ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม >>

จักรวรรดิไศเลนทร์

       นักโบราณคดีได้ขุดค้นโบราณสถานบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย ปัจจุบันก็คือประเทศปากีสถาน พบเมืองโบราณขนาดใหญ่ก่อสร้างด้วยหินและอิฐดินเผาอย่างมีระเบียบแบบแผนทางสถาปัตยกรรมประกอบด้วยถนนหนทางคูระบายน้ำและระบบสุขลักษณะอย่างครบถ้วนฝังจมอยู่ใต้พื้นดิน บริเวณโบราณสถานดังกล่าว ค้นพบศิลปวัตถุเครื่องมือเครื่องใช้จำนวนมาก เป็นหลักฐานบ่งบอกให้ทราบอย่างชัดเจนว่า เคยเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬารและมีเคยมีความเจริญรุ่งเรืองในอดีตเมื่อหลายพันปีก่อน เรียกกันว่า “เมืองหารัปปา” และ “เมืองโมเหนจาดาโร” ต่อมาได้กลายเป็นชื่อของแหล่งอารยธรรมเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในโลก สันนิษฐานว่าคงหมายถึง “เมืองสุทัศน์” ในตำนานเทพปรกรณัมของชาวอินเดียที่กล่าวถึงเรื่องราวปรัมปรากล่าวถึงการสู้รบในเทพนิยายเรื่อง “เทวอสูรสงคราม” การรบพุ่งแย่งชิงเมืองสวรรค์ชั้นฟ้ากันอย่างหฤโหดจนไม่ทราบว่าฝ่ายใดเป็น “เทพ” ฝ่ายใดเป็น “อสูร” แต่เชื่อกันว่าคงหมายถึงการทำสงครามกันระหว่างชนชาวอินเดียผิวดำเจ้าของถิ่นฐานบ้านเมืองดั้งเดิมเรียกกันว่า “ทราวิต” หรือ “มิลักขะ” กับชนชาวอารยันผิวขาวรูปร่างสูงใหญ่แบบฝรั่งผู้บุกรุกมาจากทะเลสาบแคสเปียน ในประเทศอิหร่าน ต่อมาได้กลายเป็นมหากาพย์บันลือโลกของอินเดียเรื่อง “รามายณะ” หรือ “รามเกียรติ์” ซึ่งบรรดาราชวงศ์กษัตริย์ทั้งหลายในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต่างอ้างว่าปฐมราชวงศ์ของพระองค์สืบเชื้อสายมาจาก “พระราม”

กล่าวกันว่าชนชาวอินเดียพื้นเมืองผิวดำที่เรียกกันว่า “ทราวิต” หรือ “มิลักขะ” สร้างสรรค์อารยธรรมอันรุ่งเรืองขึ้นในแผ่นดินชมพูทวีปมาหลายพันปี ก่อนที่ชนชาวอารยันขาวยุคแรกจะบุกรุกเข้าไปแย่งชิงดินแดน ชาวอินเดียผิดดำเคยมีความคิดความเชื่อในทางศาสนาเกี่ยวกับการเคารพบูชาธาตุในธรรมชาติ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ นับถือว่าเป็นเทพเจ้าผู้ศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจยิ่งใหญ่ในการสร้างสรรค์สรรพสิ่งขึ้นมาในโลก ทวยเทพดังกล่าวสถิตอยู่ในวิมานบนสวรรค์และเหนือภูเขาหิมาลัยที่สูงเสียดฟ้า จึงมีความคิดในการสร้างสรรค์เกี่ยวกับการนับถือบูชาระบบธาตุอยู่ก่อนแล้ว

ต่อมาชาวอารยันผิวขาวรูปร่างสูงใหญ่แบบฝรั่งจากประเทศอิหร่าน ซึ่งมีความเจริญทางวัฒนธรรมและอารยธรรมสูงมีความคิดทางศาสนานับถือบูชา พระอาทิตย์ หรือ เทพสาวิตรี ผู้ศักดิ์สิทธิมีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือกว่าทวยเทพทั้งหลายทั้งปวงสถิตอยู่เหนือยอดภูเขามิตตระ ผู้ทรงประทานแสงสว่างและความอบอุ่นให้แก่โลก สร้างสรรค์โลก จึงสร้างเทวสถานขึ้นเพื่อกราบไหว้นับถือบูชา “พระอาทิตย์” หรือ “ไฟในสวรรค์”

กล่าวกันว่าชนชาติอิหร่านในอดีตมีความรู้ในการใช้ไฟที่มีความร้อนสูงมาก หลอมละลายแร่เหล็กและไล่เอากากออกไปได้ แล้วนำเอาเหล็กบริสุทธิ์มาประดิษฐ์เป็นเครื่องใช้ที่แข็งแรงทนทานดียิ่งกว่าโลหะชนิดใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถนำมาผลิตเป็นอาวุธภัณฑ์นานาประการ และสร้างสรรค์ “ผานไถเหล็ก” สำหรับใช้ในการทำไร่ไถนาในยุคเกษตรกรรมเริ่มแรก พัฒนาการบ้านเมืองจนมีความเจริญรุ่งเรือง กลายเป็นชาติมหาอำนาจเหนือกว่า อียิปต์ แห่งลุ่มแม่น้ำไลน์ และ อัสซีเรีย ในลุ่มแม่น้ำยูเปรดิสไตกริส หรือ ประเทศอีรัค ในปัจจุบันคำว่า “อารยัน” ซึ่งเป็นรากฐานที่มาของคำว่า “อารยะ” ซึ่งแปลว่า “ความเจริญ” แท้จริงแล้วมาจากมีนัยความหมายของคำว่า “ผานไถเหล็ก” ที่เกิดขึ้นในประเทศอิหร่านเป็นครั้งแรกในโลก



การสู้รบระหว่างชนพื้นเมืองผิวดำผู้เป็นเจ้าถิ่น กับชาวอารยันผิวขาวผู้บุกรุก ดังปรากฏเรื่องราวเค้าเงื่อนปรากฏอยู่ในตำนานปรัมปราเรื่อง “เทวอสุราสงคราม” หากหลักฐานในการค้นพบการใช้ความร้อนสูงในการหลอมละลายธาตุเหล็กจนสามารถพัฒนาเป็นอาวุธยุทธภัณฑ์ใช้ในการทำสงครามสมัยนั้นเป็นความจริงแล้ว ผลการสู้รบย่อมคาดหมายได้ว่าชนชาวอารยันย่อมเผด็จศึกชนชาวพื้นเมืองลงได้อย่างราบคาบ ชนชาวอินเดียผิวดำคงอพยพหลบหนี้ลี้ภัยลงไปทางภาคใต้ข้ามน้ำข้ามทะเลไปจนถึงเกาะลังกา ชนชาวอารยันผิวขาวจึงตั้งหลักแหล่งมั่นคงอยู่ในแถบลุ่มแม่น้ำยมุนา แม่น้ำคงคา ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดีย คือบริเวณเมืองอินทรปัสถ์ หรือ เมืองเดลฮี ในสมัยปัจจุบัน

ผู้นำของชนเผ่าชาวอารยันได้ยึดครองผืนแผ่นดินทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียสร้างอาณาจักรขึ้นมาปกครอง ดังปรากฏอยู่ในเรื่องราวมหากาพย์ภารตะเกี่ยวกับการสืบสายฝ่าย “สุริยวงศ์” หรือ “ราชวงศ์พระอาทิตย์”(Sun Dynasty) ในเรื่อง “รามายณะ” หรือในวรรณคดีไทยเรียกว่า “รามเกียรติ์” และเรื่องราวเกี่ยวกับสืบราชวงศ์ฝ่าย “จันทรา” หรือ “ราชวงศ์พระจันทร์”(Moon Dynasty) ในมหากาพย์เรื่อง “มหาภารตะยุทธ” ซึ่งเนื้อหาสารของหมากาพย์ดังกล่าวล้วนแต่เป็นการสดุดีวีรกรรมของนักรบในวรรณะกษัตริย์ ผู้ทำหน้าที่ปกป้องเผ่าพันธุ์และรักษาบ้านเมืองดุจดังพระนารายณ์ผู้สร้างโลกและควบคุมสรรพสิ่งในโลกให้เป็นไปตามความประสงค์ของพระองค์ แต่เมื่อใดเกิดยุคเข็ญก็จะอวตารลงมาช่วยระงับความเดือนร้อนโลกมนุษย์ ความคิดและความเชื่อดังกล่าวได้กลายเป็นรากฐานเกี่ยวกับหลักปรัชญาและคำสอนทางศาสนาของชาวอารยัน เมื่อผสมผสานเข้ามาผสมผสานเข้ากับความคิดความเชื่อทางศาสนาของชนชาวพื้นเมืองผิวดำ จึงเกิดเทพเจ้าผู้มีอำนาจยิ่งใหญ่และมีความศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมามาย การค้นหาแก่นความรู้อันลี้ลับที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในธรรมชาติ จนกระทั่งค้นพบ “ความจริงสูงสุด” หรือ “ปรมัตถ์สัจ” นำไปสู่ความขัดแย้งยุ่งยากทางศาสนาชนชั้นปกครองของภารตะในยุคดึกดำบรรพ์จึงพยายามประนีประนอมหล่อหลอมความคิดความเชื่อทางปรัชญาและศาสนาโดยศึกษาค้นหาความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติในโลกและในจักรวาล จนกระทั่งค้นพบความจริงความลับที่ล้ำลึกของ “ความจริงสูงสุด” หรือ “ปรมัตถ์สัจ” ทั้งในระดับ “ตรีกาย” คือ “ระดับกายวัตถุ” (Physical) “ระดับจิตวิญญาณ” (Psychical) และ “ระดับจักรวาล” (Cosmic) ที่เชื่อมโยงต่อเนื่องถึงกันทั้ง 3 ด้วยไฟในสวรรค์

ความจริงสูงสุดของ “ตรีกาย” (Trilokayam) อันเป็นหลักอภิปรัชญาสูงสุดที่ศึกษาค้นคว้ากันมาก่อน “ยุคพระเวท” เมื่อราว 3000 ปีก่อน ก็คือ การค้นพบภาพลักษณ์ของสิ่งที่ทรงอำนาจสูงสุดของ “องค์พรหม” (Brahman) ที่แทรกซึมแพร่กระจายเป็นส่วนของสรรพสิ่งทั้งปวงในจิตวิญญาณของมนุษย์ที่เรียกว่า “อัตมัน” (Atman) ซึ่งไม่มีตัวตนเปลี่ยนแปลงเคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา ไม่มีหนทางใดที่จะรู้ความจริงแท้ที่อยู่เบื้องหลังได้ ทำได้เพียงหนทางเดียวก็คือ การบำเพ็ญภาวนาให้ดวงจิตบังเกิดสมาธิ (Jana) ด้วยพลังแห่ง “ปราณ” (Prana) เท่านั้น ที่จะบันดาลให้เกิดความรู้แจ้งถึงปรากฏการณ์ของภาพมายา ซึ่งเข้าใจกันว่าเป็นความจริงในโลก ก็คือ “ธรรมปัญญา” (Wisdom) อันเป็นต้นตอของหลักศาสนาทั้งหลายของอินเดีย ความรู้ถึงแก่นสารอันล้ำลึกดังกล่าวนี้รวบรวมอยู่ใน “พระคัมภีร์พระเวทอันศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งเป็นศาสตร์เก่าแก่อันมีชื่อเสียงของโลกตะวันออก และเป็นบ่อเกิดของอารยธรรมที่รุ่งเรืองของอินเดีย พัฒนาการ เป็นอภิปรัชญาของศาสนาพราหมณ์ ศาสนาพุทธ ศาสนาเชน ศาสนาอินดู ในสมัยต่อมา

หน้าถัดไป >>>

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย