ความรู้ทั่วไป สารนิเทศ การศึกษา คอมพิวเตอร์
การศึกษาเพื่อสันติภาพ
โดย บิช็อบคาร์ลอส ฟิลิเป ซีเมเนส เบโล
วัฒนธรรม
สันติภาพคืออะไร
การศึกษาเพื่อสันติภาพ
ขอบเขตของการศึกษาเพื่อสันติภาพ
วัฒนธรรม
คำว่าวัฒนธรรมนั้นค่อนข้างจะซับซ้อนเนื่องจากมีหลากหลายนิยาม คำว่า culture
ในภาษา อังกฤษมาจากภาษาละตินว่า cultu อันมีรูปกริยาคือ colere
ซึ่งใช้ได้ในหลายนัย เช่น พลิกฟื้นผืนดิน(ให้อุดม) รังสรรค์งานเขียน สร้างมิตรภาพ
เป็นต้น ซิเซอโรกล่าวไว้ว่า วัฒนธรรม นั้น หมายถึงการสร้างความเป็นมนุษย์
วัฒนธรรมเป็นสิ่งที่ทำให้คนเป็นคน ซึ่งจะเกิดขึ้นจากการศึกษาที่คนเราได้รับ
ในบริบทดังกล่าวนี้วัฒนธรรมจึงหมายรวมถึง การกระทำทุกอย่างเพื่อให้ตนพัฒนาขึ้น
โดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัย จากปัญญาชน และจากคติธรรม
เมื่อคนเราได้รับการศึกษาโดยวิธีดังกล่าวนี้แล้วเขาก็พร้อมที่จะให้การศึกษา
แก่ผู้อื่นเพื่อนำไปสู่ วัฒนธรรมเพื่อสันติภาพ ต่อไป
ศาสนจักรแคทอลิคให้นิยาม วัฒนธรรมเพื่อสันติภาพ ว่า
หมายถึงทุกสิ่งทุกอย่าง ที่คนเราใช้ในการพัฒนาศักยภาพทั้งทางกายภาพและทางปัญญาของตน
มนุษย์ใช้การศึกษาและ
การประกอบการงานเป็นเครื่องมือช่วยให้ประสบความสำเร็จในการพัฒนาตนเองและสถาบัน
เมื่อเวลาผ่านไปประสบการณ์และแรงบันดาลใจที่สั่งสมไว้จะก่อประโยชน์ต่อมนุษยชาติ
โดยรวม
ปัจเจกบุคคลเหล่านี้มีอยู่ในหลากวัฒนธรรมทั่วโลก
พวกเขาใช้วิธีต่าง ๆ กันเพื่อให้ ประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์ขนบธรรมเนียม ศาสนา
กฎหมาย สถาบันยุติธรรม วิทยาศาสตร์ ศิลปะ และสุนทรียะ
วัฒนธรรมหลายหลากเหล่านี้ดำรงอยู่และหลาย
ไปทั่วโลกซึ่งเป็นผลจากความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์
ทำให้เกิดการสื่อสารและความร่วมมือระหว่างชาติในยุคโลกาภิวัฒน์เช่นปัจจุบันนี้
นอกจากแต่ละภูมิภาคและแต่ละประเทศจะมีวัฒนธรรมของตนเองแล้วมนุษย์ก็ยังมีวัฒนธรรม
อันเป็นสากลซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่เข้าใจและแสดงถึงความเป็นหนึ่งเดียวของมนุษยชาติ
ทั้งยัง
ตระหนักและเคารพในธรรมเนียมที่แตกต่างกันของวัฒนธรรมของแต่ละภูมิภาคและแต่ละชาติ
ด้วย ในบริบทของวัฒนธรรมสากลในยุคโลกาภิวัฒน์นี้แหละที่เราควรจะต้องสร้างสังคม
ที่สันติและกลมเกลียวกันโดยอาศัยสันติภาพและความยุติธรรมเป็นเครื่องมือ
แม้จะมีการเรียกร้องให้พยายามสร้างสันติภาพและภราดรภาพในโลกแต่ก็ยังมีคน
บางกลุ่มที่พยายามหว่านวัฒนธรรมแห่งความเกลียดชัง ความรุนแรง และสงคราม
ด้วยเหตุนี้มนุษย์โลกจำนวนมากจึงถูกทอดทิ้งให้เผชิญกับความหิวโหย ความยากจนและการ
ไม่รู้หนังสือ
ทุกวันนี้ผู้คนจำนวนมากทั้งหญิงและชายมีชีวิตอยู่อย่างไร้เสรีภาพทั้งทางสังคม
และไร้เสรีภาพทางจิตใจ ความขัดแย้งทางการเมือง สังคม เศรษฐกิจ เชื้อชาติ และความคิด
ยังคงมีอยู่ทั่วไป สงครามยังไม่ได้หมดไปโดยสิ้นเชิง
ดังที่ได้กล่าวในที่ประชุมสภาวาติกัน ครั้งที่ 2 ว่าความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติและ
กลุ่มสังคมภายในแต่ละประเทศยังคงมีอยู่มากมาย ความร่ำรวยและความยากจนเป็นผลพวงจาก
ความทะยานอยากของกลุ่มคนที่ต้องการเผยแผ่ แนวความคิดของตน รวมทั้งความเห็นแก่ตัวของ
คนบางคนที่กระหายอำนาจ สิ่งเหล่านี้ก่อ
ให้เกิดความไม่ไว้วางใจและความเกลียดชังซึ่งนำไปสู่ความขัดแย้งโดยมีคนบริสุทธิ์เป็น
เหยื่อสังเวย
ย่อมเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าศตวรรษที่ 20
เป็นศตวรรษแห่งสงครามโลกถึง 2 ครั้ง คือ สงครามโลกครั้งที่ 1 (พ.ศ. 2457-2461)
และสงครามโลกครั้งที่ 2 (พ.ศ. 2482-2488) และยังมี
ความขัดแย้งอีกนับครั้งไม่ถ้วนในเอเชียเช่น สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม ความรุนแรง
ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน; ในตะวันออกกลางเช่น ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับกลุ่ม
ประเทศอาหรับ ในอิรัคและอัฟกานิสถาน เช่น ความขัดแย้งระหว่างชนพื้นเมืองกับประเทศ
เจ้าอาณานิคม เช่น ฝรั่งเศสกับอัลจีเรีย โปรตุเกสกับประเทศอาณานิคมในทวีปแอฟริกา
(อังโกลา โมแซมบิค กินีบิสเซา); ความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเชื้อชาติและกลุ่มศาสนา
เช่น ความขัดแย้งระหว่างอินโดนีเซียกับ ติมอร์ตะวันออก; สงครามในสเปน; ความขัดแย้ง
ระหว่างชาวโปรเตสแตนท์กับชาวแคทอลิคในไอร์แลนด์; สงครามในบูรันดี ประเทศรวันดา;
ไลบีเรีย ซูดาน เอริเทรีย และประเทศยูโกสลาเวียเดิม ยิ่งไปกว่านั้นศตวรรษที่ 20
ยังเป็นยุค ของสงครามเย็นด้วย ซึ่งเป็นต้นเหตุของการแข่งขันกันผลิตอาวุธ
และการสะสมอาวุธนิวเคลียร์ เป็นศตวรรษที่ปัญหาความแตกแยกเพิ่มสูงขึ้น
ซึ่งรวมถึงความแตกแยกระหว่างคนรวยกับ คนจน
ระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้วกับประเทศด้อยพัฒนา ระหว่างเหนือกับใต้ ระหว่าง
ตะวันออกกับตะวันตก ระหว่างโลกที่ 1 กับโลกที่ 3 ระหว่างคริสเตียนกับอิสลาม ระหว่าง
ฮินดูกับอิสลาม ระหว่างแคทอลิคกับโปรเตสแตนท์ และระหว่างประเทศทุนนิยมกับ
คอมมิวนิสต์
การวิจัยในปีค.ศ. 2000 (พ.ศ. 2543)
โดยสถาบันการสืบสวนสอบสวนสันติภาพใน สต็อกโฮล์ม (SIPPRI) พบว่า ในปี ค.ศ. 1999
(พ.ศ. 2542) เพียงปีเดียวเกิดความขัดแย้งรุนแรง ถึงขั้นใช้อาวุธรวม 27 ครั้ง
อันเป็นความขัดแย้งทางการทหารระหว่างรัฐบาล 2 รัฐบาลขึ้นไป
หรือเป็นความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลกับกองกำลังปฏิวัติ
ซึ่งแต่ละครั้งนำมาซึ่งความสูญเสียของ ชีวิตมนุษย์นับพันคน
เบื้องหลังความขัดแย้งที่คุกคามต่อสันติภาพคือปัจจัยอื่น ๆ
ที่เป็่นเมล็ดพันธ์แห่งความ เกลียดชังอันนำไปสู่ความขัดแย้ง
ปัจจัยเหล่านี้ได้แก่การสะสมอาวุธนิวเคลียร์ การเผชิญหน้า
ระหว่างประเทศมหาอำนาจทางตะวันตกและทางตะวันออก ความไม่สมดุลทางอำนาจของ
ประเทศในซีกโลกเหนือและซีกโลกใต้ ประเทศในแถบซีกโลกเหนือซึ่งร่ำรวยและพัฒนาแล้ว
มีความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ส่วนประเทศในแถบซีกโลกใต้กลับยากจนและ
ด้อยพัฒนา ที่ซึ่งประชากรยากจน ว่างงาน ท้อแท้และขาดแคลน คนเหล่านี้อาจถูกชักจูงให้
เข้าร่วมกับองค์กรผู้ร้ายข้ามชาติ พวกคลั่งศาสนา และขบวนการก่อการร้ายได้โดยง่าย
แม้ในประเทศในแถบซีกโลกเหนือเองก็ยังมีความยากจนและความท้อแท้สิ้นหวังอยู่ เช่นกัน
ตามสลัมของเมืองใหญ่ ๆ ของโลกซึ่งเป็นแหล่งเพาะปัญหาสิ่งแวดล้อมโลก อันได้แก่
มลภาวะและการทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งเป็นปัญหาที่ท้าทายสันติภาพระหว่างชาติ
นอกจากนั้นแล้วยังมีกลุ่มมาเฟียระหว่างชาติซึ่งมีกองกำลังส่วนตัว มีอำนาจครอบคลุม
การค้ายาเสพติด การลักลอบค้าวัตถุดิบ การค้าอาวุธเถื่อน การค้ามนุษย์
ข้ามชาติและการฟอกเงิน
ทั้งหมดนี้เป็นอันตรายต่อเสถียรภาพและความปลอดภัยของมนุษย์และของโลก
แม้จะทราบดีว่ามีความจริงอันโหดร้ายเหล่านี้อยู่แต่เราก็ไม่อาจจะหมดกำลังใจและ
ปล่อยให้โลกต้องเผชิญกับหายนะไปตามบุญตามกรรม ในทางกลับกันเราต้องพายเรือทวน
กระแสน้ำ นั่นคือใช้ความเข้าใจ
ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและความรับผิดชอบต่อส่วนรวม
สร้างภูมิต้านทานใหม่ให้กับโลก โดยการสร้างวัฒนธรรมอย่างใหม่นี้ด้วยความรัก
ความเห็นอกเห็นใจและสันติวิธี ดังที่ผู้อำนวยการองค์การสหประชาชาติคนก่อน, ดร.
เฟรเดอริโก มาเยอร์ ซามอรา, ได้กล่าวไว้ว่า ในการที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมสงครามไปเป็น
วัฒนธรรมสันติภาพนั้น เราต้องเปลี่ยนแปลงค่านิยม ทัศนคติ และพฤติกรรมในอดีต
แทนที่จะยึดถือคติ ของชาวโรมันที่ว่า
หากต้องการสันติภาพก็จงเตรียมพร้อมที่จะทำสงคราม
เราต้องประกาศว่าหากต้องการสันติภาพจงเตรียมพร้อมเพื่อสันติ และจงพยายามสร้างสันติ
ทุกวัน
อย่างไรก็ดี
เพื่อให้มนุษย์รู้จักรังสรรค์และเป็นเจ้าของวัฒนธรรมเพื่อสันติภาพดังกล่าว
มนุษย์จำเป็นต้องได้รับการศึกษาเพื่อสันติภาพและสิทธิมนุษยชน