ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

อุเบกขา

อุเบกขา คือ ปัญญาอันสุดยอด

อุเบกขาเป็นคุณลักษณะของปัญญาที่เกิดในองค์ฌานที่เฝ้าสังเกตพิจารณาดูอาการของจิต เจตสิก และรูป หรือขันธ์ห้า หรือ ปฏิจจสมุปบาทที่แสดงอาการความจริงออกมาในขณะที่จิตนิ่งสงบในระดับฌานสมาธิ ตั้งแต่ระดับฌานที่ 4 ขึ้นไปจนถึงฌานที่ 8 ปัญญาขั้นอุเบกขานี้ จะพิจารณาเห็นความจริงของปรมัตถธรรมทั้ง 3 ข้อคือ จิต เจตสิก และรูป หรือขันธ์ห้าโดยละเอียด

ในพระไตรปิฎกได้อธิบายถึงเรื่องนี้ไว้ชัดเจนมากว่า ปัญญาที่พิจารณาดูขันธ์ห้าในฌานนั้น ทำให้ทราบความจริงว่า ขันธ์ห้านั้นเป็นเหมือนโรคร้ายที่รักษาไม่หาย เป็นเหมือนฝีหนองที่ทำให้เจ็บปวดทรมานอยู่ตลอดเวลา เป็นเหมือนของคนอื่นที่ขอหยิบยืมมาใช้ และไม่เป็นไปตามที่เราต้องการ มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เป็นภาระทุกข์อันหนักหน่วงที่ต้องคอยแบกรับภาระบำรุงรักษาไม่มีวันสิ้นสุด และเป็นสิ่งไร้ความคงที่ ไม่มีความเป็นอมตะยืนยงเป็นนิรันดร เพราะทั้งหมดเกิดขึ้นและดับไปตามเหตุปัจจัย

ปัจจุบันนี้ พวกเราแปลความหมายของคำว่า อุเบกขา ผิดไปอย่างมาก โดยแปลอุเบกขาว่า วางเฉย นิ่งเฉย เพ่งเฉย หรือนิ่งอยู่เฉย ๆ จึงทำให้ความหมายที่แท้จริงของอุเบกขาผิดเพี้ยนไปมาก ซึ่งส่งผลทำให้คำสอนของศาสนาผิดไปด้วย และซ้ำร้ายยังมองอุเบกขาและธรรมที่มีอุเบกขาเข้าไปเกี่ยวข้องนี้ว่า เป็นส่วนที่ทำอะไรไม่ได้ ได้แต่นิ่งเฉย ไม่ปรากฏผลใด ๆ ทำให้หลายคนปฏิเสธไม่ยอมรับการใช้อุเบกขาไปเลย

นอกจากนี้ยังมีผู้ให้เหตุผลอีกว่า เมื่อวางเฉยแล้วก็ทำอะไรไม่ได้ ยกตัวอย่างการทำสมาธิแบบสมถกรรมฐานที่มีอุเบกขาเกิดขึ้นมาในฌานต่าง ๆ หลายคนจึงปฏิเสธไม่ต้องการได้ฌาน เพราะคิดว่าในที่สุดจิตจะไปนิ่งเฉยอยู่ในฌานนั้นแล้วเสียเวลาเปล่า ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย



ดังนั้น เพราะคำแปลนี้เองทำให้เมืองไทยเราในปัจจุบันได้ละทิ้งการทำสมาธิแบบที่ได้ฌานนี้ หันไปนิยมเจริญวิปัสสนาตามแบบพม่ากันมาก แล้วยังหันกลับมาปฏิเสธสมถกรรมฐานหรือการทำสมาธิแบบได้ฌานว่า ไม่เกิดประโยชน์ ไม่ทำให้บรรลุธรรมได้ เพราะเมื่อได้ฌานแล้วจิตจะไปติดอยู่ในฌานที่เป็น อัปปันนาสมาธิ จิตจะนิ่งอยู่เฉย ๆ โดยมีอุเบกขาความวางเฉยเกิดขึ้นมาร่วมในฌานนั้น ดังนั้น การได้ฌานจึงเป็นการทำให้จิตไปนิ่งอยู่เฉย ๆ ไม่เกิดมรรคผลอะไร ไม่สามารถเห็นแจ้งในธรรมได้

คำพูดนี้เราจะได้ยินบ่อย ๆ และทุกสำนักกรรมฐานที่มีการสอนวิปัสสนาโดยมากจะพูดเช่นนี้ นอกจากนี้แล้วแม้ในเวลาสอนให้กำหนดวิปัสสนา อาจารย์จะเน้นอยู่เสมอ ๆว่า ให้กำหนดเป็นปัจจุบันขณะ อย่ากำหนดอย่างนั้น อย่ากำหนดอย่างนี้ เดี๋ยวจะไปถูกสมถะเข้า ไม่ใช่วิปัสสนา และยังให้เหตุผลเพิ่มเติมอีกว่า สมถะเป็นการเอาฌานกดทับกิเลสไว้ เมื่อออกจากฌานแล้วกิเลสจะงอกงามมากขึ้นเป็นหลายเท่า ผลของฌานจะทำให้เกิดเป็นพรหมไปไม่ถึงนิพพาน เป็นต้น

แผนผังนี้ถือเป็นความเข้าใจผิดอย่างหนักของชาวพุทธในฝ่ายที่เรียกตนเองว่า ฝ่ายวิปัสสนา ฝ่ายที่รู้แจ้ง ฝ่ายผู้เน้นปัญญา หรือฝ่ายปฏิบัติที่มุ่งตรงไปสู่พระนิพพาน เพราะส่วนวิปัสสนาที่ทำลูกศรชี้ไปอีกทางหนึ่งนั้นเขาบอกว่า นั่นทางไปนิพพาน ส่วนที่ทางมาจากสมถกรรมฐานนี้ เป็นพวกที่ติดอยู่ในโลก เพราะเป็นพวกได้ฌานไปติดเรื่องฤทธิ์ ไปติดอยู่แค่อุเบกขาเลยทำให้ไม่เกิดปัญญา วิปัสสนาญาณจึงไม่เกิด ถ้าเป็นอย่างที่พวกนี้กล่าวพระพุทธเจ้าและพระสาวกมากมายที่ฝึกจิตมาจนได้ฌานได้ฤทธิ์จำนวนมากก็คงนิพพานไม่ได้เหมือนกัน ที่จริงแล้วสมถกรรมฐานนั้นเป็นเหตุ ส่วนวิปัสสนากรรมฐานนั้นเป็นผล ผู้ต้องการผลโดยไม่สร้างเหตุรับรองไม่ประสบผลแน่นอน ดังพุทธพจน์ว่า เย ธัมมา เหตุ ปะภะวา ...สิ่งทุกอย่างเกิดมาจากเหตุ ถ้าจะแก้ไขหรือต้องการผล ก็ต้องไปแก้หรือสร้างที่ต้นเหตุ จึงจะบรรลุผล

หน้าถัดไป >>>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย