ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
ปริเฉทที่ 1 ชาติกถา
ปริเฉทที่ 2 อาวาหมงคลกถา
ปริเฉทที่ 3 เทวทูตทัสนกถา
ปริเฉทที่ 4 ปัพพัชชกถา
ปริเฉทที่ 5 ทุกรกิริยากถา
ปริเฉทที่ 6 มารวิชัย อภิสัมโพธิกถา
ปริเฉทที่ 7 พุทธกิจ
ปริเฉทที่ 8 พุทธกิจบรรยาย
ปริเฉทที่ 7 พุทธกิจ
ในระหว่างกาลหลายปีนั้น พระเจ้าสุทโธทนะได้ทรงแต่ระทมทุกข์เศร้าโศก
และยามเมื่อพระองค์ประทับอยู่ในท่ามกลางเหล่าเจ้าศากิยะทั้งปวง
พระองค์สลดพระทัยด้วยการที่ไม่ได้เห็นและได้ยินเสียงพระราชโอรส ฝ่ายพระนางศรียโสธรา
เมื่อพระสวามีองค์อัครบุรุษของพระนางได้พรากไปให้พระนางเป็นม่ายเสียแล้ว
พระนางก็มีแต่โศกเศร้าอาดูร จนไม่รู้จักประสบพบความสำราญใน พระชนมชีพ
แห่งพระนางเสียเลย
และคราวใดที่มีใครมาเล่าถึงเรื่องฤาษีซึ่งมีคนเลี้ยงอูฐหรือพวกพ่อค้าพาณิช
ที่ไปค้าหากำไรในเมืองไกลๆ ได้ไปพบเห็นเข้า
แล้วผู้สืบข่าวของพระราชาก็ออกไปสืบแล้วนำกลับมากราบทูลว่า
ได้ไปเห็นบุรุษผู้เคร่งสันโดษเดี่ยวและปราศจากที่อาศัยมา
แต่ก็ไม่มีใครได้ทราบข่าวคราวของบุรุษผู้เป็นมกุฏเฉลิมเกียรติแห่งนรชาติ
ของกรุงกบิลพัสดุ์อันเป็นที่เชิดชูไว้วางพระราชหฤทัยแห่งพระราชาพระราชบิดา
เป็นเอกอัครเสน่หาของพระนางศรียโสธราและบัดนี้ได้เสด็จไปเสียห่างอย่างหลง
ลืมเพราะกลับพระทัยหรือบางทีจะถึงซึ่งสิ้นพระชนม์เสียแล้วนั้น
ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง ในวสันตฤดู ( ฤดูใบไม้ผลิ )
ซึ่งหยาดน้ำค้างขาวดุจดังเงินแวววับอยู่บนต้นมะม่วง
และเป็นฤดูซึ่งมีความอบอุ่นทั่วทั้งพื้นปฐพีนั้น
พระนางศรียโสธราได้เสด็จมาประทับที่ริมแม่น้ำอันใสสะอาดแห่งอุทยานซึ่งมีน้ำ
ใสสะอาดดุจแก้วเจียระไนที่มีดอกบัวเรียงรายเป็นขอบเขตนั้น อันเคยมีเงาภาพ ณ
กาลก่อนซึ่งเคยเกษมสุข ขณะสอดกรจับพระหัตถ์กับพระราชบุตรหรือขณะที่ทรงจุมพิต
ขอบพระเนตรของพระนางชอกช้ำไปด้วยความโหยไห้ ปรางอันอ่อนละมุนทั้งสองข้างก็ซูบลง
ขอบพระโอษฐ์ซึ่งงามพริ้งก็เหี่ยวลงโดยอำนาจแห่งความเศร้าพระทัย
พระเกศาอันเหลือบเป็นเงาก็ซ่อนและม้วนเสียอย่างสตรีหม้ายทั้งปวง
พระนางไม่ทรงเครื่องประดับเครื่องต้นเครื่องทรงอะไรเลย
และไม่มีเครื่องทรงวิจิตรใดเลย ที่อยู่กับเครื่องแต่งพระองค์ไว้ทุกข์ขาวอย่างหยาบๆ
พระบาทอันงามและแน่งน้อย ก้าวดำเนินได้แต่ช้าๆ
และโดยความลำบากซึ่งแต่กาลก่อนเคยก้าวว่องไวเหมือนเท้าของนางเก้ง
และเบาเหมือนกลีบดอกกุหลาบ
ในเมื่อพระนางได้ยินเสียงอันสุดเสน่หาแห่งพระราชสามีรับสั่งเรียกพระนางนั้น
ดวงเนตรทั้งคู่ซึ่งแต่เดิมแม้นเหมือน ดวงอาทิตย์อันแวววับอยู่ในที่มืดอันแสนมืด
บัดนี้เคลิ้มเหม่อเมิน และลอยแลดูอย่างไม่รู้ว่าดูอะไร
ถึงทอดพระเนตรดูความพิเศษแห่งฤดูอบอุ่นซึ่งได้อุบัติขึ้นก็ดี
ก็ทอดพระเนตรด้วยอาการอันกำสรด
กำสรดจนหนังพระเนตรอันละมุนละไมหรี่ลงมาปิดให้ดวงพระเนตรนั้นหลับไป
พระกรข้างหนึ่งถือเข็มขัดประดับไข่มุกของพระสิทธัตถะซึ่งพระนางรักษาไว้เป็น
ที่ระลึก ตั้งแต่ราตรีที่พระราชสวามีเสด็จพรากไปจากพระนาง
โอ้ ! คืนร้ายเอ๋ย ? ราตรีร้าย ? มารดาแห่งทิวาวารซึ่งระทมทุกข์ ?
ความรักอะไรหนอที่ร้ายยิ่งไปกว่าความรักซึ่งถูกปลิดเสียจากผู้ซึ่งตั้งใจรัก
จนวาระที่สุดแห่งชีวิต พระกรอีกข้างหนึ่งของพระนางจูงพระราชโอรส
โอรสของนางซึ่งงามวิเศษ
โอรสซึ่งพระสิทธัตถะทิ้งไว้ให้เป็นกำนัลแก่พระนางมีนามว่าราหุล
และบัดนี้มีพระชนม์ได้ 7 พรรษา พระราหุลดำเนินเคียงข้างพระราชมารดาอย่างคล่องแคล่ว
ในพระทัยเบิกบานไปด้วยการที่ได้เห็นความงามแห่งโลกในวสันตฤดู
ครั้นแล้วทั้งสองพระองค์
พระมารดากับพระโอรสก็เสด็จมารีรออยู่ริมสระซึ่งเต็มไปด้วยปทุมชาติ
และพระราหุลซึ่งทรงพระสรวลสำราญก็โยนข้าวให้แก่มัจฉาชาติสีเขียวและสีแดง
ฝ่ายพระนางเมื่อมองดูฝูงวิหคที่บินมาอย่างรวดเร็วแล้วก็ทรงถอนพระทัยนึกว่า
โอ้สัตว์มีปีกเจ้าเอ๋ย
หากเจ้าได้พบเห็นว่าพระองค์ผู้เป็นที่รักของเราเสด็จไปซ่อนอยู่ที่ไหนแล้ว
ขอจงทูลด้วยว่า ยโสธราเตรียมพร้อมอยู่เสมอที่จะตาย ยังรอแต่ให้ได้ยินตรัสแต่คำเดียว
และได้สอดสวมพระหัตถ์ของพระองค์แต่ครั้งเดียวเท่านั้น
ก็แลในขณะที่พระนางกำลังถอนพระทัยคร่ำครวญและพระราชโอรสกำลังเล่นอยู่นั้น
มีนางสนมมาทูลพระนางว่า ข้าแต่พระแม่เจ้า
มีนายวาณิชแห่งหัสดินปุระผ่านเข้ามาทางประตูด้านใต้ นามว่าตระปุษะ และภัลลิกะ
ล้วนแต่เป็นคนสำคัญซึ่งมากจากฝั่งทะเลที่มีคลื่นร้าย นำสินค้ามาขาย
มีผ้าเยียระบับซึ่งงามวิเศษ มีทองสำริดอันแวววับ โถทองเหลือง งาต่างๆ เครื่องเทศ
เครื่องแต่งกาย และนกแปลกๆคือขุมทรัพย์ของชนชาติต่างด้าว
แต่ยังอีกอย่างหนึ่งซึ่งวิเศษกว่าสินค้าทุกๆ อย่าง
สิ่งนั้นคือพระองค์ซึ่งเป็นบดีของพระแม่เจ้าและของหม่อมฉัน เขาเห็นพระองค์
องค์พระราชสวามีของพระแม่เจ้าซึ่งเป็นที่พึ่งแห่งนิคมคามทั้งปวง คือ
พระสิทธัตถะอย่างไรล่ะเพคะ เขาได้เห็นพระองค์เฉพาะพระพักตร์
และได้กราบถวายบังคมพระองค์กับทั้งได้ถวายของแด่พระองค์ด้วย เพราะบัดนี้
พระองค์ได้ทรงเป็นผู้เผยพระธรรมอันวิเศษซึ่งคนทั้งโลกบูชาเคารพ
มีบุญและอัศจรรย์ยิ่ง คือเป็นพระพุทธเจ้าซึ่งช่วยมนุษย์และโปรดสัตว์โลกทั้งปวง
โดยพระธรรม เทศนาอันอ่อนหวานและโดยพระธรรมเมตตาอันใหญ่ประดุจท้องฟ้า
ดังที่พระองค์ได้ทรงถูกทำนายไว้มาแต่ก่อนแล้วนั้น
ตามที่นายวาณิชเล่าให้ฟังปรากฏดังนี้แหละเพคะ
ฝ่ายพระนางศรียโสธรา
เมื่อได้ทรงทราบดังนั้นแล้วความปลาบปลื้มก็แล่นทั่วทั้งสรรพางค์
เหมือนดังน้ำแม่คงคาซึ่งละลายจากอาการที่แข็งอยู่ในภูเขาครั้งแรกฉะนั้น
พระนางลุกขึ้นตบพระหัตถ์และทรงพระสรวล
ดวงพระเนตรคลอหล่อไปด้วยอัสสุชลแล้วรับสั่งว่า โอ ! ไปเชิญเขามาที่หน้าม่าน (
ในประเทศอินเดียฝ่ายเหนือ สตรีชั้นสูงไม่ยอมแสดงให้คนต่างประเทศหรือผู้อื่นเห็น
เพราะฉะนั้นจึงต้องอยู่ในม่าน )
เพราะหูของเราซึ่งกระหายเหมือนคนที่คอแห้งอยากดื่มข่าวอันน่าบูชานั้นอย่าง ยิ่งแล้ว
จงไปเชิญเขามา เราจงบอกเขาด้วยว่าถ้าคำพูดของเขาถูกต้องจริง
เราจะรางวัลทองคำและเพชรนิลจินดาซึ่งมีค่าควรพระราชาทั้งหลายมีประสงค์อยาก จะได้
ฝ่ายหล่อนผู้มาบอกแก่เราจงกลับมาด้วยนะจ๊ะ
เพราะหล่อนก็จะได้รับรางวัลในโอกาสคราวนี้เพื่อเป็นเครื่องแสดงความขอบคุณ
อันพึงมีในใจของเรา
เมื่อดังนั้นแล้ว
นายวาณิชทั้งสองก็ไปยังพระตำหนักอันเกษมศานต์และเดินอย่างช้าๆ
ไปตามวิถีอันงดงามด้วยเท้าเปล่าในท่ามกลางนางสาวทั้งปวงที่มองดูเขาผู้ซึ่ง
ตื่นเต้นด้วยความรุ่งโรจน์แห่งราชสำนักนี้
เมื่อเขาทั้งสองได้มาถึงม่านแล้วก็ได้ยินพระสุรเสียงอันอ่อนโยนลั่นและ
ไพเราะถามมาว่า ท่านผู้มีการุญภาพ ท่านมาจากเมืองไกล
และท่านได้เห็นพระองค์พระสวามีของข้าพเจ้า แล้วท่านได้บูชาพระองค์
ด้วยเหตุว่าพระองค์ได้เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งโลกทั้งมวลเยินยอพระองค์เป็นผู้มี
บุญและผู้ช่วยมนุษย์ให้พ้นทุกขเวทนา และเวลานี้
พระองค์ก็กำลังเสด็จไปสู่ที่เหล่านี้ ขอท่านได้เล่าให้ฟังทีเถิด
เพราะหากเป็นความจริงดังนั้นแล้ว เราขอเป็นมิตรแห่งราชสำนักของเรา
เป็นมิตรที่เรานับถือยินดีรับรอง
ตระปุษะจึงทูลว่า ข้าแต่พระนางเจ้า
ข้าพเจ้าได้เห็นพระองค์ผู้ทรงพระบารมีนั้นจริง ข้าพเจ้าได้ถวายบังคม ณ
พระบาทยุคลของพระองค์ เพราะเหตุว่าพระองค์ซึ่งแต่เดิมเป็นแต่เพียงเจ้าชายนั้น
บัดนี้ทรงปุญญานุภาพใหญ่ยิ่งกว่าพระราชาทั้งปวงแล้ว ณ
ใต้ต้นโพธิ์ที่ริมฝั่งแม่น้ำผัลคู การกระทำอันสามารถช่วยมนุษยโลกได้ นั้น
บัดนี้ได้สำเร็จแล้วโดยความพากเพียรของพระองค์ผู้เป็นมิตรและและเจ้าแห่ง
มนุษย์ทั้งปวง พระองค์ซึ่งเป็นของพระนางมากกว่าใครๆ
ซึ่งพระนางต้องโศกาดูรนั้นมีค่าแก่โลกคือ
โลกได้ฟื้นเพราะพระธรรมเทศนาขององค์พระศาสดา ขอได้ทรงฟังเถิด
พระองค์ทรงสุขสบายเหมือนบุคคลผู้ชนะแล้วเหนือความชั่วทั้งปวง
พระองค์เป็นพระเจ้าซึ่งหลุดพ้นแล้วจากความแร้นแค้นทั้งปวงแห่งโลก
ผ่องใสในความจริง ซึ่งได้มาปรากฏแล้วแก่พระองค์อย่างบริสุทธิ์
งามจริงเมื่อพระองค์เสด็จไปตามเมืองต่างๆ ได้ทรงสั่งสอนด้วยวิธีอันสุขุม (
คือแสดงพระธรรมเทศนา ) ซึ่งนำมาซึ่งความสงบสันติภาพ
กระทำให้มนุษย์ทั้งปวงเจริญตามวิถีทางของพระองค์
เหมือนดังใบไม้ที่มารวมกันเข้าเป็นกองด้วยอำนาจแห่งลม
หรือเหมือนปศุสัตว์ที่เดินตามผู้รู้จักที่ๆ มีธัญญาหาร ข้าพเจ้าเหล่านี้ก็เหมือนกัน
ข้าพเจ้าได้สดับฟังมธุรธรรมเทศนาอันวิเศษของพระองค์
พระองค์คงจะเสด็จมาถึงนี่ก่อนฤดูฝนจะเริ่มตกในครั้งแรก
เมื่อนายวาณิชทูลดังนี้แล้ว
พระนางศรียโสธราก็ตันตื้นไปด้วยความปลาบปลื้มยินดีจนพระนางสามารถรับสั่งตอบได้แต่เพียงว่า
จงมีความสุขเถิด ทั้งในบัดนี้และเสมอไป ท่านผู้มีไมตรีอันควรนับถือ
ท่านผู้ซึ่งนำข่าวดีมาแจ้งแก่เรา แต่ก็ความบำเพ็ญเพียรอันใหญ่ยิ่งนั้น
ท่านรู้ไหมว่าได้บรรลุถึงซึ่งผลสำเร็จอย่างไร
ภัลลิกะจึงทูลตามที่ได้รับทราบจากการบอกเล่าของพวกชาวหุบเขาถึงเรื่องพระ
พุทธองค์ทรงผจญในยามราตรีกาลซึ่งอากาศวิปริตมืดมัวด้วยอุบายของพวกปิศาจซึ่ง
พื้นแผ่นดินหวั่นไหว น้ำได้ท่วมขึ้นด้วยอำนาจแห่งความกริ่งโกรธของพระยามาร
กับภัลลิกะได้เล่าถึงการที่พระบารมีของพระองค์ได้เปล่งปลั่งออกเป็นรัศมีอัน
เป็นที่พึงหวังแห่งมนุษย์ทั้งหลาย
กับการที่พระองค์ได้ประสบแล้วซึ่งความสำราญอยู่ใต้ต้นโพธิ์นั้น ภัลลิกะทูลต่อไปว่า
แต่นั่นแหละการที่พระองค์บำเพ็ญเพียรทำเพื่อช่วยโลกนี้ก็อุปมาเหมือนหนึ่ง ว่า
ภาระนี้หนักเหมือนก้อนทองทับอยู่เหนือดวงพระหฤทัย
เพราะพระองค์จักต้องทำพระองค์ให้พ้นจากกิเลสรบกวนต่างๆ
และความสงสัยเพื่อนำไปสู่ฝั่งแห่งความจริงโดยสวัสดิภาพ
เพราะพุทธเจ้าทรงตรึกตรองว่าทำไมมนุษย์ซึ่งชอบบาปของตนและลุ่มหลงด้วยรูป
เสียงกลิ่นรสอันเป็นเท็จตั้งพันประการนั้นจึงจะฉลาดพอที่จะมองดูและมีพละ
กำลังพอที่จะหักความพันพัวแห่งกามที่ผูกมัดตนนั้นได้
ทำอย่างไรมนุษย์จึงเรียนรู้นิทานทั้ง 12 (
คือกำหนดความเป็นอยู่ที่พัวพันโดยกฎของเหตุกับผลตามความสังเกตอันเป็นหลักก็
คือปรากฏว่า ทุกข์ติดพันอยู่กับธรรมชาติ ต้นเหตุของทุกข์คือความเกิด คือความยึดถือ
ต้นเหตุของความยึดถือคือความอยาก ความอยากเกิดจากความรู้สึกซึ่งเนื่องจากความสัมผัส
ความสัมผัสเนื่องจากเส้นประสาทๆ เกิดจากรูปกายซึ่งมีนามกำหนด < นามรูป >
ซึ่งเกิดจากวิญญาณ วิญญาณเกิดจากดำริซึ่งเกิดจากความโง่ ( อวิชชา )
เพราะฉะนั้นต้องกำจัดตัวอวิชชาเสียเพื่อถึงซึ่งบรมสุขอย่างยอดเยี่ยม )
และบัญญัติที่อาจให้พ้นทุกข์ได้ ซึ่งดูๆ ก็น่าเกรงขามเพราะความใหม่
เช่นเดียวกับนกที่เคยกรง รู้สึกหวั่นไหวในเมื่อประตูเปิดอ้าไว้
ถ้าดังนี้เราก็คงจะไม่สมกับผลแห่งความมีชัย
หากว่าในพิภพนี้ไม่มีที่พึ่งคือพระพุทธเจ้าซึ่งเป็นองค์ผู้หาหนทางพบแล้ว
แต่หากทรงคาดว่าหนทางนี้กันดารเกินไปสำหรับเท้ามนุษย์ผู้ไม่ยั่งยืนและหาก
พระองค์ได้ข้ามพ้นไปแล้วโดยไม่มีใครเดินตามพระองค์เลย
ก็การที่พระพุทธองค์ของเราทรงพิจารณาเช่นนี้นั้น
พระองค์ทรงพิจารณาโดยเมตตาคุณของพระองค์ แต่ ณ
วาระนั้นมีเสียงแหลมดุจดังเสียงสตรีคลอดบุตรปรากฏขึ้นเสมือนหนึ่งว่าแผ่นดิน
ซึ่งหวั่นไหวแล้วครวญครางว่า เรานี้ไม่รอดย่างแน่นอนเสียแล้ว
คือเรากับธรรมชาติทั้งหลายของเรานี้
ครั้นเมื่อเสียงนั้นเงียบสงบลง ลมตะวันออกก็รำเพยเป็นศัพท์สำเนียงว่า โอ
พระองค์ผู้มีบุญ ขอพระองค์จงสำเร็จในการเผยแผ่ข้อบัญญัติของพระองค์เถิด
พระศาสดาจารย์เจ้าทรงทอดพระเนตรดูธรรมชาติทั้งปวง
พระองค์ทรงเห็นธรรมชาติซึ่งบ้างก็เชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ทันที
และบ้างก็ยังจะต้องรอต่อไป
เฉกเช่นดวงอาทิตย์อันแรงกล้าซึ่งโชติช่วงอยู่เหนือหนองน้ำซึ่งเต็มไปด้วย ปทุมชาติ
แลเห็นดอกปทุมชาติบางดอกเตรียมพร้อมที่จะแย้มกลีบเพื่อรับรัศมีของดวง
อาทิตย์นั้นบ้าง และดอกใดบ้างที่ยังไม่แตกกลีบบานก้าน ฉะนั้นเมื่อทรงเห็นดังนี้
พระองค์จึงทรงแย้มตรัสว่า นั่นแหละ
เราจะสั่งสอนแต่ผู้ซึ่งตั้งโสตสดับเพื่อศึกษาในบัญญัติของเรา
ครั้นแล้ว เขาเล่าต่อ พระองค์ก็เสด็จข้ามเขาต่างๆ
แล้วเสด็จเข้ายังนครพาราณสีซึ่งพระองค์ทรงสั่งสอนฤาษีทั้ง 5 ( คือปัญจวัคคีย์ )
โดยทรงแสดงให้ปรากฏว่าชีวิต ( ความดำรงชีพ )
กับความตายนั้นย่อมถูกทำลายลงไปได้อย่างไร และมนุษย์ย่อมไม่ได้รับโชคอะไรอื่น
นอกจากโชคซึ่งได้ผลจากความประพฤติก่อนๆ ที่ล่วงมาแล้วของตนนั้นอย่างไร
ไม่มีนรกใดนอกจากนรกซึ่งตนเองเป็นผู้กระทำขึ้น
ไม่มีสวรรค์ใดเลยที่จะสูงยิ่งสำหรับผู้ที่ชนะแล้วซึ่งราคะตัณหาทั้งปวง
พระองค์ทรงสั่งสอนดังนี้ เมื่อวัน 15 ค่ำ เดือนไพศาขะ ( หรือวิสาขะ
เทียบปลายเดือนพฤษภาคมจนถึงต้นเดือนมิถุนายน ) ณ
ท่ามกลางแห่งเวลาเที่ยงแล้วและในคืนนั้นพระจันทร์เพ็ญเต็มดวง
ก็แลฤาษีทั้ง 5 รูปนั้น รูปที่ 1 นามว่า เกาณฑินยะ ( โกณฑัญญะ )
ได้บรรลุถึงความจริง คืออริยสัจทั้ง 4 แล้วก็ได้สำเร็จพระอรหัตต์
และต่อมาจากเกาณฑินยะ ก็คือ ภัทริกะ ( ภัททิยะ ) อัศวะชิต ( อัสสชิ ) บาษปะ ( วัปปะ
) มหานาม ก็ได้สำเร็จเช่นเดียวกัน ต่อมาเจ้าชายยะศัท ( ยสกุลบุตร ) กับสุภาพบุรุษ
54 คนซึ่งนั่งอยู่ข้างพระบาทของพระพุทธเจ้า ที่ในสวนกวางทราย ( อิสปตนะ มฤคทายวัน )
เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระองค์แล้วก็มีจิตเลื่อมใสบูชาและปฏิบัติตามพระ องค์
เพราะการที่มีความสันติภาพและวิทยาศาสตร์อันสมัยใหม่นั้น
เมื่อเผยแผ่แก่มนุษย์ดังนี้ย่อมเป็นสิ่งที่ตรึงตราในดวงใจของผู้ใดซึ่งเชื่อ ฟัง
เฉกเช่นบุปผชาติและต้นไม้ต้นหญ้างอกขึ้นเมื่อมีน้ำในทุ่งแห่งทะเลทรายฉะนั้น
พระอรหันต์ทั้ง 60 นี้ เขาเล่าต่อ
เมื่อได้ศึกษาวิธีบังคับและบำเพ็ญตนให้พ้นจากราคะตัณหาแล้ว
พระพุทธองค์ก็ทรงจัดให้ไปทำการสั่งสอน
ส่วนพระองค์ซึ่งโลกบูชาเคารพก็เสด็จออกจาสวนกวาง ( อิสปตนะมฤคทายวัน )
เพื่อเสด็จไปสู่ทิศใต้ ณ
ยัสติและพระราชอาณาจักรของพระเจ้าพิมพิสารซึ่งพระองค์ทรงเทศนาสั่งสอนอยุ่ หลายวัน
จนพระเจ้าพิมพิสารและอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์มีความเลื่อมใสศรัทธาและ
ศึกษาบัญญัติว่าด้วยเมตตา และบัญญัติว่าด้วยชีวิตปฏิบัติของพระองค์
ยิ่งกว่านั้นพระเจ้าพิมพิสาร ( เมื่อได้หลั่งน้ำ เป็นธรรมเนียมของพราหมณ์
กระทำเมื่อให้อะไรอย่างหนึ่ง ยังพระหัตถ์พระพุทธเจ้าแล้ว )
ยังได้ถวายสวนไผ่นามว่า เวฬุวัน ซึ่งมีลำน้ำหลายสาย
มีถ้ำและป่าโปร่งแก่พระองค์อีกด้วย และ ณ
ที่สวนนั้นพระเจ้าพิมพิสารได้ตั้งศิลาจารึกก้อนหนึ่ง ในจารึกนั้นมีความว่า
ผลและเหตุแห่งชีวิต องค์พระตถาคต ( หมายความว่าผู้ได้กระทำอย่างเดียวกัน
เป็นพระนามของพระสิทธัตถะพระนามหนึ่ง
ชี้ให้เห็นว่าพระองค์ได้ทรงเดินทางอันเดียวกันเหมือนพระพุทธเจ้าองค์ก่อน )
ได้ทรงแสดงให้เราทั้งหลายได้ทราบปรากฏแจ่มแจ้งแล้ว
สิ่งซึ่งช่วยชีวิตให้พ้นจากความชั่ว พระพุทธเจ้าของเราก็ได้ทรงแสดงให้เราทราบแล้ว
ก็ในสวนนั้นเอง นายวาณิชว่า
มหาชนต่างไปชุมนุมประชุมกันเพื่อสดับตรับฟังคำสั่งสอนของพระองค์ในเรื่อง
ความดีและความประพฤติ
ซึ่งเมื่อผู้ใดเชื่อฟังพระองค์แล้วก็มีวิญญาณอันเลื่อมใสจนมีผู้ศรัทธาครอง
ผ้าเหลือง คือ บวชเหมือนองค์พระบรมศาสดาจารย์เจ้าถึง 900 องค์
แล้วต่างก็แยกย้ายกันไปทำการเผยแผ่พระบัญญัติของพระองค์
สรุปความในพระโอวาทของพระองค์ว่าดังนี้
ความชั่วเป็นเครื่องทวีหนี้สินที่ต้องใช้ความดีเป็นเครื่องกำจัดความชั่ว
และเป็นเครื่องใช้หนี้อันเกิดจากความชั่วนั้นได้ จงหลีกความชั่วและกระทำความดี
จงสงวนความสุขของตนด้วยตนเอง นี่แหละคือหนทาง
เมื่อนายวาณิชเล่าเรื่องพระพุทธองค์จบลง
พระนางยโสธราก็ประทานรางวัลและแสดงความขอบใจอย่างประเสริฐยิ่งกว่าเพชรนิล จินดา
แล้วพระนางถามว่า ก็แต่พระผู้มีพระภาคของเรานั้นพระองค์เสด็จตามทางใด ?
นายวาณิชทูลตอบว่า มาตามทางซึ่งห่างจากพระนครนี้ 60
โยชน์และสู่ทิศพระนครราชคฤห์ซึ่งมีทางสะดวกผ่านมาทางโสนะและเขาต่างๆ
โคของข้าพเจ้าซึ่งเดินได้วันละ 8 ก๊อสส์ ( มาตราวัดอินเดีย เป็นระยะความยาว ก๊อสส์
1 ประมาณ840 วา ) ต้องเดินทาง 1 เดือนจึงจะถึง
ฝ่ายพระราชาเมื่อทรงทราบข่าวนี้แล้วก็ตรัสใช้ให้ผู้ซึ่งพระองค์ทรงไว้พระทัย
9 นาย ขึ้นม้าที่มีฝีเท้าเร็วแยกย้ายกันไปเพื่อนำพระราชโองการของพระองค์ไปทูลแก่
พระพุทธเจ้าผู้เป็นพระโอรสว่าดังนี้
พระสุทโธทนะผู้เป็นพระราชาซึ่งทรงชราภาพโดยกาลเวลาอันยืดยาวถึง 7 ปี
ในยามซึ่งเธอผู้เป็นโอรสได้พรากจากไป
และได้พยายามสืบเสาะหาตัวอยู่เสมอเป็นนิตย์นิรันดร์
ขอวิงวอนให้พระราชโอรสของพระองค์เสด็จมารับพระราชบัลลังก์
และอาณาประชาราษฎรแห่งพระราชอาณาจักรซึ่งจักเกิดปั่นป่วนเมื่อพระองค์หาไม่ แล้ว
ทั้งนี้ก็เพราะพระองค์ทรงวิตกว่าจะเสด็จสวรรคตเสียก่อนที่พระองค์จะได้เห็น
พระพักตร์ของเธอผู้เป็นพระราชโอรส
ส่วนพระนางศรียโสธราก็ได้ใช้ให้อัศวานึก 9 นาย
ไปทูลแก่องค์พระราชสวามีเหมือนกันโดยความว่าดังนี้
สวามินีแห่งพระราชสำนักของพระองค์
และผู้เป็นมารดาของราหุลมีความจำนงอยากเห็นพระพักตร์ของพระองค์อย่างยิ่งนัก
เหมือนดวงหฤทัยของหญิงงามเมื่อได้เห็นพระจันทร์เมื่อเวลากลางคืน
หรือเหมือนดอกอโศกแรกผลิรอคอยให้สตรีเหยียบย่ำอยู่ฉะนั้น ( ตามรามายณะ กล่าวว่า
เมื่นางสีดาหนีไปอยู่ในพุ่มดอกอโศกก็ได้พ้นจากความรบกวนปิศาจ ราพณาสูร
และต้านทานตนให้พ้นอันตรายได้ด้วยสวัสดีมีชัย เพราะดังนี้เอง
เหล่าสตรีฮินดีจึงนับถือต้นอโศกและกินดอกอโศกนั้น )
หากพระองค์ได้ได้พบซึ่งสิ่งที่พึงประสงค์ยิ่งกว่าสิ่งที่ทรงเสียสละแล้ว
พระนางทั้งพระราหุลขอได้รับส่วนด้วยเถิด
แต่ที่พระนางต้องการที่สุดนั้นคือตัวพระองค์เอง
เมื่อดังนั้นแล้วมนตรีศากยะผู้รับใช้ก็ออกเดินทางโดยรีบด่วน
แต่จำเพาะต่างคนต่างก็ถึงป่าไผ่ในยามที่พระพุทธองค์ทรงเทศนาพระบัญญัติของ
พระองค์นั่นเอง
และต่างคนต่างเมื่อได้ยินได้ฟังพระองค์แล้วก็เลื่อมใสจนลืมทูลพระองค์
และลืมจนกระทั่งพระราชา ลืมบรมราชโองการ ตลอดถึงพระนางศรียโสธราผู้โศกาดูร
ต่างคนต่างเพ่งแต่ในพรนะบรมศาสดาจารย์เจ้า
ดวงใจของเขาให้ผูกพันตรึงตราที่ริมพระโอษฐ์อันศักดิ์สิทธิ์ซึ่งตรัสพระโอวาท
อันเต็มไปด้วยพระธรรมเมตตา และคุณสมบัติซึ่งเที่ยงแท้ บริสุทธิ์
และซึ่งส่องแสงสว่างแก่ทุกสิ่งทุกอย่าง
ดูเถิดภมรซึ่งเร่ร่อนหาเกสรเพื่อประโยชน์แห่งรังของมัน แม้ได้เห็นดอกโมกรา (
ดอกไม้ป่าชนิดหนึ่ง ) เป็นพุ่มพวงและส่งกลิ่นรสสุคนธ์ฟุ้งขจรไปตามลมแล้วก็ดี
มันก็ยังนึกว่าน้ำผึ้งของมันยังไม่เต็มอยู่นั่นเอง พระอาทิตย์ตกก็ดี หรือฝนตกก็ดี
มันก็ยังมีเจตนาผูกพันอยู่กับดอกไม้ซึ่งโอชาเพราะต้องการดูดดื่มน้ำอมฤต
แห่งดอกไม้เหล่านั้นดังนี้ฉันใด
สำหรับอำมาตย์ผู้นำพระบรมราชโองการมาก็เหมือนกันฉันนั้น
ก็เมื่อได้ฟังพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์แล้วต่างคนต่างก็ละเลยเสียซึ่งกิจ
แห่งตนที่เดินทางมา
และเมื่อต่างก็ลืมแล้วในกิจทั้งปวงก็นำตนเข้าเป็นบริวารแห่งพระพุทธองค์ต่อ ไป
เพราะเหตุนี้พระราชาจึงตรัสใช้อุทายีอำมาตย์ผู้มีอายุและซื่อสัตย์ซึ่งเคย
เป็นเพื่อนเล่นของพระสิทธัตถะเมื่อยามสันติสุขเกษมศานต์แต่ก่อนนั้นให้ไปอีก
ฝ่ายอุทายีซึ่งนึกว่าอย่างไรก็ดี ตนเองก็คงจะได้ยินพระธรรมเทศนาของพระพุทธองค์
หากว่าเกิดความเลื่อมใสขึ้นก็คงจะเสียการ
เพราะฉะนั้นเมื่อเขาไปถึงสวยไผ่ซึ่งพระพุทธเจ้าประทับ จึงเอาสำลีอุดโสตประสาทเสีย
โดยการกระทำดังนี้จึงได้รอดพ้นจากได้สดับพระธรรม รสแห่งธรรมวิเศษนั้น
และสามารถกราบทูลข่าวสารขององค์พระราชบิดาและพระนางศรียโสธราได้
ฝ่ายพระพุทธองค์ค่อยๆ ก้มพระเศียรแล้วตรัสแก่ที่ชุมนุมว่า
จริงทีเดียวตถาคตจะไป เป็นกิจของตถาคตซึ่งเกิดจากเจตนาของตถาคตเอง
ผู้ใดก็ดีอย่าได้ลืมสนองบุญคุณผู้ซึ่งบังเกิดตนให้มีชีวิตขึ้น
คือชีวิตซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งความขวนขวายในวิถีกำจัดเสียซึ่งความดำรงชีพ
และความตายอีกต่อไป แต่ให้บรรลุถึงคงซึ่งนิพพานทีเดียว โดยการเชื่อฟังบัญญัติ
โดยพ้นแล้วจากความผิดที่ล่วงมาแล้วของตน ทั้งไม่ต้องเพิ่ม ต้องมีให้ผิดอีก
และโดยบรรลุถึงซึ่งเมตตาอันบริสุทธิ์ซึ่งกระทำให้บังเกิดความรักได้
จงทูลพระราชาและพระนางเถิดว่า ตถาคตจะออกเดินทางเพื่อไปหาแล้ว
โดยกิตติศัพท์อันนี้
ปวงประชาชนแห่งเศวตกบิลพัสดุ์กับนิคมคามทั้งปวงตระเตรียมการรับรองผู้เป็นเจ้าแห่งตน
ณ ทวารทิศใต้ก็ปลูกปะรำ
มีเสาประดับประดาไปด้วยเฟื่องดอกไม้และประดับแพรสีแดงและเขียวปักทอง
ตามถนนหนทางก็ประดับประดากิ่งก้านบุปผชาติซึ่งมีรสสุคนธ์และราดรดน้ำมัน
จันทน์และน้ำมันมะลิอย่างชุ่มโชกซึ่งใช้รดด้วยมุสสุก ( ภาษาฮินดู ถังทำด้วยหนังแพะ
) คือถังสำหรับรดถนน ธงทิวปลิวไสว
และหากเมื่อถึงกำหนดจะเสด็จมาถึงก็ให้มีช่างใส่กูบเงินและที่มีงาประดับปลอก
ทองรายเรียงอยู่ข้างหน้าพลับพลาซึ่งมียามเตรียมพร้อมอยู่เสมอ
เพื่อคอยตีกลองให้สัญญาณว่าพระสิทธัตถะเสด็จมาถึงแล้ว
บรรดาเสนาอำมาตย์ทั้งปวงจะได้ไปต้อนรับและถวายบังคมพระองค์
และซึ่งหมู่นางละครจะได้โปรยโรยดอกไม้และเต้นรำขับร้องจนกระทั่งว่าดอก
กุหลาบและดอกรักเร่ที่โปรยโรยไปนั้นให้ท่วมเข่าแห่งอัศวราชอาชาไนยซึ่ง
พระองค์ทรงขี่ม้าและให้มรรคาทุกแห่งหนมีแต่งามตระการตา
และก้องกังวานไปด้วยเสียงแห่งดุริยางค์และความบันเทิงอันกึกก้อง
นี่แหละคือคำสั่งซึ่งประกาศ และทุกผู้ทุกคนก็ปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
แล้วคอยฟังเสียงกลองซึ่งตีให้สัญญาณเวลาที่พระองค์จะเสด็จไปถึงอย่างตั้งใจ
ฝ่ายพระนางศรียโสธรานั้น พระนางอยากไปรับพระราชสวามีก่อนใครอื่น
จึงทรงสีวิกาเสด็จไปจนถึงเชิงกำแพงแห่งพระนคร ณ
ที่ซึ่งได้ปลูกพลับพลาอยู่ท่ามกลางอุทยานนามว่านิโครธ
มีกิ่งก้านร่มรื่นรายเรียงเป็นแถวแนว มีทางเลาะลัด
กระทำให้อุทยานนั้นมีลักษณะสราญรมย์น่าพึงชมยิ่งนัก
เพราะว่ามรรคาทางทิศใต้มีสนามหญ้าอันเขียวชอุ่มเป็นแถวแนวยาวยืด
มีต้นไม้ซึ่งมีดอกเรียงรายกันไป
และข้างนอกประตูก็เป็นหมู่กระท่อมแห่งทวยนาครชั้นต่ำและยากจนแร้นแค้นซึ่ง
หากว่ามาแตะต้องเข้าแล้วก็เป็นอัปมงคลแก่กษัตริย์และนักบวชพราหมณ์
แม้แต่ถึงกระนั้นทวยนาครชั้นต่ำเหล่านั้นก็ตั้งใจคอยรับรองพระองค์เหมือนกัน
คือตื่นแต่เช้ามืดแล้วก้มองดูไปจนสุดสายตาและหากว่าเมื่อได้ยินเสียงระฆัง
ที่ผูกคอช้าง หรือเสียงกลองแห่งวัดวาอารามดังขึ้นแล้วก็จะพากันขึ้นต้นไม้ดูพระองค์
และเพื่อเป็นเกียรติยศแก่พระองค์ยังได้ตกแต่งประดับประดาบ้านเรือนของตน อย่างถึงใจ
กับกวาดธรณีประตูประดับธง ผูกมัดใบมะม่วงทำเป็นเฟื่องประดับลิงคัม ( ศิลารูปกรวย )
และมุงใบไม้ ณ ประตูชัยเก่าแก่ซึ่งมีใบไม้แห้งเหล่านั้นเสียใหม่
กับอุตส่าห์ไต่ถามคนเดินทางอยู่เสมอเพื่อให้ทราบว่าจะมีอะไรเป็นอุปสรรคใน
ระหว่างทางของพระสิทธัตถะบ้างหรือไม่
พระนางศรียโสธรามองดูหมู่ชนเหล่านั้นด้วยดวงพระเนตรอันตื่นเต้น
ใคร่จะพบเห็นและมองดูทางทิศใต้เช่นเดียวกับหมู่ชนเหล่านั้น
กับทั้งเงี่ยโสตคอยฟังข่าวจากผู้ที่ผ่านมาทั้งปวงเหมือนย่างคนเหล่านั้นด้วย
ในที่สุดพระนางก็เห็นบุรุษคนหนึ่งค่อยๆ เดินมาอย่างช้าๆ โกนศีรษะแทบเกลี้ยงเกลา
มีผ้าเหลืองพาดอยู่เหนือบ่า กายก็คลุมผ้าคล้ายฤาษี
มือถือบาตรแวะเข้าประตูกระท่อมทุกๆ กระท่อมเป็นครู่ๆ
พลางรับทานที่มีผู้บริจาคและอำนวยพรตอบแทน หรือถ้าไม่มีใครบริจาคทานแล้วก็เดินต่อๆ
มาด้วยอาการปกติ
มีบุรุษเดินตามหลัง 2 คน โดยครองผ้าเหลืองเหมือนกัน
แต่บุรุษถือบาตรนั้นมีอาการสง่ายิ่ง น่าเคารพยิ่ง
อันเป็นการซึ่งจำเริญความนิยมชมชื่นยิ่งมาตลอดวิถีทางของเขา
และโดยแววตาอันประกอบด้วยบุญบารมี กระทำให้เป็นที่จับใจของคนทุกคน
จนเมื่อเวลาที่คนเหล่านั้นถวายทานแก่ท่านก็มองดูท่านด้วยความเคารพ
และบ้างก็น้อมกายกราบท่าน
บ้างก็ไปหาของมาถวายใหม่อีกโดยความเสียใจที่ตนเป็นคนยากจนจนกระทั่งว่าต่อมา
ภายในไม่ช้า เด็ก บุรุษและสตรีต่างก็กระตือรือร้นพากันเดินตามท่านและพร่ำว่า
ท่านผู้นี้คือใครหนอ ใครที่ไหนกัน ตั้งแต่เมื่อไรฤาษีจึงมีลักษณะสง่างามเช่นนี้
แต่ครั้นพระองค์ค่อยๆ เสด็จมาถึงพลับพลา ในทันใดนั้น ประตูประดับแพรก็เปิดออก
แล้วพระนางศรียโสธราซึ่งมิได้คลุมพระพักตร์ก็จรลีขมีขมันไปสู่ทางพระองค์
เสด็จพลางอุทานว่า พระองค์พระสิทธัตถะ น้ำอัสสุชลก็คลอสองพระเนตร
และประณมพระหัตถ์แล้วก็ทอดสิริร่างสะอื้นไห้อยู่ ณ แทบพระบาทของพระองค์นั้นเอง
นานต่อมา เมื่อพระนางศรียโสธราซึ่งระทมทุกข์กลับมาถือตามพระพุทธวจนะแล้ว
เมื่อมีผู้ทูลถามแด่พระองค์ว่า เมื่อปรารถนาในการสละจากราคะตัณหาทั้งปวงแห่งมนุษย์
และจากการแตะต้องรูปรสอันละมุนละม่อมเหมือนดอกไม้
และน่านิยมคือการแตะต้องมือของสตรีแล้ว เหตุใดพระองค์จึงอดทนต่อการจูบกอดนั้นได้
พระพุทธองค์ตรัสว่า
ผู้ที่ใหญ่ยิ่งย่อมมีทางสำหรับความรักเช่นเดียวกันกับผู้ที่เล็กที่สุดแม้
ผู้นั้นจะสูงเยี่ยมด้วยความบริสุทธิ์อย่างใดก็ตาม
จงระวังอย่าให้ดวงวิญญาณซึ่งหลุดพ้นแล้วจากความผูกพันมีอาการเหยียดหรือข่ม
แก่วิญญาณซึ่งยังถูกมัดอยู่โดยความโอ้อวดในความอิสระ
คือเพราะที่ตนได้หลุดพ้นแล้วนั้นเลยเป็นอันขาด
ความอิสระของท่านจะมีค่ายิ่งเมื่อท่านสำเร็จในความอิสระของท่านโดยความ
พยายามพากเพียร และวิถีแห่งความรอบรู้ซึ่งละเอียดสุขุม
ยุคแห่งความพากเพียรอันยืดยาว 3 ยุค ได้กระทำให้พระโพธิสัตว์ (
ผู้ที่ได้สำเร็จความรู้อย่างสูงและย่อมเป็นผู้ที่ให้ความดีต่อมนุษย์ )
ซึ่งจะเป็นผู้นำและช่วยโลกอันมืดมนอนธการ ได้บรรลุถึงซึ่งความสำเร็จ
อันจะช่วยทุกข์ทั้งปวงได้ ยุคทั้ง 3 นี้ ที่ 1 คือ ปัญญาธิกะ ที่ 2 คือ สัทธาธิกะ
ที่ 3 คือวิริยาธิกะ
ดูเถิดตถาคตได้เกิดมาแล้วในยุคแห่งปัญญา ต้องการความดี
แสวงหาความรอบรู้แต่จักษุยังปิดไว้ไม่มองเห็น จงนับเม็ดทรายแห่งไร่ละหุ่งดู
ก็จะพึงรู้ได้ว่าจำนวนเม็ดทรายเท่าใดนั่นแหละ
คือจำนวนปีที่ตถาคตบังเกิดเป็นบุรุษชื่อราม คือพ่อค้าคนหนึ่งฝั่งใต้
อยู่ข้างหน้าลังกาทวีปอันเป็นแหล่งที่มีไข่มุก ณ กาลอันนานมาแล้วนั้น
ยโสธราก็อยู่กับตถาคต ณ หมู่บ้านซึ่งตั้งอยู่ริมทะเล
นางงามเหมือนเดี๋ยวนี้เหมือนกัน และมีนามว่าลักษมี ตถาคตจำได้ว่า
เมื่อกาลครั้งกระนั้น
ครั้งหนึ่งตถาคตต้องออกเดินทางซึ่งเอาชีวิตเป็นเครื่องเสี่ยงโชค
เพราะอาชีพความเป็นอยู่ของเราทั้งสอง ณ กาลครั้งนั้นอยู่ในฐานะยากจนแร้นแค้น
นางได้วิงวอนอย่างโศกาอาดูรเพื่อมิให้ตถาคตออกเดินทางและมิให้ไปผจญต่อ
ภยันตรายทั้งทางบกและทางทะเล นางคร่ำครวญว่าเมื่อมีความรักอยู่แล้ว
จะสละสิ่งที่ตนรักไปได้อย่างไร ถึงกระนั้นก็ดี
ตถาคตก็ออกเดินทางโดยเหตุที่ต้องลองพยายามไปตามบุญตามกรรม ตถาคตจึงผ่านช่องแคบไป
และภายหลังที่มีพายุและเหตุการณ์ซึ่งตนจะต้องผจญ
ภายหลังการต่อสู้กับธรรมชาติอันว่างเวิ้งลึกซึ้ง และความทรมานอันไม่รู้จักสิ้น
พลางค้นคว้าดูในลูกคลื่นแล้ว ตถาคตก็ได้ไข่มุกเม็ดหนึ่งสดใสดุจดวงจันทร์
ประหนึ่งว่าปวงราชาทั้งหลาย ถ้าจะซื้อก็ต้องพล่าพระราชทรัพย์เสียจนสิ้นเชิง
เมื่อได้ดังนั้นแล้ว ตถาคตก็กลับมาสู่เขาคีรีที่อาศัยอยู่
แต่เผอิญบ้านเมืองได้รับความเสียหายด้วยทุพภิกขภัย
ตถาคตก็ล้มเจ็บลงด้วยความเหน็ดเหนื่อยแห่งการเดินทางในคราวที่กลับนั่นเอง
กว่าจะถึงที่อาศัยอยู่ก็สุดลำบาก
โดยเอาเม็ดไข่มุกอันบริสุทธิ์ซึ่งได้จากทะเลนั้นซ่อนไว้ในเข็มขัดของตถาคต
แต่เมื่อถึงบ้าน ที่บ้านก็ปราศจากอาหาร
และธรณีประตูนั้นเอง นางซึ่งตถาคตเป็นห่วง ห่วงยิ่งกว่าตัวของตถาคตเอง
นอนพังพาบอยู่โดยปราศจากสุ้มเสียงจวนจะถึงซึ่งความตาย
เพราะเหตุไม่มีข้าวใส่ท้องเลยแม้แต่น้อย เมื่อเป็นดังนั้นแล้ว ตถาคตจึงร้องว่า
หากผู้ใดมีข้าวให้เราที่นี่แล้ว จงดูเถิด นี่แน่ะคือค่าไถ่แห่งพระนครๆ หนึ่ง
เพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้โปรดให้อาหารแก่ลักษมีเถิด
แล้วรับไข่มุกซึ่งพราวแพรวเหมือนดวงจันทร์
เมื่อว่าดังนี้แล้วเพื่อนบ้านคนหนึ่งจึงนำเดนอาหารของตนที่เหลืออยู่นั้นให้ 3 แซร์
( ขนาดความจุประมาณครึ่งลิตร ประมาณครึ่งทะนาน ) แล้วก็ฉวยเอาไข่มุกวิเศษนั้นไป
พอได้กินอาหาร ลักษมีก็มีชีวิตต่อมาและเมื่อได้คืนแล้วซึ่งชีวิต นางก็เผยโอษฐ์ว่า
อ้อ ที่จริงเธอก็รักฉันเหมือนกันนี่
แต่ในชีวิตนี้ตถาคตก็ทำการแลกไข่มุกเหมือนกันเพื่อบำรุงความสดใสแห่งดวงใจ
และวิญญาณซึ่งพ่ายแพ้แก่โลกีย์
แต่ไข่มุกอันบริสุทธิ์ในบัดนี้เป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยการผจญครั้งสุดท้ายของ ตถาคต
และซึ่งเอามาได้จากลูกคลื่นอันลึกกว่าครั้งก่อน คือนิทานทั้ง 12
กับกฎแห่งความดีนั้น จะเอาไปทำการแลกเปลี่ยนกับอะไรไม่ได้เลย นอกจากจะให้ไปเปล่าๆ
จึงจะเรียกว่าได้ถึงแล้วซึ่งความบริสุทธิ์ เพราะรังมดเปรียบกับเชิงเขาพระสุมรุก็ดี
หยาดน้ำค้างที่ย้อยมาและรวบรวมกันเป็นห้วงน้ำอยู่ ณ
รอยเท้าของนางเก้งที่กระโดดเปรียบกับมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ไม่มีที่สุดก็ดี
ก็เท่ากับทานซึ่งตถาคตยอมสละแล้วแต่ก่อนนั้นอันจะเปรียบดังทานซึ่งตถาคตสละ ณ
บัดนี้ไม่ได้
เพราะฉะนั้นความรักซึ่งกว้างขวางแล้วนั้น
พอได้หลุดพ้นจากข่ายแห่งความรู้สึก รูป เสียง กลิ่น รส ก็เป็นความรักที่ถูกที่ดี
ในเมื่อยอมตามใจผู้อ่อนแอ
เพราะเมื่อยอมตามแล้วเท้าอันแบบบางของยโสธราก็จะพาให้พระนางเดินไปสู่ความ
สงบและความสุขได้ โดยเหตุที่เท้านั้นได้ถูกนำให้เดินด้วยวิธีอันอ่อนโยน
ฝ่ายพระเจ้าสุทโธทนะ เมื่อทรงทราบว่า พระสิทธัตถะเสด็จมาถึงโดยปลงพระเกษา
หุ้มห่อพระวรกายด้วยเครื่องนุ่งห่มของยาจก
กับถือบาตรเพื่อรับเศษอาหารของหมู่ชนชั้นต่ำ
ความเสียพระทัยโกรธกริ้วมากำจัดเสียซึ่งความรักอันมีอยู่ในพระทัยของพระองค์
ไปเสียสิ้น
พระองค์ทรงถ่มเขฬะลงยังแผ่นดิน 3 ครั้ง
ทึ้งถอนพระมัสสุสีอันขาวดุจเงินแล้วเสด็จออกไปเสียอย่างหุนหันกระทำให้บรรดา
อำมาตย์ราชบริพารต่างสั่นระรัวทั่วสรรพางค์กายไปตลอดทางที่พระองค์เสด็จ
พระองค์เสด็จขึ้นทรงม้าสงครามด้วยพระขนงอันขมวด
และทรงกระตุ้นม้าปล่อยให้ห้อไปตามถนนใหญ่น้อยทั้งปวงที่อัดแอไปด้วยฝูงชน
หมองพระทัยไปด้วยความกริ้วโกรธ จนฝูงชนเหล่านั้นจะหาโอกาสบอกว่า นั่นแน่ะ พระราชา
นั่งลงซิ เท่านั้นก็แทบไม่ทัน
ครั้นพระองค์วกกลับไปตามกำแพงของวัดซึ่งมองไปเห็นประตูด้านใต้ที่กล่าวมา
แล้วนั้น พระองค์ทอดพระเนตรเห็นฝูงชนหมู่ใหญ่ซึ่งอุดช่องทางเดินและใหญ่ๆ
ขึ้นเสมอซึ่งเดินตามพระสิทธัตถะผู้มีดวงพระเนตรอันสดใสบริสุทธิ์
พระองค์มองดูพระเนตรของพระบิดาผู้ชราของพระองค์แล้ว
ความพิโรธโกรธกริ้วของพระบิดาก็อ่อนลงไป
เมื่อพระพุทธองค์เพ่งดูพระบิดาซึ่งขมวดพระขนงด้วยพระอาการอันอ่อนโยนและ
เคารพ ครั้นแล้วพระองค์ก็ก้มพระพักตร์และทรงคุกพระชานุลงต่อพระพักตร์พระราชบิดา
ด้วยพระอาการอันงามสุภาพ ทั้งนี้ก็เพราะพระราชบิดานั้นเมื่อเห็นพระราชโอรส
เข้าใจในพระอาการกิริยาของราชโอรส สังเกตเห็นพระบารมีซึ่งปรากฏเป็นรัศมี ณ
พระนลาฏของพระองค์
และเพราะพระรัศมีอันนี้เองซึ่งกระทำให้ปวงชนเดินตามรอยพระบาทของพระองค์ด้วย
ความเงียบและเคารพ พระราชบิดาจึงมีพระทัยอ่อนลง
แม้แต่กระนั้นก็ดี พระราชบิดายังตรัสว่า
พระมหาสิทธัตถะจะแอบเข้ามาในพระราชธานีของตนโดยนุ่งห่มอย่างคนขี้ริ้วโกนหัว
สวมเกือกแตะและเที่ยวขอทานแก่หมู่ชนชั้นต่ำอย่างนี้ได้หรือ
เขาผู้ซึ่งมีชีวิตเทียมเท่ากับพระเจ้าองค์หนึ่ง
ลูกของเราซึ่งเป็นผู้รับมรดกในพระราชอาณาจักรอันกว้างใหญ่
และในปวงราชาทั้งหลายซึ่งเพียงแต่สัมผัสมือของราชาเหล่านั้นเท่านั้น
ราชาเหล่านั้นก็จะเรียกให้บริวารของตนนำสิ่งใดๆ ทุกอย่างซึ่งอาจหาได้ในโลกนี้มาให้
สูเจ้าควรควรจะเข้ามาพร้อมด้วยเกียรติยศที่สมแก่ฐานันดรศักดิ์ของตนโดยแห่
ห้อมล้อมไปด้วยพลหอกอันแพรวพราวและด้วยความสนั่นหวั่นไหวไปด้วยเท้าคนและ เท้าม้า
จงดูเถิด ทหารของเราทั้งสิ้นพักแรมอยู่ตามทางและทวยนาครของเราต่างรอคอยอยู่ตามทวาร
ก็สูเจ้าไปอยู่ที่ไหนเล่าในระหว่างเวลาหลายปีซึ่งอัปมงคล
กระทำให้บิดาของเจ้าโศกเศร้าอาดูรอยู่เหนือราชบัลลังก์
และภรรยาของเจ้าดำรงชีวิตอยู่เป็นม่ายโดยยอมสละละเสียซึ่งความสนุกสนาน
ร่าเริงทั้งปวง ไม่ฟังแล้วซึ่งเสียงจำเรียงร้องและดนตรี
และไม่แต่งกายด้วยเครื่องแต่งสำหรับพิธีรีตองใดๆ
จนกระทั่งวันนี้จึงแต่งด้วยเครื่องนุ่งห่มประดับสุวรรณจินดาเพื่อมารับรอง
สวามีซึ่งครองผ้าเหลืองขี้ริ้วที่กลับมา ลูกทำไมจึงทำเช่นนั้น
มหาบพิตรผู้บิดา พระพุทธเจ้าตรัสตอบ
ประพฤติการณ์ทั้งนี้เป็นธรรมเนียมของชาติตระกูลแห่งตถาคตเอง
ชาติตระกูลของเจ้า พระราชาทวนคำ ชาตติตระกูลของเจ้านั้น
นับตั้งแต่มหาสมบัติเป็นต้นมาก็ได้ร้อยบัลลังก์แล้วแต่ก็หามลทินด้วยความประพฤติอย่างเจ้านี้มิได้
พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ตถาคตจะได้พูดถึงเชื้อตระกูลซึ่งตายนั้นหามิได้
แต่พูดถึงเชื้อตระกูลซึ่งมองไม่เห็นของพระพุทธเจ้าแห่งอดีตและอนาคตนั้นต่างหาก
ตถาคต นี้ก็เป็นองค์หนึ่งของเหล่าพระพุทธเจ้าทั้งหลาย
และสิ่งใดซึ่งพระพุทธเจ้าเหล่านั้นทรงประพฤติ ทรงกระทำ ตถาคตก็กระทำ
ก็ประพฤติในสิ่งนั้น และสิ่งใดซึ่งเป็นขึ้น ณ
บัดนี้ก็ได้เป็นแต่ก่อนมาแล้วเหมือนกัน
แต่ปางก่อนนั้นก็มีพระราชาผู้สวมเกราะออกมารับรองโอรสของพระองค์ ณ
พระทวารดังนี้เหมือนกัน คือพระโอรสซึ่งครองกายเหมือนฤาษี
และผู้ซึ่งช่วยโลกให้พ้นจากทุกข์
มีธรรมานุภาพด้วยความเมตตาและความระงับในตนเองยิ่งกว่าพระราชาทั้งหลายซึ่ง
ทรงศักดานุภาพนั้น ก็ได้มาน้อมกายเหมือนอย่างที่ตถาคตกระทำอยู่เดี๋ยวนี้
แล้วถวายขุมทรัพย์ซึ่งได้นำมาด้วยนั้น มอบให้เพราะความรักและความเมตตาแก่พระราชบิดา
ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องพันพัวกันด้วยหนี้อย่างหนึ่งแห่งความรักใคร่
นี่แหละคือถ้อยคำหรือขุมทรัพย์ซึ่งตถาคตขอทูลถวายแก่พระองค์บัดนี้
พระราชาประหลาดพระทัยแล้วตรัสถามว่า ขุมทรัพย์อะไร
พระพุทธองค์ทรงประคองพระหัตถ์พระราชบิดาแล้วก็เสด็จต่อไปสู่ถนนต่างๆ
ซึ่งมีทวยประชาล้วนเคารพพระองค์ มีพระราชาและพระนางศรียโสธราอยู่ข้างเคียง
พลางทรงเผยสิ่งซึ่งกระทำให้เกิดความสงบและความบริสุทธิ์
ความจริงอันสุขุมคัมภีรภาพทั้ง 4 ซึ่งเป็นที่ตั้งแห่งความดี
คือธรรมมานุภาพเหมือนดังขอบฝั่งเป็นที่ตั้งกั้นทะเลมหาสมุทร
พระองค์ตรัสถึงพระบัญญัติทั้ง 8 ซึ่งทุกผู้ทุกคน
ไม่ว่าพระราชาหรือข้าทาสอะไรหากต้องการไปสู่ทางอันบริสุทธิ์ซึ่งมีอยู่ 4 ชั้น และ 8
อย่างซึ่งเป็นที่อาศัยของผู้ที่มีชีวิต ไม่ว่ามีอำนาจหรือแร้นแค้น
ไม่ว่าฉลาดหรือโง่ บุรุษหรือสตรี เด็กหรือผู้ใหญ่
ต้องหลุดพ้นจากวัฏสงสารแห่งความดำรงชีพไม่ช้าก็เร็ว
แล้วก็ได้บรรลุถึงซึ่งพระนิพพานอันสันติสถาพร
ครั้นแล้วต่างก็เสด็จถึงพระราชวัง พระ
เจ้าสุทโธทนะนั้นกลับทรงเบิกบานพระทัยแจ่มใส
ด้วยได้ดูดดื่มธรรมรสแห่งพระพุทธโอวาทของพระพุทธองค์จนทรงอุ้มบาตรตามพระ องค์ ณ
วาระเดียวกันนั้น
พระเนตรของพระนางศรียโสธราก็มีแววแจ่มใสมากระทำให้อัสสุชลแห้งหายไปจากคลอง พระเนตร
โดยประการดังนี้ ณ ราตรีกาลวันนั้นต่างก็เกษมศานต์สันติสุขด้วยธรรมมรรคานั้นแล