให้ราชรถได้เทียมพรุ่งนี้เวลาเที่ยง
เพื่อจะได้เสด็จออกและทอดพระเนตรมนุษยชาติ"
"เออ" พระผู้ทรงธรรมรับสั่ง "ถึงเวลาที่เขาจะเห็นได้แล้ว
แต่จงจัดการให้มีผู้ไปป่าวร้องแก่บรรดาประชาราษฎรทั้งปวงให้ตกแต่งพระนคร
จนกระทั่งอย่าให้ได้พบเห็นสภาพอย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งกระทำให้บังเกิดความ เศร้าใจ
อย่าให้คนตาบอดหรือเท้าด้วนคนใด คนเจ็บคนใด คนที่มีอายุมากคนใด
คนที่เป็นโรคเรื้อนคนใด คนพิการคนใด ทั้งหลายเหล่านี้ออกมาให้ปรากฏเป็นอันขาด"
เพราะฉะนั้นก็มีการกวาดถนน
ผู้หาบน้ำด้วยครุซึ่งไหลพล่านก็รดถนนทุกๆ แห่ง เหล่าพวกนางแม่บ้านก็โปรยโรยผงแดง ณ
ธรณีประตูบ้านของตน ประดับพวงระย้าใหม่ และตั้งพุ่มต้นกะเพรา (ตุลสี-ต้นไม้
ชนิดหนึ่ง ชาวฮินดูเรียกว่าตุลสี
มักจะมีไว้ในบ้านเป็นเครื่องรางลัทธิพิเศษอย่างหนึ่ง
เวลาที่ชาวฮินดูจะสาบานตนให้การในศาล
พราหมณ์ต้องสั่งให้กินใบกะเพราเสียใบหนึ่งก่อน) ข้างหน้าประตู
รูปสีตามบรรดาฝาก็มีการระบายป้ายสีซ่อมแซมใหม่ บรรดาต้นไม้ก็มีธงประดับอยู่เต็ม
รูปที่เคารพทั้งปวงก็ปิดทองเสียใหม่
ณ
สี่แยกสุริยเทวาและเทวรูปที่ศักดิ์สิทธิ์ก็สุกปลั่งสถิตอยู่เหนือแท่นโดย
ประการดังนี้ พระนครก็เป็นเสมือนหนึ่งว่าเป็นพระนครแห่งพระราชอาณาจักรเกษมสันต์
ผู้ร้องประกาศก็ป่าวร้องทั่วทุกถนนกับตีกลองและฆ้อง พลางร้องอย่างดังๆ ว่า "จงฟัง!
ทวยชนทั้งหลาย! พระราชามีพระบรมราชโองการดำรัสสั่งว่า
วันนี้อย่าให้สภาพความเศร้าโศกได้ปรากฏออกมาเป็นอันขาด อย่าปล่อยให้คนตาบอด
คนขาด้วน คนเจ็บ คนแก่ คนเป็นโรคเรื้อนและคนพิการใดๆ ออกมาให้เห็นเป็นอันขาด
กับห้ามมิให้ผู้ใดเผาศพหรือเอาศพออกจนกระทั่งถึงเวลาค่ำ
ทั้งนี้เป็นพระบรมราชโองการของพระเจ้าสุทโธทนะ"
เมื่อเป็นดังนี้
ทุกสิ่งทุกอย่างก็ล้วนแต่เจริญเพลินจักษุประสาท
และบรรดาเคหะสถานบ้านเรือนทั้งปวงก็ตกแต่งทั่งทั้งพระนครกบิลพัสดุ์
คราวเมื่อพระสิทธัตถราชโอรสเสด็จประพาสโดยรถทรงอันแพรวพรรณรายเทียมด้วยโค
คู่ขาวดุจหิมะซึ่งโคลงคอและถูโหนกกับแอกสลักและลงรัก
ความร่าเริงของทวยชนซึ่งโห่ร้องรับรองพระราชโอรสกระทำให้เป็นที่น่าทัศนา อย่างยิ่ง
พระสิทธัตถะจึงทรงเบิกบานพระทัยที่ได้ทอดพระเนตรเห็นปวงประชาอันซื่อสัตย์
ของพระองค์สวมเครื่องแต่งกายสำหรับงานฉลองและบันเทิงร่าเริงประหนึ่งว่าการ
มีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่ดี
"โลกเรานี้ดีงาม"
พระองค์รับสั่ง "เราชอบ
และบรรดาทวยชนเหล่านี้ซึ่งไม่ได้เป็นพระราชาล้วนแต่สวยงามและน่ารัก
และน่าเอ็นดูก็คือเหล่าภคินีซึ่งทำงานและอยู่เฝ้าบ้าน
เราได้ทำประโยชน์อะไรให้เขาเหล่านี้ เขาจึงร่าเริง? เด็กๆ
เหล่านี้รู้ได้อย่างไรว่าเรารักเขา ได้กรุณาเถิด
จงเอาศากิยะหนุ่มน้อยซึ่งโยนดอกไม้มาให้เรานั้นขึ้นมาบนรถเราด้วยเถิด
ช่างดีนี่กระไรทีได้เถลิงถวัลยราชย์ ณ ราชธานีนี้ เป็นความสุขอันบริสุทธิ์นี่กระไร
หากว่าทวยประชาเหล่านี้มีความยินดี
เพราะเหตุที่เรามาอยู่ในท่ามกลางของพวกเขา
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงช่างไร้ประโยชน์แก่เราเสียนี่กระไร หากว่าบรรดาเรือนเล็กๆ
เหล่านี้จุความร่าเริงพอที่จะบำเพ็ญเพิ่มพูนพระนครของเรา
ให้เปี่ยมไปด้วยความแย้มสรวลได้ "ไปให้เร็วเข้าหน่อยเถิดนายฉันนะ!
ออกประตูไปเพื่อเราจะได้เห็นโลกงามซึ่งเราไม่รู้ว่ามีมากขึ้นอีก"
ดังนั้นแล้วนายฉันนะผู้เป็นสารถีก็ขับราชรถพาพระราชโอรสผ่านประตูไปในท่าม
กลางหมู่ชนซึ่งร่าเริง กำลังตะลีตะลาน หลีกจากวิถีทางล้อแห่งรถทรง
บางคนวิ่งไปข้างหน้าโค พลางโยนพวงมาลาให้ บางคนก็ลูบคลำสีข้างอันละมุนละไมของโค
บ้างก็นำข้าวและขนมมา แล้วทุกๆคนเปล่งอุทานว่า "ไชโย! ไชโย!
สำหรับพระราชโอรสผู้มีวิริยภาพของเรา"
ในขณะที่ทั่วทุกถนนกำลังเต็มไปด้วยหน้าตาที่ร่าเริงและสภาพแห่งความชื่นชม
ตามพระราชโองการของพระราชานั้น มียาจกเข็ญใจกระร่องกระแร่ง
ตาตื่นและโสมมเต็มไปด้วยเหงื่อไคลคนหนึ่งเดินโซเซออกมาจากหลุมที่ซ่อนตนอยู่
แล้วก็พยุงตัวเองไปสู่กลางถนน ยาจกนี้ทุพพลภาพ ชรามาก
และหนังอันยู่ย่นโดยอำนาจแห่งดวงอาทิตย์ก็ติดกระดูกสนิท
เฉกเช่นหนังสัตว์ที่หุ้มอยู่กับกระดูกหลังก็โกงโดยน้ำหนักแห่งกาลอันอเนก อนันต์วัน
กระบอกตาก็มีสีแดงช้ำซึ่งถูกเซาะด้วยน้ำอัสสุชลอันโหยไห้ เมื่อกาลนานมาแล้ว
ตาก็ตื่นและขากรรไกร ปราศจากฟันก็สั่นเทาด้วยพยาธิและความกลัวที่มาเห็นหมู่ชน
และความร่าเริงอันอักโขดังนี้
มือซึ่งผอมข้างหนึ่งจับไม้เท้าอันสึกหรอเพื่อประคองเท้าอันซวนเซทั้งสองข้าง
และมืออีกข้างหนึ่งบีบซี่โครงซึ่งผายลมหายใจออกมาได้โดยยาก
"โปรดทำทานเถิดเจ้าประคุณเจ้าข้า"
ยาจกชราครวญครางว่า
"เพราะกระผมจะตายในวันนี้หรือพรุ่งนี้แล้ว" ว่าแล้วก็ไอและแบมือออกยื่นต่อไป
พลางหรี่ตาและสั่นเทาด้วยอำนาจแห่งความกระตุกของเส้นประสาทแล้วร้องว่า "ทำทาน!"
ดังนั้นบรรดาผู้ซึ่งห้อมล้อมตามเสด็จก็ช่วยกันลากโดยแรงไปให้พ้นเสียจากถนน พลางว่า
"พระราชโอรสเสด็จแลไม่เห็นหรือ? จงกลับไปยังที่อยู่ของแกเสียเถิด?"
แต่พระสิทธัตถะทรงรับสั่งว่า "ปล่อยแกเสีย! ปล่อยแกเสีย!
นายฉันนะ นั่นสัตว์โลกอะไรที่แม้นเหมือนมนุษย์
แต่ผิดกันก็เพียงที่แกมีอาการหลังโกงแร้นแค้น น่าอนาถและมีอาการตื่นกลัว
มีมนุษย์ใดที่พอเกิดก็เป็นเช่นนี้ทีเดียวหรือ? คำที่แกกล่าวว่ากระผม
จะตายในวันนี้หรือพรุ่งนี้แล้วนั้นหมายความว่ากระไร? แกคงไม่ได้ประสพอาหารกระมัง
กระดูกจึงแหลมๆ ออกมาดังนั้น? อกุศลกรรมอะไรหนอที่มาพ้องพานสัตว์อันเวทนานี้"
ดังนี้นายสารถีรถทรงจึงทูลสนองว่า "พระองค์ผู้ทรงคุณธรรม
นั่นเป็นแต่เพียงคนชราเท่านั้น เมื่อสัก 80 ปีมานี้หลังของแกยังตรงอยู่
ตาก็ยังสว่างและกายก็ยังบริสุทธิ์
บัดนี้อำนาจแห่ความมีอายุมากได้ทำให้เลือดซึ่งหล่อเลี้ยงร่างกายของแกสิ้นไป
และคร่าเอากำลังวังชาของแกสิ้นไปและทำให้สติสัมปชัญญะบกพร่องไปด้วย
น้ำมันตะเกียงของแกได้หมดเสียแล้ว ไส้เหี่ยวแห้ง
สิ่งซึ่งยังเหลือเป็นชีวิตของแกอยู่ก็เพียงแต่แสงมัวสลัวๆ
ซึ่งอันธการก่อนที่จะดับลงตามธรรมดาของผลที่สุดแห่งอายุ
พระองค์จะไปทรงใฝ่พระทัยทำไม?"
พระราชโอรสจึงรับสั่งว่า "คนอื่นๆ
หรือคนทุกคนย่อมเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน หรือน้อยนักที่จะเป็นแก่คนใดดุจยาจกคนนั้น?"
"พระองค์ผู้ทรงปรีชาอันสุขุม" นายฉันนะรีบทูลสนอง
"คนทุกคนซึ่งปรากฏอยู่นี้ต่อไปต้องเป็นเหมือนแกทั้งสิ้น
หากคนเหล่านี้จะมีชีวิตอยู่นาน" พระราชโอรสจึงตรัสถามว่า
"แต่ถ้าข้านี้มีชีวิตยืนนานเข้าก็คงเป็นเช่นนี้ดุจกัน
และหากว่ายโสธรามีชีวิตอยู่จนกระทั่งถึง 80
ปีความชราภาพก็กระทำให้เธอได้รับผลที่สุดเช่นเดียวกันอย่างนั้นหรือ!
ข้าได้เห็นสิ่งซึ่งไม่ได้นึกว่าจะได้เห็นนั้นแล้ว"
โดยเหตุที่ทรงรำพึงถึงสิ่งที่ได้ทรงประจักษ์มาดังนั้น
พระสิทธัตถะซึ่งทรงมีพระอาการซึมเซาจึงเสด็จเข้าสู่พระราชสำนักอันงามวิจิตร
ของพระองค์ด้วยพระอาการและพระวรพักตร์อันโศกเศร้า และพระองค์ไม่เสวยขนมขาว
(ขนมหิมะแห่งหิมาลัย หรือไอสครีม) และผลไม้ซึ่งใช้เป็นพระกระยาหารเวลาเย็น
และพระองค์ไม่ทรงโปรดเหลือบแลดูนางละครตัวที่งามเยี่ยมๆ
แห่งพระราชวังซึ่งพยายามทำให้พระองค์ทรงกระสัน พระองค์ไม่ทรงเผยพระโอษฐ์
หากว่าไม่ใช่สำหรับมีรับสั่งอันละห้อยละเหี่ยกับพระนางยโสธราผู้รันทดสลด พระทัย
กราบลงยังเบื้องบาทยุคลวิงวอนทูลถามว่า "พระองค์ไม่มีความสุขในข้าพระองค์นี้หรือ?"
"โอ! แม่เทพีผู้สุดสวาท" พระองค์ตรัส
"ความสุขสำราญเช่นนั้นเป็นความสุขซึ่งดวงวิญญาณของฉันได้รับความทรมาน
เมื่อนึกเห็นว่าจะหมดสิ้น และเราทั้งสองต่างก็จะต้องถึงความชราภาพ ยโสธราเอ๋ย
แล้วก็สิ้นตัณหากลับกลายเป็นน่าเกลียด อ่อนแอ และหลังโกงลงไป
จริงทีเดียวถึงแม้ว่าริมโอษฐ์ของเราได้ร่วมประสานซึ่งกันและกัน
และความปฏิพัทธ์ของเราร่วมกันอย่างสนิทยิ่งซึ่งประหนึ่งว่าลมหายใจของเราแทบ
จะระคนกันอยู่ทุกคืนวัน กาลเวลาก็ย่อมเขยื้อนเคลื่อนไปในระหว่างเรา
สำหรับช่วงชิงเอาราคะ ตัณหาของฉันและความปรานีของเธอไปด้วย
เหมือนราตรีกาลอันดำมืดมาลบล้างรัศมีกุหลาบซึ่งส่องสว่างเหนือภูเขาเหล่า นั้น
โดยค่อยๆ กำบังด้วยฉากแห่งความขมุกขมัว นี่แหละสิ่งซึ่งฉันได้ค้นพบ
และดวงใจของฉันทั้งมวลก็ทับถมไปด้วยความหวาดหวั่นโดยความอันรำพึงอันนี้
และดวงใจของฉันทั้งมวลก็คิดถึงแต่สิ่งที่จะป้องกันความรักให้พ้นจากความ
พ้องพานของกาลเวลาที่จะมาพิฆาตซึ่งความชราภาพให้แก่มนุษย์"
เมื่อดังนี้แล้วพระสิทธัตถะก็ประทับนิ่งอยู่ตลอดราตรีโดยไม่สามารถที่จะ
บรรทมให้หลับและทรงระงับความกระวนกระวายลงได้
อนึ่งในระหว่างราตรีกาลนั้น
ฝ่ายพระเจ้าสุทโธทนะก็ทรงถูกรบเร้าด้วยพระสุบินอันทำให้ปั่นป่วนพระทัย
ข้อแรกพระองค์ทรงนิมิตเห็นธงชักขึ้นเป็นสง่าผ่าเผยธงหนึ่ง
ซึ่งพระอาทิตย์แจ่มจรัสเป็นสีทอง คือ รัศมีของพรอินทร์ฉายมา
แต่ภายหลังก็มีลมพัดมาจนธงอันศักดิ์สิทธิ์นั้นขาดเป็นชิ้นๆ
แล้วก็โบกพัดให้ตกลงในธุลี ต่อมาก็มีเทวดาเหาะลงมาเก็บธงที่เป็นอันตรายนั้นขึ้น
แล้วก็นำมาวางที่ทิศตะวันออกแห่งทวารของพระราชธานี
ครั้นแล้วพระสุบินข้อที่ 2 ว่า พระองค์ทอดพระเนตรเห็นคชสาร
10 เชือก งาเป็นเงินซึ่งทำให้พื้นธรณีสนั่นด้วยการดำเนินอันหนัก
ช้างเหล่านั้นเดินมาจากทางทิศใต้
ผู้ซึ่งขี่อยู่เหนือคอคชสารตัวที่หนึ่งเป็นพระราชโอรสของพระองค์ ตัวอื่นๆ
เดินตามหลัง
พระสุบินข้อที่ 3
ว่ามีรถอันแพรวพราวด้วยรัศมีอันรุ่งโรจน์เทียมด้วยพาชี 4 ตัว
ซึ่งพ่นควันขาวออกมาจากจมูก และเคี้ยวฟองซึ่งเป็นไฟ
พระสิทธัตถะประทับอยู่เหนือพระราชรถนั้น
พระสุบินข้อที่ 4 ว่า มีล้อซึ่งหมุน หมุนมิได้หยุด
ดุมเป็นทองสลับด้วยรัศมีแห่งมณีรัตน์ซึ่งประดับไว้ และมีสิ่งแปลกประหลาดที่เขียนไว้
ณ กรอบลูกล้อ และล้ออันนี้ ขณะที่กำลังหมุนอยู่ก็ประหนึ่งว่าเกิดเป็นไฟและดนตรี
พระสุบินข้อที่ 5 ว่า
มีกลองอันมหึมาตั้งอยู่กลางทางในระหว่างพระราชธานีกับภูเขาซึ่งพระราชโอรส
ทรงตีด้วยท่อนเหล็ก จนมีเสียงสนั่นเหมือนความระเบิดแห่งฟ้าร้อง
เสียงก้องกระหึ่มไปสู่ระยะไกลในเวหาและที่ว่างเวิ้ง
พระสุบินข้อที่ 6 ว่ามีหอคอยซึ่งสูงขึ้น
สูงขึ้นเสมอจนแลเห็นได้ทั่วทั้งพระราชธานี
จนกระทั่งยอดอันสูงตระหง่านประหนึ่งว่าห่อหุ้มด้วยก้อนเมฆ
และบนยอดหอคอยนั้นพระราชโอรสประทับอยู่ พลางหว่านพรรณอันรุ่งโรจน์เต็มๆ
พระหัตถ์ไปทั่วทิศานุทิศดังนี้จนเสมือนหนึ่งว่าเป็นพระพิรุณบุปผชาติ (ตาม ต้นฉบับ
เรียกว่าดอกยาซิงท์ เป็นดอกไม้ที่ยังไม่มีชื่อในภาษาไทย ภาษาอังกฤษเรียกไฮซินท์
(Hyacinth) ต้นและใบคล้ายต้นซ่อนกลิ่น แต่ขนาดต่ำกว่า มีดอกสีขาว) และพลอยทับทิม
และปวงชนทั้งหลายก็มาเบียดเสียดกันเพื่อเก็บทรัพย์อันมีค่าซึ่งตกลงมาทุกหนทุกแห่งนี้
และเหตุการณ์ในพระสุบินลำดับที่ 7 ของพระองค์คือ
ได้ยินอื้ออึงไปด้วยศัพท์สำเนียงเสียงครวญคราง และทอดพระเนตรเห็นคน 6 คน ร้องไห้
และกัดฟันกับเอามือปิดปาก โศกเศร้าด้วยความสิ้นหวัง
นี่แหละคือพระสุบินทั้ง 7 ข้อ
อันน่าหวาดหวั่นซึ่งพระองค์ทรงนิมิต
แต่จะได้มีโหราฉลาดคนใดกล้าทำนายถวายได้นั้นก็หาไม่
เพราะฉะนั้นพระราชาผู้ทรงเร่าร้อนในพระทัยจึงทรงเปล่งพระอุทานว่า
"คงมีทุกข์อะไรมาพ้องพานวังของเราแน่แล้ว และในบรรดาพวกท่านเหล่านี้
ไม่มีใครเลยจนคนเดียวที่มีความรู้ลึกซึ้งพอที่จะช่วยพิเคราะห์ดูให้รู้สิ่ง
ซึ่งเหล่าเทพเจ้าผู้ทรงอานุภาพทั้งหลายมานิมิตให้ปรากฏแก่เราโดยทางสุบิน
ทั้งสิ้นนี้เลย" เมื่อเป็นดังนี้พระราชธานีก็มีแต่โศกเศร้า
เหตุที่พระราชาทรงพระสุบินอันร้ายซึ่งไม่มีผู้ใดสามารถทำนายถวายได้
แต่ทีนี้ก็มีชายชราคนหนึ่ง นุ่งหนังสัตว์
ประหนึ่งว่าฤษีซึ่งไม่มีผู้ใดรู้จักมาที่หน้าพระทวารและร้องว่า
"จงพาเราไปเฝ้าพระราชา เพราะเราอาจสามารถทำนายพระสุบินนิมิตของพระองค์ได้"
ครั้นเมื่อฤษีรูปนั้นได้เข้าไปเฝ้าฟังรับสั่งในเรื่องพระสุบินอันอัศจรรย์ ทั้ง 7
ข้อนั้นแล้ว ก็น้อมกายลงด้วยความเคารพและทูลว่า "โอ มหาราช!
ข้าพเจ้าขอเคารพพระราชตระกูลซึ่งจะได้ประสพสวัสดิโชคซึ่งจะมีรัศมีอร่าม
เรืองยิ่งกว่าดวงพระอาทิตย์! ขอพระองค์ได้ทรงทราบเถิดว่า
พระสุบินอันทำให้พระองค์ทรงหวาดหวั่นนี้เป็นพระสุบินซึ่งล้วนแต่เป็นมงคล ทั้งสิ้น
ที่จริงอันว่าธงซึ่งปลิวไสว สง่าผ่าเผย
เป็นเครื่องหมายแสดงว่าเป็นพระอินทร์ ที่ทอดพระเนตรเห็นว่าธงนั้นขาดและปลิวลงมานั้น
หมายความถึงวาระที่สุดแห่งความเชื่อถือลัทธิประเพณีเก่า
และจักเผดิมเริ่มมีลัทธิประเพณีใหม่
เพราะเทพเจ้าทั้งหลายย่อมไม่เปลี่ยนแปลงน้อยไปกว่ามนุษยโลก
และกัลป์หลายกัลป์ย่อมผ่านพ้นมาดุจเดียวกันกับทิวาราตรีที่ล่วงไปสิ้นไป
คชสารทั้ง 10 ทำให้พื้นธรณีสนั่นนั้น หมายความว่า
มหาบารมีแห่งธรรมวิเศษทั้ง 10 ซึ่งโดยอำนาจแห่งธรรมวิเศษทั้ง 10 นี้
พระราชโอรสจะสละพระราชธานีของพระองค์
และทรงทำให้โลกสนั่นหวั่นไหวโดยทรงนำให้โลกได้บรรลุถึงซึ่งการรู้จักผลแห่ง
ความเที่ยงแท้
อัศดรทั้ง 4
ที่เทียมรถพ่นลมหายใจออกมาเป็นไฟก็คือบุญญาธิการอันเชี่ยวชาญคืออริยสัจจะ ทั้ง 4
ซึ่งนำพาให้พระราชโอรสของพระองค์พ้นจากความกังขา
และความมืดไปสู่แสงสว่างแห่งบุญบารมี
ล้อซึ่งหมุนด้วยกำกงสุวรรณประดับด้วยจินดาและกุดั่นเป็นล้อวิเศษยิ่งแห่งพระ
วินัยอันบริสุทธิ์ซึ่งจะหมุนให้ประจักษ์แก่โลกทั้งมวล
กลองซึ่งพระราชโอรสตีจนเสียงดังสนั่นไปทั่วทุกประเทศ
หมายความว่าความก้องกังวานดุจฟ้าร้องแห่งพระธรรมโอวาทซึ่งพระราชโอรสจะทรง สั่งสอน
หอคอยซึ่งสูงจนกระทั่งจดฟ้าแปลว่าความเยี่ยมแห่งพระคัมภีร์ของพระพุทธเจ้า
และเครื่องเพชรพลอยซึ่งโปรยลงมาจากหอคอยนั้นคือสมบัติอันเกินค่าแห่งพระธรรม
วินัยนี้ ซึ่งเป็นที่รักของปวงเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย และทุกๆ คนก็ต้องการ
นี่แหละเป็นคำทำนายเรื่องหอคอยนั้น
ส่วนคน 6
คนซึ่งครวญครางพลางปิดปากคือศาสดาจารย์ตัวสำคัญทั้ง 6
ซึ่งพระราชโอรสจะทรงกระทำให้รู้สำนึกตัวในความเหลวไหลของเขาโดยพระบารมีแห่ง
ความเที่ยงธรรม และพระธรรมเทศนาซึ่งไม่มีข้อเถียงได้ "โอ! พระราชา
พระองค์จงสำราญพระทัยเถิด
พระคุณสมบัติของพระราชโอรสมีค่าเกินกว่าพระราชอาณาจักรทั้งหมด ผ้า (สบง จีวร)
ขาดกะรุ่งกะริ่งของฤษี (พระ) มีค่ายิ่งกว่าผ้าซึ่งทอด้วยทองคำ
พระสุบินนิมิตของพระองค์แปลความได้ดังนี้แล และภายใน 7 ทิวา และใน 7 ราตรี
สิ่งทั้งปวงนี้มาอุบัติขึ้น" เมื่อบุรุษนักบุญพูดแล้วก็กราบลงอย่างต่ำ 8 ครั้ง
พลางแตะพื้นธรณี 3 ครั้ง กลับหลังหันแล้วก็ออกไป
แต่เมื่อพระราชาทรงโปรดให้หาตัวเพื่อพระราชทานสิ่งของอันมีค่า
ผู้รับพระราชโองการกลับมาทูลว่า
"ข้าพระองค์ตามไปจนกระทั่งถึงวิหารจันทราซึ่งเห็นเธอเข้าไป แต่เมื่อไปถึงในนั้น
ก็เห็นมีแต่นกฮูกสีเทาตัวหนึ่งบินไปจากแท่น
บางครั้งเทพเจ้าก็จำแลงตัวมาเช่นนั้นแหละ"
พระราชาผู้ทรงเศร้าพระทัย
เมื่อทรงทราบคำทำนายฝันนั้นแล้วก็ตกพระทัย
และทรงโปรดให้จัดการแวดล้อมพระสิทธัตถะโดยความบันทิงร่าเริงใหม่
เพื่อเหนี่ยวรั้งพระทัยให้หมกมุ่นในพระราชสถานอันเกษมสันต์
นอกจากนี้ยังทรงโปรดให้ทวีกองรักษาพระทวารขึ้นอีกด้วย
แต่ใครเล่าอาจสามารถที่จะห้ามมิให้เป็นไปตามโชคชะตาได้?
อันที่จริงพระราชโอรสก็มีประสงค์จะทอดพระเนตรทวยชนและความเป็นไปของชีวิต มนุษย์อีก
ซึ่งคงจะเป็นสิ่งที่น่าดูน่าชม
หากว่าความเป็นไปของมนุษย์เหล่านั้นไม่ไปสู่ความวิบาก
คือความมรณะอันเป็นที่สุดของเวลา
"ขอพระองค์จงทรงพระกรุณาเถิด
จงได้โปรดให้ข้าพระองค์ออกชมดูธานีของเราตามสภาพเป็นอย่างธรรมดา"
พระราชโอรสทูลแก่พระเจ้าสุทโธทนะ "ครั้งก่อนนั้น โดยพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์
พระองค์ได้ทรงห้ามมิให้สัตว์โลกซึ่งทรมานและสภาพอันเป็นอย่างธรรมดาได้ปรากฏ
แต่ให้ทุกๆ คนและสภาพทุกอย่างแสดงอาการร่าเริง เพื่อให้เป็นที่สำราญแก่ข้าพระองค์
กับทั้งทุกถนนหนทางให้มีแต่ความสนุกครึกครื้น
ถึงกระนั้นข้าพระองค์ก็ทรงทราบเกล้าแล้วว่า
สิ่งทั้งหลายเหล่านั้นหาใช่เป็นไปโดยความเป็นไปซึ่งมีอยู่ทุกวันไม่
และโดยเหตุที่ข้าพระองค์เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับพระองค์และราชอาณาจักรยิ่งกว่า ใครๆ
ข้าพระองค์จะใคร่อยากรู้จักอาณาประชาราษฎรและถนนหนทางตามสภาพธรรมดาของสภาพ
ทั้งหลายทั้งปวงเหล่านั้น
กิจการงานอันเป็นธรรมดาอยู่ทุกวันและอาชีพซึ่งประกอบโดยทวยชนทั้งหลายที่ไม่
ใช่เป็นพระราชา
พระองค์ผู้ทรงพระคุณธรรมอันประเสริฐจงทรงอนุญาตให้ข้าพระองค์ออกไปจากพระราช
อุทยานอันสำราญของข้าพระองค์โดยไม่ให้มีกิตติศัพท์
ข้าพระองค์จะกลับมาพร้อมด้วยความปราโมทย์ สู่ความร่มรื่นแห่งอุทยาน
หรือหากไม่ปราโมทย์ยินดีก็คงได้ความรู้มาสู่ตนด้วย
จงได้โปรดให้ข้าพระองค์ออกไปสู่ถนนต่างๆ
พรุ่งนี้แต่โดยลำพังของข้าพระองค์กับคนใช้เถิด"
เมื่อพระราชโอรสได้กราบทูลดังนั้นแล้ว
พระราชาจึงตรัสในท่ามกลางเสนามุขมนตรีของพระองค์ว่า
"บางทีการออกไปคราวนี้อาจแก้ความรู้สึกแห่งการที่ออกไปคราวก่อนนี้ได้ เห็นไหม
นี่แหละคือเหยี่ยวซึ่งใฝ่ฝันด้วยสิ่งทั้งหลายที่ตนเห็น
ภายหลังที่ได้หลงแล้วในเสน่ห์ จงปล่อยให้ลูกเราได้เห็นทุกสิ่งทุกสิ่งทุกอย่าง
แล้วจงนำข่าวแห่งลักษณะอาการความรู้สึกของเขามาแจ้งแก่เราด้วย"
ฉะนั้น พอรุ่งขึ้น ราวเที่ยงวัน
พระราชโอรสกับนายฉันนะก็ออกไปจากประตูซึ่งเปิดออก เมื่อคนยามได้เห็นพระราชลัญจกร
แต่ผู้ซึ่งเปิดประตูนั้นหาได้รู้ว่าผู้ที่แต่งกายเป็นนายพาณิชออกจากประตูไป
นั้นเป็นพระราชโอรสไม่ ทั้งนายสารถีเล่าก็แต่งกายปลอมเหมือนคนธรรมดา
เจ้ากับนายสารถีทั้งสองคนเดินไปตามทางหลวง ปนเปไปกับหมู่ศากิยะทั้งปวง
พลางทอดพระเนตรเห็นสิ่งที่สนุก และสิ่งที่ทุกข์ทั้งปวงในพระนคร
บรรดาถนนอันงามทั้งปวงก็ปรากฏแต่สรรพสำเนียงเสียงระเบงเซ็งแซ่ของทวยชนซึ่ง
ประกอบอาชีพอยู่อย่างนิจนิรันดร์
พวกพ่อค้านั่งยองๆ
อยู่ในท่ามกลางแห่งเครื่องเทศและเมล็ดพันธุ์ต่างๆ
พวกผู้ซื้อก็มีเงินอยู่ในไถ้ของตนไว้ซื้อของบ้าง ก็เถียงกันในเรื่องซื้อขาย
บ้างก็ร้องบอกให้หลีกทาง หลีกที่มีทั้งเกวียนที่มีล้อเป็นหินหนัก ลากด้วยโคแข็งแรง
ก้าวอย่างช้าๆ และบรรทุกของที่หนัก มีคนหามแคร่ซึ่งร้องเพลง
พวกกุลีขนของมีคอกว้างกำยำ โซมไปด้วยเหงื่อ เพราะตากแดด
หญิงแม่เรือนทูนศีรษะด้วยหม้อดิน หรือทองเหลืองใส่น้ำซึ่งตักมาจากบ่อ
ทั้งอุ้มลูกตาดำๆ ที่สะเอวของตนด้วย ร้านจำหน่ายตังเมลูกกวาดก็มีแมลงวันตอมเต็มอยู่
ช่างทอผ้าก็ทำงานของตนโดยเคาะกระสวย
ลูกโม่กำลังหมุนเพื่อบดข้าวสาลี สุนัขก็วิ่งพล่านไปเพื่อเที่ยวหาเศษอาหาร
ช่างทำอาวุธกำลังทำเสื้อเกราะด้วยปากคีบและค้อน
ช่างเหล็กก็กำลังเผาจอบและหอกให้แดงอยู่ในเตา ณ
โรงเรียนเหล่าดรุณศากิยะซึ่งเป็นศิษย์ก็นั่งอยู่โดยรอบครูของตนพลางบ้างอ่าน มนต์
บ้างศึกษาตำนานพระผู้เป็นเจ้าและเจ้าทั้งหลาย พวกย้อมผ้าตากผ้าสีส้ม สีกุหลาบ
หรือสีใบไม้ ซึ่งพึ่งเอาขึ้นจากถังกำลังเปียกๆ
มีทหารซึ่งกำลังเดินมีเสียงดาบกระทบกับโล่ ควาญอูฐนั่งโคลงเคลงอยู่เหนือโหนกของอูฐ
ทรงประจักษ์ทั้งพราหมณ์ (ตาม กฎของพระมนูแบ่งพลเมืองอินเดียเป็น 4 ประเภทคือ
1.พราหมณ์ คือพวกปฏิบัติกิจ 2. กษัตริย์ คือนักรบที่เป็นพระราชา 3. ไวศย
คือพวกพ่อค้าพานิชและพวกทำการเพาะปลูก 4. ศูทร คือพวกกรรมกร ทั้ง 4
ประเภทนี้แยกตามกำเนิดในตระกูลของบุคคล) ผู้มีธรรม ขัตติยะนักรบซึ่งสง่าองอาจ
ชนสามัญคือกรรมกร ณ ที่แห่งหนึ่ง
มีคนหมู่เบียดเสียดยัดเยียดกันเพื่อดูหมองูซึ่งพูดพลางก็เอางูพันแขนตนอย่าง
เครื่องประดับอันมีชีวิต หรือมิฉะนั้นก็บังคับให้อสรพิษตัวร้ายนั้นรำ
พลางชูคอแผ่แม่เบี้ย ทำท่าตามจังหวะกลองซึ่งประดับด้วยเศษแก้วต่างๆ
บางแห่งก็มีขบวนแห่และแตรงอน
มีม้าประดับเครื่องอันหรูหราและกลดแพรเพื่อแห่เจ้าสาวไปสู่เรือนหอ
บางแห่งก็มีสตรีถวายขนมและพวงมาลัยแก่พระเจ้า
เพื่อบนบานให้สามีของตนกลับจากการเดินทาง หรือมิฉะนั้นก็ขอให้ได้บุตรสักคนหนึ่ง
ไกลออกไปอีกมีช่างทำภาชนะกายดำๆ
ตีทองแดงดังลั่นเพื่อทำตะเกียงและหม้อ พ้นจากที่นั้นมา
พระโอรสกับนายฉันนะเดินเลียบมาตามกำแพงโบสถ์และใกล้ประตูใหญ่แล้วก็บรรลุถึง
แม่น้ำและสะพานซึ่งอยู่ใต้กำแพงพระราชธานี
แต่พอเสด็จข้ามสะพานพ้นมา
ทันใดนั้นก็มีเสียงครวญครางปรากฏขึ้นที่ริมถนนพร่ำว่า "พระคุณเจ้าขา
จงช่วยข้าพเจ้าด้วยเถิด จงช่วยพยุงข้าพเจ้าด้วย โอ! ช่วยข้าพเจ้าด้วย
มิฉะนั้นข้าพเจ้าเห็นจะตายก่อนถึงบ้าน"
ผู้นี้คือผู้ตกยากเข็ญใจร้องครวญครางเพราะเป็นไข้ทรพิษซึ่งร้ายกาจถึงตาย
และกำลังดิ้นรนอยู่กับธุลี เต็มไปด้วยน้ำหนองและเลือดสีแดงสดๆ
เสโทอันเย็นไหลออกตามหน้าผากเป็นเม็ดๆ ปากก็สั่นรัวไปด้วยความเจ็บปวด
ส่วนตาอันเหลือกลานก็ตกอยู่ในความทรมานแห่งยมทูต ให้ดิ้นรน กระวนกระวาย
มือดึงต้นหญ้าซึ่งมีอยู่ตามทางเพื่อลุกขึ้น เมื่อเผยอศีรษะขึ้นแล้วก็ล้มลงไปอีก
พลางสั่นเทิ้มไปทั่วสรรพางค์กาย พร้อมด้วยร้องอย่างเอน็จอนาถว่า "อา! ปวดเหลือเกิน!
ท่านผู้มีใจกรุณาได้โปรดช่วยด้วย"
ในทันใดนั้น
พระสิทธัตถะก็วิ่งไปประคองผู้ตกทุกข์คนนั้นขึ้นด้วยพระหัตถ์อันปรานี พลางค่อยๆ
วางศีรษะคนเจ็บนั้นบนพระชุ ทรงลูบคลำเพื่อให้บรรเทาความเจ็บลงแล้วจึงตรัสถามว่า
"พี่! ความทรมานของพี่คืออะไร? ทุกข์อะไรได้มาพ้องพานพี่? ทำไมจึงลุกไม่ไหว
ทำไมนายฉันนะ พี่คนนี้แกจึงหอบและครวญคราง พูดไม่ออก
แสดงอาการอย่างน่าอนาถใจดังนี้?"
นายสารถีกราบทูลว่า "คนนี้แหละ เป็นคนไข้ทรพิษชนิดหนึ่ง
ธาตุทั้งปวงกำลังจะดับ โลหิตอันเป็นประโยชน์สำหรับไหลฉีดไปตามเส้นต่างๆ
เพื่อเลี้ยงร่างกายของแกนั้น บัดนี้ได้ปั่นป่วนและเดือดดาลเหมือนห้วงเพลิง
หัวใจที่เคยเต้นสม่ำเสมอเป็นปกติ บัดนี้บางทีก็เต้นเร็ว
บางทีก็เต้นช้าเหมือนกลองซึ่งมีคนตีโดยปราศจากจังหวะ
กล้ามเนื้อทุกส่วนชืดชาเหมือนสายธนูที่หย่อน
กำลังวังชาได้สิ้นไปจากน่องเอวและคอของแกเสียแล้ว
อันความสง่าและความรื่นเริงของแกตามธรรมดาของมนุษย์ทั้งมวลก็ได้หนีห่างจาก ไปแล้ว
นี่เรียกว่าคนเจ็บ และเดี๋ยวนี้โรคกำลังกำเริบ
พระองค์ดูเถิดนั้นแกช่วยตัวของแกเอง
เพื่อหมายถอนพิษความเจ็บปวดของแกออก ดูแกกลิ้งเกลือกเสือกไส
มีดวงตาคลอหล่อไปด้วยเลือด ลมหายใจของแกก็ประหนึ่งว่าถูกรมควันให้สำลัก ดูเถิด!
แกคงอยากจะตายๆ ไปเสีย
แต่แกก็ไม่ตายก่อนที่โรคของแกได้กระทำให้แก่ทรมานจนถึงขนาดแล้ว
โดยพิฆาตฆ่าบรรดาเส้นประสาททั้งปวงซึ่งตายก่อนชีวิต
และเมื่อบรรดากล้ามเนื้อทั้งปวงสลายลงด้วยอำนาจของตรีโทษ
กับเมื่ออวัยวะทั้งปวงสิ้นความรู้สึกในความเจ็บปวด
โรคจะพรากไปจากแกแล้วก็ไปผลาญที่อื่นอีกต่อไป โอ! พระองค์
เป็นการมิบังควรเลยที่จะมาประคองแกไว้ดังนี้
โรคนี้อาจเป็นโรคติดต่อและอาจติดถึงพระองค์ได้"
แต่พระราชโอรสตรัสพลางช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเจ้าคนนั้นต่อไป
"มีเป็นแต่แกคนนี้คนเดียว หรือมีมากหลายด้วยกันที่เป็นเช่นนี้?
แลตัวฉันเองอาจเป็นเช่นนี้ได้เหมือนกันหรือ?"
"พระเจ้าข้า" นายสารถีทูลสนอง
"ความเจ็บปวดย่อมเป็นแก่ทุกคนโดยมีลักษณะต่างๆ มากมาย ความป่วยไข้และความเจ็บ พยาธิ
ขี้กลาก โรคอัมพาต ขี้เรื้อน โรคบิดลงท้องและโรคฝีต่างๆ
ย่อมจักเป็นแก่สรรพสัตว์ที่เกิดมาในโลกทุกอย่างและลามไปได้ทั่วทุกแห่ง"
"ก็โรคทั้งปวงจะจับใครๆ
โดยไม่สามารถจะแลเห็นมันได้อย่างนั้นหรือ?" พระราชโอรสทรงถามและนายฉันนะทูลตอบว่า
"มันมาเหมือนอสรพิษร้ายซึ่งขบกัดโดยไม่ให้เห็นตัวมัน
เหมือนพยัคฆ์ร้ายซึ่งแอบแฝงอยู่ในพุ่มต้นหนามพรหม (Karounda ตรงกับภาษาละติน
Garissa Carandas = ต้นหนามพรหม) ใกล้ๆ
ทางแห่งป่าใหญ่สำหรับจ้องคอยเวลาอันเหมาะแก่การที่จะกระโดดตะครุบ
หรือเหมือนอสุนีบาตซึ่งพิฆาตแต่บางคน และไม่พิฆาตบางคน สุดแต่โชคชะตาอยู่เรื่อยไป"
"ก็ถ้าเช่นนั้นมนุษย์ทุกคนก็ดำรงชีพอยู่ด้วยความหวาดเสียวอย่างนั้นหรือ?"
"มนุษย์ดำรงชีพอยู่อย่างนั้นแหละ พระเจ้าข้า"
"เออ! ก็ไม่มีใครเลยที่จะรองรับได้ว่า
คืนนั้นฉันนอนสบายและเป็นสุขเมื่อตื่นขึ้น แล้วก็จะสบายแลเป็นสุขเหมือนกัน
ดังนี้ใช่ไหม?"
"ไม่มีใครรับรองได้เลยพระเจ้าข้า"
"และที่สุดของความทรมานทั้งหลายเหล่านี้ซึ่งเมื่อจะมาพ้องพานก็โดยมิทันให้
เห็นให้รู้ตัว และมีผลเช่นว่า ให้กายคดงอ วิญญาณทุพพลภาพ แล้วก็แก่ชราลง
ดังนั้นหรือ?"
"อย่างนั้นแหละ พระเจ้าข้า ถ้าหากใครมีชีวิตยืนนาน"
"ก็หากว่าเราไม่สามารถทนทานอำนาจแห่งพิษของมันได้ และหากเราไม่อยากทนมัน
และอยากให้มันหมดไป หรือหากเราต้องทนแล้ว
หรือหากเราเป็นเช่นนี้จนอ่อนแอและรู้แต่ครวญครางอย่างเดียว แต่เรายังมีชีวิตอยู่อีก
แล้วก็ชราลง ชราลงทุกๆ ทีดังนี้จะมีที่สิ้นสุดอย่างไร?"
"ก็ตายเท่านั้นแหละ พระเจ้าข้า"
"คนเราตายด้วยหรือ?"
"ถูกแล้วพระเจ้าข้า ในที่สุดก็ถึงซึ่งความตายโดยไม่เลือกว่า ณ
ที่ใด ในเวลาไหน คนบางคนที่แก่ลง บางคนต้องทรมานและล้มเจ็บลง แต่ทุกๆ คนจะต้องตาย
จงทอดพระเนตรเถิด นั่นแหละความตายที่ผ่านไป"
ดังนั้นพระสิทธัตถะเงยพระพักตร์ขึ้น
แล้วก็ทอดพระเนตรเห็นกระบวนแห่กระบวนหนึ่งซึ่งมีคนร้องไห้เดินเป็นแถวอย่าง ช้าๆ
ทางข้างลำแม่น้ำ ข้างหน้ากระบวนมีคนแกว่งหม้อดินซึ่งเต็มไปด้วยถ่านไฟ
ข้างหลังมีพวกญาติเดินตาม ศีรษะโกนเกลี้ยง แต่งกายเต็มไปด้วยเครื่องไว้ทุกข์
เสื้อผ้าไม่สมประกอบและร้องด้วยเสียงอันดังว่า "โอ! รามา รามา โปรดฟัง!
พี่น้องทั้งหลายของฉัน จงช่วยกันอ้อนวอนรามา" ถัดจากนั้นก็มีที่ใส่ศพทำด้วยไม้รวก 4
อัน และสานด้วยไม้ไผ่ แล้ววางศพอันปราศจากความรู้สึกในจักษุประสาท สีข้างทั้งสองโบ๋
แยกเขี้ยวยิงฟัน ไว้บนนั้นแลโรยเต็มไปด้วยผงแดงๆ และเหลือง พอถึง 4 แยก
พวกคนหามก็หันเอาหัวศพไปไว้ข้างหน้า
แล้วร้องว่า "รามา! รามา!"
ครั้นแล้วก็นำศพไปที่ริมตลิ่งซึ่งมีกองฟืนตั้งอยู่และจัดนำศพไปวางบนที่รับ
ศพแล้วนั้นก็เอาฟืนทับลงอีก
ผู้ใดที่นอนเหนือที่นอนเช่นนี้ย่อมนอนหลับสนิทอย่างลึกซึ้ง
ความหนาวไม่ทำให้เขาตื่นได้เลย แม้ถูกเขาตั้งเปลือยๆ อยู่กลางลมจัดดังนี้ก็ดี
ครั้นแล้วต่างก็พากันจุดไฟที่มุมทั้ง 4 ด้าน ไฟซึ่งค่อยๆ ติด
ก็ลามแลบเอากองฟืนลุกเป็นเปลวขึ้นทันใดจนถึงซากศพ
ไหม้ตัวศพนั้นด้วยไฟซึ่งลุกกระพือเป็นเปลวและแตกดังเปรี๊ยะเปรี๊ยะเป็นเสียง
เย้ยหยัน ครั้นแล้วหนังซึ่งแห้งก็แยกแยะออก ข้อกระดูกทั้งปวงก็ขาดสะบั้น
ในที่สุดควันอันหนาก็จางลง และขี้เถ้าซึ่งมีสีแดงและเทาก็ทรุดลง
ปล่อยให้กระดูกอันขาวเป็นเศษซากของมนุษย์ปรากฏอยู่เกลื่อนกลาด
เมื่อปรากฏดังนี้แล้ว พระราชโอรสจึงตรัสว่า
"นี่หรือคือวาระที่สุดซึ่งรอคอยทุกผู้ทุกคนซึ่งมีชีวิตอยู่"
"เป็นวาระที่สุด ซึ่งสงวนไว้ให้แก่ทุกๆ คนแหละพระเจ้าข้า"
นายฉันนะทูลสนอง
"ผู้ซึ่งอยู่บนกองฟืนเมื่อกี้นั้นและซึ่งมีเศษซากน้อยจนแต่กาหิวก็ยังร้อง
บินไปไม่ใยดีจะอยากได้เป็นอาหาร แต่เดิมคนนั้นก็กิน ดื่ม หัวเราะ รัก
มีชีวิตรักและชีวิตเหมือนกัน แต่ภายหลังกลับเป็นอย่างไร? จะมีใครรู้ได้?
พายุแห่งป่าทึบ ก้าวเท้าพลาดบนทางเดิน ความสกปรกในบ่อ งูเงี้ยวขบกัด เหล็กมีพิษตำ
ความหนาว ก้างปลา หรือกระเบื้องตก"
เหล่านี้อาจทำให้ชีวิตให้ทำลายลงได้
แล้วมนุษย์ก็ถึงซึ่งความตาย ทีนี้ก็เป็นอันสิ้นความรู้ในรส ในความสนุกรื่นเริง
และในความเจ็บปวด ใครจะจุมพิตริมฝีปากของเขา ถึงเปลวไฟจะลามไหม้เขาก็ตาม
เขาหาได้เกิดความรู้สึกอย่างใดไม่
เขาไม่รู้สึกในการที่เนื้อของเขาถูกเผาและในกลิ่นของกำยานและไม้หอมซึ่งเผา ระเหย
ปากของเขาสิ้นแล้วซึ่งรส หูก็สิ้นแล้วซึ่งการได้ยิน ตาก็ไม่เห็นอะไร
คนที่รักของผู้ตายก็ได้แต่ร่ำร้องไห้ครวญครางข้างเดียว
เพราะต้องทำลายซากศพนั้นเพื่อไม่ให้กายเป็นอาหารอันน่าอนาถของหนอน
กายซึ่งดำรงอยู่ได้ก็โดยชีวิต
ชีวิตซึ่งเป็นตะเกียงภายในนี่แหละ คือโชคอันเป็นธรรมดาสำหรับเลือดเนื้อของมนุษย์
แม้ว่าใครจะมีอานุภาพหรือยากจนข้นแค้นก็ตาม ดีหรือชั่วก็ตามก็ต้องตายกันทั้งสิ้น
และตามที่ปรากฏตามคำที่สอนกันมา ก็ว่าเมื่อตายแล้วก็ไปเกิดใหม่อีก
ซึ่งไม่มีใครรู้ว่าไปเกิดที่ไหนและเกิดอย่างไร
เมื่อเกิดแล้วก็ต้องเผดิมเริ่มด้วยความหวาดเสียวและในวาระที่สุดก็เข้าสู่
กองไฟเผากายเช่นเดียวกัน นี่แหละคือวัฏสงสารของมนุษย์
เมื่อได้สดับดังนั้น
พระสิทธัตถะจึงเงยพระพักตร์มีพระเนตรอันคลอหล่อไปด้วยอัสสุชลอัน ศักดิ์สิทธิ์
ทอดดูฟ้าแล้วก็มองดูดิน เต็มตื้นไปด้วยธรรมเมตตา พระองค์ทอดพระเนตรดูฟ้าบ้าง
ดูดินบ้าง ประดุจว่า
พระทัยของพระองค์กำลังเพ่งเล็งค้นคว้าหาความเห็นอะไรอย่างหนึ่งอันลึกซึ้ง
และซึ่งเกี่ยวเนื่องติดต่อระหว่างฟ้าและดิน
คือความเห็นซึ่งล้ำความเห็นและมองไม่ได้ด้วยตา
แต่เมื่อค้นคว้าหาแล้วก็อาจพบเห็นและรู้จักได้
ครั้นแล้วโดยพระอาการอันสง่าซึ่งปั่นป่วนโดยอำนาจแห่งความดิ้นรนอย่างเดือด ดาล
ด้วยความเมตตาอย่างเหลือล้นพ้นประมาณ
และความเชื่อแน่ในความหวังอันหาที่สุดและสิ้นสูญมิได้ พระองค์จึงเปล่งพระอุทานว่า
"โอ! โลกซึ่งทรมาน! โอ!
พี่น้องที่รู้จักและไม่รู้จักทั้งหลาย
ซึ่งล้วนแต่ติดอยู่ในข่ายแห่งความทุกข์ยากและความตาย
ตายแล้วก็เกิดใหม่อีกเพราะถูกหน่วงเหนี่ยวโดยวิญญาณ! เราเห็น
เรารู้สึกแล้วในเหตุแห่งความวุ่นวายทรมานของโลก ความเย่อหย่งในความสำราญ
ความเย้ายั่วในความสุข ความหวาดเสียวในความป่วยเจ็บของโลก
ความสนุกรื่นเริงนั้นสิ้นสุดลง เมื่อประจวบเข้ากับความแร้นแค้น ความหนุ่มย่อมสิ้นลง
เมื่อประจวบเข้ากับความชราภาพ ความรักทำให้เกิดทุกข์ เมื่อสิ่งที่ตนรักได้หายไป
เป็นแล้วก็มีความตายมาตอบแทน
และเมื่อตายแล้วก็ไปเกิดเป็นอะไรที่รู้ไม่ได้เข้าอีกซึ่งกระทำให้มนุษย์ได้
รับความเป็นไปใหม่อีกตามวัฏสงสาร สำหรับให้หมุนในวงแห่งความเบิกบานที่ไม่เที่ยง
และในความทรมานอันแท้จริง เราเองก็เหมือนกันย่อมถูกหลอกด้วยเหยื่อเช่นเดียวกันนี้
และชีวิตก็ดูเหมือนว่าเป็นของรักของเรา และแม้นเหมือนกับกระแสน้ำกลางแดด
ซึ่งไหลโดยสันติสุขปราศจากขุ่นมัวชั่วนิรันดร
แต่แท้จริง แม่น้ำอันปราศจากเดียงสา
ถึงจะได้ไหลหลั่งผ่านสนามอันเต็มไปด้วยบุปผชาติก็ดี
ในที่สุดน้ำซึ่งใสดุจแก้วเจียระไนก็ไหลอย่างรวดเร็วลงไปสู่ทะเลซึ่งเค็ม
ไม่บริสุทธิ์เท่านั้น นี่แหละสิ่งซึ่งทำให้เรามืดมัวได้ประจักษ์แจ้งแก่เรา
แล้วเราก็เป็นอย่างมนุษย์ทั้งหลายซึ่งอ้อนวอนพระเจ้าโดยพระเจ้าไม่เห็นฟัง
แต่อย่างไรก็ดี ต้องมีทางหนึ่งทางใดที่จะช่วยเหลือเขา
และช่วยเรา และใครๆ ทั้งมวลที่ต้องการความช่วยเหลือ
สำหรับท่านเองก็ว่าไม่ได้และไฉนหนอท่านจึงอ่อนแอนัก
อ่อนจนไม่สามารถช่วยเหลือปวงชนที่ร่ำร้องวิงวอนถึง
เราไม่ประสงค์จะปล่อยให้ผู้ที่เราสามารถเกื้อกูลต้องตกอยู่ในความร่ำไห้
ทำไมพรหมเทพจึงได้สร้างโลกขึ้นแล้วสละละทิ้งไว้ในห้วงแห่งภัยร้าย
ถ้าท่านมีฤทธานุภาพเปี่ยมแท้ แต่ปล่อยให้โลกคงอยู่ในสภาพด้วยลักษณะฉะนี้แล้ว
ท่านก็ไม่นับว่าดีตามทำนองธรรม ท่านก็คงมิใช่พระผู้เป็นเจ้าอย่างแน่นอน "แน่ะ!
นายฉันนะ กลับวังเถอะ พอแล้ว ฉันได้ประสบพบเห็นเหตุต่างๆ พอแล้ว"
ครั้นสมเด็จพระราชบิดาได้ตระหนักในกรณีที่เกิดขึ้นโดยประการดังกล่าวมาแล้ว นั้น
พระองค์จึงให้เพิ่มหมวดรักษาการประจำตามทวารต่างๆ ขึ้นสามเท่าจำนวนเดิม
ทั้งมีพระราชกฤษฎีกาห้ามมิให้ผู้หนึ่งผู้ใดเข้าออกได้ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นในเวลากลางวันหรือกลางคืน
ทั้งนี้จนกว่าจะล่วงพ้นกำหนดจำนวนวันที่ได้ทรงทราบไว้ในพระสุบิน