ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

ประทีปแห่งทวีปเอเชีย

ผู้แต่ง : Sir Edwin Arnold (first published 1879)
ผู้แปล : เจ้าศักดิ์ประเสริฐ นครจำปาศักดิ์ 2483

การที่ข้าพเจ้าสามารถประพันธ์เรื่องพระจรรยาและพระลัทธิ อีกทั้งสามารถเผยแผ่พระอัธยาตมวิทยาแห่งพระองค์สมเด็จพระสมณโคมดม ผู้เป็นเจ้าแห่งชนชาติฮินดู ซึ่งเป็นผู้ทรงพระคุณธรรมอันสุขุมคัมภีรภาพ และผู้ทรงสถาปนาพระพุทธศาสนา อันประกอบด้วยสัมมาสัมโพธิญาณในกาพย์คดีเล่มนี้ได้นั้น ก็โดยได้อาศัยการถ่ายเทมาจากพุทธศาสนิกชน ซึ่งเชื่อว่าเป็นผู้ทรงไว้ซึ่งธรรมะอันเคร่งครัดผู้หนึ่ง

แม้ว่าพระพุทธศาสนาได้อุบัติมาแล้วตั้งแต่ 2,400 ปีกว่า ก็ยังมีผู้ที่เคารพนับถือมากมาย ทั้งยังคงเจริญอยู่จนถึงปัจจุบันนี้ อีกทั้งได้ไพศาลไปในเหล่าประเทศทั้งปวงมากหลายจนแม้แต่ในประเทศ ซึ่งมีความเชื่อถือในลัทธิอย่างอื่น ก็ได้ไพศาลไปในประเทศเหล่านั้นเหมือนกันก็ดี แต่ว่าในประเทศยุโรปนั้น นับแต่กาลสมัยก่อนๆ เป็นลำดับมา จนกระทั่งกาลสมัยที่พึ่งล่วงมาแล้วนี้เอง ไม่ทราบหรือแทบจะไม่เข้าใจเลยว่า เรื่องราวของพระพุทธศาสนาอันเจริญรุ่งเรืองอยู่ในทวีปอาเซียนี้ เป็นอย่างไรบ้าง จำนวนคนตั้ง 470 ล้านคน เป็นและตายอยู่ภายใต้ธรรมะบรรทัดฐานแห่งองค์สมเด็จพระสมณโคดม และความไพศาลอันรุ่งเรืองด้วยความศรัทธาในพระศาสนาของพระองค์ ซึ่งเป็นพระบรมศาสดาจารย์แต่โบราณกาล

ณ กาลทุกวันนี้ ก็กำลังเจริญอยู่ในแว่นแคว้นเนปาล เกาะลังกา ทั่วทุกคาบสมุทรแห่งภาคบุรพทิศ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศจีน ทวีปอาเซียภาคกลาง ประเทศไซบีเรีย และตลอดจนกระทั่งแม้แต่ที่ลาโปเนียของสวีเด็น ส่วนในประเทศอินเดียที่เป็นประเทศซึ่งแต่เดิมก็นับเนื่องอยู่ในพระราช อาณาจักรอันรุ่งเรือง ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งพระพุทธศาสนา แต่บัดนี้ พระพุทธศาสนาแทบจะเสื่อมความนิยมนับถือเสียสิ้นแล้วก็ดี แต่โดยเหตุที่พระพุทธศาสนานี้ ประกอบด้วยพระคุณธรรมอันจะลบล้างล้มเลิกเสียมิได้ พระโอวาทของสมเด็จพระสมณโคดมยังจารึกอยู่จึงสามารถแทรกแซงอยู่เหนือลัทธิ ประเพณีพราหมณ์สมัยใหม่ได้ บรรดาความนิยมและความเชื่อถือของชาวฮินดูซึ่งปรากฏเด่นชัดยิ่ง ก็นอบน้อมอย่างละมุนละม่อมไปข้างลัทธิของพระพุทธเจ้า

เมื่อเป็นดังนี้จึงอาจกล่าวได้ว่า มีมหาชนมากกว่าเศษหนึ่งส่วนสามของจำนวนมนุษย์ทั้งโลก ต้องนับถือเคารพในพระจรรยานุวัตร และพระศาสนาของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงไว้ซึ่งบารมีพระองค์นี้ ซึ่งแม้แต่เรื่องราวของพระองค์จะมีความบกพร่อง โดยเหตุที่จำลองให้แจ้งแสดงให้ปรากฏไม่ได้บริบูรณ์สืบๆ กันมาก็ดี ก็ยังกระทำให้น่าเชื่อว่า พระองค์เป็นเอกอัครมหาบุรุษในตำนานแห่งความคิดทางใจ เป็นองค์ที่ควรได้รับความรัก ความเคารพอย่างเอก เป็นองค์ผู้ทรงบริสุทธิ์ มีธรรมเมตตากรุณาเอ็นดูแก่สัตว์โลกทั้งปวงอย่างยิ่ง จนหาผู้ใดในประวัติแห่งผู้ทรงไว้ซึ่งความคิด ความวิจารณ์ทางใจมาเสมอเหมือนพระองค์เสียมิได้

ถึงแม้ว่าพระคัมภีร์ทั้งปวง ซึ่งเกี่ยวกับเรื่องของพระพุทธศาสนา มีแตกต่างกันบ้างเฉพาะในพลความบางข้อ จนกระทั่งถึงบางข้อบางเรื่อง กระทำให้เป็นมลทินมัวหมองแก่พระศาสนา โดยเกิดจากการประดิษฐ์ต่อเติมด้วยความหวังอันผิดและความบกพร่องในการตกแต่งคัดลอกก็ดี ก็ไม่มีข้อใด คำใดที่อาจทำให้ความบริสุทธิ์อันสดใสยิ่งลดน้อยลง โดยพระบารมีของพระบรมศาสดาจารย์ของชาวอินเดีย ผู้มีพระปัญญาอันทรงพระคุณธรรมวิเศษอย่างล้ำเลิศและเคร่งครัดยิ่ง ในการที่ทรงทรมาน (ซึ่งแม้พระองค์เป็นถึงลูกกษัตริย์ก็ดี) เพื่อประโยชน์แก่มนุษยโลกทั่วไป

อนึ่ง ถึงแม้ว่ามองสิเออร์บาร์เทเลอมี-แซงต์อีแลร์ ได้มีอรรถาธิบายในเรื่องพระพุทธศาสนาผิดถนัดไปบางข้อก็ดี ศาสตราจารย์ มักซ์มุลเลช์ ก็ยังรับรองว่าถูกต้อง ในตอนที่มองสิเออร์บาร์เทเลอมี-แซงต์อีแลร์ กล่าวถึงพระสิทธัตถะว่า "พระจรรยาของพระองค์หามลทินมิได้เลย พระวิริยภาพของพระองค์กับความมั่นของพระองค์มีน้ำหนักเทียบเท่ากัน หากว่าตำหรับที่มีอยู่นั้นคลาดเคลื่อนก็ดี แต่อาการที่พระองค์ทรงประพฤติด้วยพระวรกายของพระองค์เองให้เป็นตัวอย่างทั้งปวง ก็ล้วนแต่เป็นแบบ ซึ่งไม่มีที่ตำหนิติเตียนได้ทั้งสิ้น"

พระองค์เป็นผู้สำเร็จแล้วในตัวอย่างทั้งปวง ซึ่งพระองค์ได้ทรงสั่งสอนไว้ การสละเสียซึ่งความสุขในส่วนพระองค์กับความเมตตาของพระองค์ กับทั้งพระอริยคุณสมบัติอันบริสุทธิ์ของพระองค์ไม่มีที่วิปริตไปเลย จนแม้แต่ในขณะใดทั้งสิ้น ก่อนที่พระองค์จะแสดงลัทธิของพระองค์ให้ปรากฏแก่สัตว์โลกทั้งปวงนั้น พระองค์ได้เสด็จออกทรงบรรพชา ทำทุกรกิริยาเป็นเวลา 6 ปี เพื่อพิจารณาค้นหาความจริงแห่งโลก

"ครั้นตรัสรู้แล้วก็ได้เผยแผ่ศาสนาของพระองค์ โดยพระอาการสงบเงียบในทางวาจา คือ การเทศนาสั่งสอนสรรพสัตว์โลกทั้งปวงเท่านั้น เป็นเวลาถึง 45 ปีเศษ ครั้นเมื่อพระองค์เสด็จสู่ปรินิพพาน อยู่ในระหว่างหัตถ์แห่งสาวกทั้งปวงของพระองค์ ก็ทรงประกอบพร้อมด้วยพระลักษณะอันบริสุทธิ์เป็นเอกอัครมหาบุรุษ ผู้ซึ่งได้ทรงกระทำความดีมาแล้วตลอดพระชนมชีพของพระองค์ และแสดงว่า คือพระองค์นั่นแหละ ซึ่งเป็นองค์ผู้ทรงพบแล้วซึ่งความจริงทั้งปวงแห่งโลก"



ดังนี้จึงเป็นอันว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ที่ทรงบรรลุแล้วซึ่งผลสำเร็จในมรรคผลแห่งธรรมวิเศษ อันน่าพิศวงสำหรับมนุษย์ และถึงแม้ว่าพระองค์ไม่ทรงเห็นพ้องด้วยกับจารีตบางอย่างและพระองค์ตรัสว่า พระองค์เป็นผู้ซึ่งทรงได้บรรลุแล้วซึ่งนิพพาน แต่พระองค์ก็ยังได้ตรัสเหมือนกันว่า "ผู้อื่นก็อาจสามารถสร้างกุศลให้บรรลุถึงซึ่งนิพพานได้เหมือนกัน" วันแล้ววันเล่ากองบุปผชาติก็มีแต่เดียรดาษเหนือปูชนียสถานแห่งพระองค์ และทุกๆ วันมนุษยโลกอันอักโขก็มีแต่ภาวนาออกจากปากของตนซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยประโยคอันนี้ว่า "ข้าพเจ้าขอพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง"

พระพุทธเจ้าซึ่งออกพระนามในกาพย์คดีนี้ต้องมีจริงโดยไม่ต้องสงสัย พระองค์ทรงสมภพในแดนเนปาล (เชิงเขาหิมพานต์) ก่อนพระเยซูเกิดราว 623 ปี และเสด็จเข้าสู่ปรินิพพานในราว 543 ปี ก่อนคริสตกาล ที่เมืองโกสินาราในเขตแขวงมณฑลอุทธะ ดังนี้เมื่อนำศาสนาอื่นมาเปรียบเทียบกับพระศาสนาอันน่าเคารพ กอปรด้วยความนับถือของหมู่ชนทั่วโลก และชั่วนิรันดรนี้แล้ว จักบังเกิดความรักและความนับถืออของมนุษย์ไม่มีที่สิ้นสุด

อันคุณสมบัติที่กระทำให้เชื่อถือในผลแห่ง ความดีซึ่งไม่มีอะไรที่จะทำลายลงได้ อีกทั้งความมั่นคงในข้อที่ว่า มนุษย์ทั้งหลาย ยอมมีธรรมะแห่งความอิสระของตน ซึ่งไม่เคยมีสอนมาแต่ไหนแต่ไรเลยนี้แล้ว พึงเห็นว่าศาสนาอื่นล้วนแต่พึ่งอุบัติขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้เอง แต่ความวิปริตแปลกประหลาดทั้งปวง ซึ่งกระทำให้ประวัติ และลัทธิแห่งพระพุทธศาสนาบกพร่องไปนั้น ต้องเกิดจากความเสื่อมอันไม่สามารถจะหลีกให้พ้นได้ โดยเหล่าภิกษุสงฆ์มักแก้ไขไปตามความคิดความเห็นที่ใหญ่โตต่อๆ กันมาเสมอนั้น พระบารมีและพระธรรมรสแห่งลัทธิเดิมของพระพุทธเจ้าต้องถูกดัดแปลงแก้ไข โดยความคิดความเห็นของเหล่าภิกษุสงฆ์ หาใช่เป็นโดยผู้แปลคำสั่งสอนของพระองค์ หรือธรรมเทศนาของพระองค์อันหามลทินมิได้นั้นไม่ และเมื่อคราวมีการสังคายนา คงเลินเล่อ และนึกตกแต่งให้ไพเราะเสียมาก

การที่ข้าพเจ้าเรียบเรียงสิริลิขิตเล่มนี้ ต้องเรียบเรียงตามปากคำของพุทธศาสนิกชนผู้หนึ่ง เพราะว่าเพื่อจะได้อนุโลมให้เห็นความคิด การวิจารณ์แห่งชนชาวอาเซีย ก็ต้องอาศัยความเพ่งเล็งดูความเห็นของชาวชนเบื้องบุรพทิศ และถึงแม้ว่าในที่นี้ มีเรื่องราวกล่าวถึงความอัศจรรย์ หรืออัธยาตมวิทยาปรากฏอยู่ด้วยก็ดี ก็คงจะไม่กระทำให้บังเกิดความเข้าใจผิดไปอย่างอื่นได้ นอกจากจะกระทำให้เข้าใจว่า เป็นธรรมดาลัทธิอันว่าด้วยการเวียนเกิดเวียนตายแห่งวิญญาณเป็นต้น ถึงหากว่า ไม่ต้องด้วยความเชื่อถือของบุคคลสมัยใหม่ก็ดี แต่ลัทธิความเชื่ออันนี้ ก็ได้มีรกรากและได้รับความเคารพรับถือจากชาวฮินดูมาแล้ว ตั้งแต่สมัยพุทธกาล ซึ่งขณะนั้นเมืองนินิฟกำลังตกอยู่ในเงื้อมมือของพวกเมเด้ส และพวกโฟเซียนสร้างเมืองมาร์ไซร์ (ในประเทศฝรั่งเศส)

เรื่องนี้เป็นเรื่องโบราณคดี เพราะฉะนั้น ตามที่ข้าพเจ้าบรรยายในที่นี้ อย่างไรก็ดี ก็ต้องมีความไม่บริบูรณ์อยู่เอง และถ้ายิ่งไปคิดถึงกฎของการประพันธ์สิริลิขิตด้วยแล้ว จะเป็นข้อความซึ่งเกี่ยวกับอัธยาตมวิทยาก็ดี หรือจะเป็นข้อความซึ่งเกี่ยวกับเวลาอันยืดยาว ซึ่งพระพุทธองค์ทรงบำเพ็ญพระพุทธกิจของพระองค์นั้นก็ดี ข้าพเจ้าต้องออกตัวว่า ข้าพเจ้าคงได้ข้ามเรื่องตอนสำคัญๆ มากมายเป็นแน่

แม้แต่กระนั้นก็ดี หากว่าเท่าที่ข้าพเจ้าได้ประพันธ์นี้พอที่จะกระทำให้ท่านทั้งหลายสามารถทราบพระธรรมจริยานุวัตร อีกทั้งพระลัทธิของพระพุทธเจ้าได้พอสมควรแล้ว ก็ต้องนับว่าข้าพเจ้าสามารถทำการได้ผลสมความมุ่งหมายแล้วเหมือนกัน อนึ่งเฉพาะพระลัทธิของพระพุทธเจ้านั้น มีนักปราชญ์มากหลายได้เยินยอเป็นปุจฉาวิสัชนามามากแล้ว

สำหรับข้าพเจ้า จึงขอกล่าวว่า ข้าพเจ้าเองก็ได้ความรู้มาจากทางอื่น ซึ่งกล่าวถึงเรื่องพระพุทธศาสนานี้ไม่บริบูรณ์เต็มเม็ดเต็มหน่วยเหมือนกัน มีจากข้อความซึ่งปรากฏในหนังสือของสเป็นซ์ ฮาร์ดี เป็นต้น และการดัดแปลงเรื่องราวให้เป็น "การเล่าเรื่องธรรมดา" นั้น ข้าพเจ้าเองก็ไม่ปฏิเสธว่าข้าพเจ้าไม่ได้ทำมาแล้วมากมายเหมือนกัน

แต่อย่างไรก็ดี คำอธิบายของข้าพเจ้าสำหรับเรื่องซึ่งเกี่ยวกับ นิพพาน, ธรรม และ กรรม, กับเรื่องอื่นอันเป็นแก่นของพระพุทธศาสนา ซึ่งข้าพเจ้าได้นำมาอธิบายในหนังสือเล่มนี้ อย่างน้อยก็คงจะเป็นประโยชน์แก่การศึกษามากมายอยู่กับทั้งอาจเป็นประโยชน์แก่การพิจารรา ความเชื่อถืออันมั่นคงของมนุษยโลกตั้งหนึ่งในสามส่วนของโลก ซึ่งอย่างไรก็ดี คงจะไม่มีอะไรที่อาจกระทำให้เขาเชื่อว่า วิญญาณ เป็นของดับสูญในชั่วกำเนิดครั้งเดียวเป็นแน่.

ในที่สุดนี้ โดยความเคารพต่อพระอิสสริยบารมีแห่งพระองค์ในเรื่อง "ประทีปอาเซีย" นี้ อีกทั้งโดยความนับถือแก่บรรดาท่านนักปราชญ์ทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ประพันธ์เรื่องราวอันควรเคารพของพระองค์และเป็นผู้ทรงไว้ ซึ่งปัญญาความเฉลียวฉลาดเปรื่องปราชญ์ปรีชายิ่งกว่าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอได้รับอภัยในความบกพร่องอันพึงมี ในความรู้อันเป็นเครื่องกระทำให้ข้าพเจ้าประพันธ์กาพย์คดี อันอุปมาเหมือนหนึ่งว่า ข้าพเจ้าเร่งทำอย่าง "สุกก่อนห่าม" นี้ด้วย

ที่ข้าพเจ้ากล่าวดังนี้ก็เพราะเวลาของข้าพเจ้าจำกัดที่สุด แต่ที่ทำสำเร็จลงไปได้ ก็โดยได้ อาศัยความเจตนาที่จะให้ความรู้ของทวีปอาเซีย ได้รู้ไปถึงยุโรป เป็นเครื่องดลใจ และเร่งเร้าความอุตสาหะของข้าพเจ้าเสมอเท่านั้นเอง เมื่อได้กล่าวมาถึงเพียงนี้แล้ว คงจะเป็นการพอที่จะกระทำให้ข้าพเจ้าอาจภูมิใจได้แล้วว่า หนังสือเล่มนี้ซึ่งเป็นชิ้นเอกของเรื่องอินเดียเรื่องหนึ่ง ที่ข้าพเจ้าได้ประพันธ์ร้อยกรองขึ้นดังประหนึ่งเป็น "วิหาระดุริยางค์แห่งดุริยางค์ของอินเดีย" ของข้าพเจ้า หวังว่า (หนังสือเล่มนี้) คงอาจสามารถที่จะช่วยเชิดชูสติปัญญาของผู้ที่รักประเทศอินเดีย และทวยนิกรชนชาวอินเดียได้เป็นแน่.

เอดวิน อาร์นอลด์

ปริเฉทที่ 1 ชาติกถา
ปริเฉทที่ 2 อาวาหมงคลกถา
ปริเฉทที่ 3 เทวทูตทัสนกถา
ปริเฉทที่ 4 ปัพพัชชกถา
ปริเฉทที่ 5 ทุกรกิริยากถา
ปริเฉทที่ 6 มารวิชัย อภิสัมโพธิกถา
ปริเฉทที่ 7 พุทธกิจ
ปริเฉทที่ 8 พุทธกิจบรรยาย

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย