สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>

มนุษย์และความขัดแย้ง

การแสวงหาพันธมิตร

เคยมีคนกล่าวว่า ถ้ามนุษย์อยู่คนเดียว ก็จะเรียกสถานการณ์นั้นว่า สันติภาพ แต่ถ้ามี 2 คนอยู่ด้วยกันก็จะเป็นสถานการณ์ของความขัดแย้ง แต่ถ้ามี 3 คน ก็จะเริ่มมีการเข้าข้างกัน หมายความว่า ที่ทั้งสามคนจะสามัคคีเป็นอันดีนั้นยาก จะต้องมีการแบ่งฝ่ายเป็น 2 + 1 หรือไม่ก็กลายเป็น 3 ฝ่ายไปเลย อันนี้เป็นสัจธรรม สัจธรรมอีกข้อคือ มนุษย์มีแนวโน้มที่จะแสวงหารูปแบบชนิดที่เรียกว่า Balance of Power อยู่เสมอ ทั้งนี้เพื่อแก้ไขจุดอ่อนที่ตนมี (ในการต่อรองเพื่อผลประโยชน์) ให้กลายเป็นจุดแข็ง หรืออย่างน้อยก็ให้อยู่ในฐานะที่พอจะ”ต่อกร/ต่อรอง” อย่างไม่เสียเปรียบกับอีกฝ่ายได้

อนึ่งเมื่อมีการพูดถึงพันธมิตร ก็ย่อมจะตีความได้ด้วยว่า ในกรณีนี้ต้องมีฝ่ายตรงข้าม อย่างที่เราเรียกว่า “ศัตรู” ได้ด้วย ในเรื่องนี้ จากประสบการณ์ มนุษย์มักทำผิดตรงที่ มักมองว่าฝ่ายที่เราเห็นชัดเจนว่าอยู่ตรงข้ามนั้นเป็นศัตรูสำคัญ ส่วนที่ไม่แสดงตัวออกมา บางทีกลับมองว่าเป็นมิตรเสียด้วยซ้ำ อีกอย่างมนุษย์เรามักให้ความสำคัญกับอดีตมากเกินไป แท้จริงในประเด็นมิตร-ศัตรูนี้ ต้องมองปัจจุบัน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งไปในอนาคตด้วย และต้องพิจารณาศักยภาพจากประเด็นของผลประโยชน์ว่า จากมิตรจะกลายเป็นศัตรู หรือจากฝ่ายตรงข้ามจะกลายเป็นมิตรได้หรือไม่ และในกรณีนี้ต้องระลึกถึงสัจธรรมอีกข้อว่า “ในทางการเมือง ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร” ที่แท้และถาวรคือ ผลประโยชน์ของเรา (ข้อให้ระลึกว่า ผลประโยชน์นั้นไม่ได้ต้องอยู่ในรูปของวัตถุเสมอไป เป็นความรู้สึกมั่นคง เป็นเกียรติภูมิก็ได้ ฉะนั้น ในประเด็นมิตร-ศัตรู จึงควรเป็นเรื่องประเภท “ระยะสั้น” และต้องปรับเปลี่ยนได้ แต่ทั้งนี้ หากต้องการรักษามิตรภาพไว้ ก็ต้องจริงใจ (จริงใจไม่ได้หมายความว่าต้องเผยไต๋ทั้งหมด) และมีมาตรการต่างๆมาสนับสนุน เรื่องพวกนี้ตบมือข้างเดียวไม่ดังอยู่แล้ว การหักหาญน้ำใจจึงไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง อย่างมากอาจเป็นไปตามลักษณะของความสัมพันธ์ที่มีทั้งแบบใกล้ชิด หรือห่างเหิน และสุภาษิตไทยที่ว่า “ไม้ล้มข้ามได้ คนล้มอย่าข้าม” ก็ยังน่าจะใช้ได้ดี

มาตรการอื่นๆเพื่อรักษาพันธมิตร (นอกจากตามแบบของความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกฯแล้ว) เช่น ข้อสนธิสัญญา ข้อผูกมัด หลักประกัน การรวมกลุ่มประเทศ เป็นต้น สัญญาที่กระทำในรูปของทวิภาคี ต้องนำไปพิจารณาประกอบด้วยว่า ประเทศคู่สัญญาของเราได้ทำสัญญาทำนองเดียวกันนี้กับรัฐอื่นด้วยหรือไม่ และต้องประเมินว่า ในกรณีที่จะต้องมีการหักคำสัญญา รัฐนั้นยินดีหรืออยู่ในเงื่อนไขที่จะบอกเลิกสัญญากับใครก่อน ข้อสัจธรรมที่ขมขื่นอีกข้อคือ จะไม่มีรัฐใดยอมเอาผลประโยชน์ของชาติเขาในระดับต่างๆไปเสี่ยงเพื่อผลประโยชน์ของชาติอื่นๆ ด้วยความสำนึกทางศีลธรรม หรือเพียงเพื่อรักษาคำมั่นสัญญาเท่านั้น ในกรณีที่เป็นความสัมพันธ์ระหว่างปัจเจกฯ มนุษย์เรายังอยู่ภายใต้เงื่อนไขและสำนึกทางศีลธรรมมากว่า (คนบางคนยังยอมตายเพื่อเพื่อนของตนได้) (ตรงนี้มีการอภิปรายถึงความศักดิ์สิทธิ์และการบังคับใช้กฎหมายระหว่างประเทศ)



ประเด็นพิจารณาต่อมา การแสวงพันธมิตร โดยสาระแล้ว อาจเรียกได้ว่าเป็น “สมาคมเพื่อความมั่นคง” เพราะผลประโยชน์ที่สำคัญยิ่งยวดของรัฐก็คือความมั่นคงนั่นเอง มาตรการดังที่ระบุแล้วก็เพื่อเป็นการเพิ่มความมั่นใจในมิติความมั่นคง แต่เมื่อมีการผูกมัด หรือข้อพันธกรณี (และที่จริงในทุกพฤติกรรมที่สำคัญของรัฐ) ก็ต้องได้รับการยอมรับจากประชาชน (ในทุกระดับ) ด้วย ปกติของการคบหานั้น เราก็ต่างหวังว่าความสัมพันธ์จะอยู่ในระดับที่เท่าเทียมกัน แต่การอยู่ใน “สมาคม” นานาชาติ (แม้ว่าการอยู่ในกลุ่มทางสังคมก็ตาม) เนื่องจากแต่ละรัฐมีอำนาจรัฐที่ต่างกัน ที่คบกันก็เพื่อผลประโยชน์ในมิติต่างๆ ชาติเล็กอาจต้องการหลักประกันด้านความมั่นคง แต่ชาติใหญ่สนใจที่จะได้ช่องทางเข้าไปแสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจ เหนือคู่แข่งคนอื่น เมื่อมองโดยภาพรวมของสมาคมความสัมพันธ์เช่นนั้น ชาติเล็กก็กลายเป็นหน่วยย่อยทางเศรษฐกิจของชาติใหญ่ไป และชาติใหญ่ก็เป็นเสมือนศูนย์กลางของ “จักรวรรดิ” ในเรื่องความมั่นคงของชาติเล็กต่างๆ คำถามว่า ในลักษณะของความสัมพันธ์เช่นนี้ มิติเรื่องเกียรติภูมิหายไปไหน ตอบว่า เมื่อผลประโยชน์เรื่องความมั่นคงเป็นหลัก ก็ต้องยอมลดมุมมองด้านเกียรติภูมิ ซึ่งมาทีหลังลงไป แม้คนเราเอง ปากท้องมาก่อน ความมั่นคงตามมา เกียรติภูมิยังมาทีหลัง

ความขัดแย้ง
การแสวงหาพันธมิตร
การเข้าไปก้าวก่าย
การค้า
การสงคราม
 

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย