ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม >>
จักรวรรดิไศเลนทร์
2
คำว่า เวท หรือ เวทะ ในภาษาอินเดีย แปลว่า ความรู้ หรือศาสตร์
คำว่า พระ เป็นคำนำหน้าเพื่อยกย่องสิ่งที่นับถือว่าศักดิ์สิทธิ์ตามธรรมชาติ
เช่น พระธรณี พระคงคา พระเพลิง พระพาย หรือเทพเจ้า เช่น พระพรหม พระนารายณ์
พระอิศวร หรือดวงดาวที่ให้คุณให้โทษต่อโลกว่า
ดาวพระเคราะห์หรือให้ยกย่องมนุษย์ผู้สูงศักดิ์ เช่น พระเจ้าแผ่นดิน
หรือบรรดาศักดิ์ของนักบวช เช่น พระสังฆราช พระราชครู เป็นต้น
คัมภีร์พระเวท
ตามนัยความหมายดั้งเดิมจึงเป็นเรื่องของความรู้ในทางโลกศาสตร์ที่ล้ำลึกยิ่งใหญ่และกว้างขวางยิ่งกว่าศาสตร์ใด
ๆ ไม่ได้เกี่ยวกับหลักธรรมคำสอนของศาสนาแต่อย่างใด
ชาวอินเดียมีความเชื่ออย่างมั่นคงว่า คัมภีร์พระเวท
เป็นพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าทรงบอกกล่าววิชาความรู้ให้แก่เหล่าฤาษีผู้สำเร็จญาณชั้นสูง
เพื่อให้นำมาสั่งสอนถ่ายทอดแก่มวลมนุษยชาติ
ใช้สำหรับสร้างสรรค์อารยธรรมให้รุ่งเรืองขึ้นในโลก
จึงไม่ใช่เป็นผลงานที่มนุษย์ธรรมดาเป็นผู้เรียบเรียงขึ้น คัมภีร์พระเวท
แต่เดิมไม่ได้จดบันทึกไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เหล่าฤาษีได้ท่องจำไว้ในใจ
แล้วถ่ายทอดให้แก่ศิษย์ท่องจำสืบต่อกันมา คัมภีร์พระเวท ประกอบด้วยคัมภีร์สำคัญ
คือ
คัมภีร์ฤคเวท คัมภีร์ยชุรเวท คัมภีร์สามเวท และคัมภีร์อาถรเวท
ผู้ที่ท่องจำคัมภีร์พระเวทสืบต่อจากเหล่าฤาษีเรียกว่า พรามหณ์ แปลว่า ผู้สวด หรือ ผู้ท่องจำ มีหน้าที่ท่องจำทบทวนข้อความใน คัมภีร์พระเวท ให้ถูกต้องแม่นยำจนขึ้นใจ เพื่อนำไปสั่งสอนให้ศิษย์รุ่นต่อไป ไม่มีใครทราบว่าฤาษีผู้เป็นปฐมอาจารย์ซึ่งพระเจ้าทรงถ่ายทอดพระวัจนะให้เป็นครั้งแรกมีชื่อว่าอย่างไร คัมภีร์อัมพัฎฐสูตร และ คัมภีร์เตวิชชสูตร ของพระพุทธศาสนาฑีฆะนิกาย อ้างว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสถึงชื่อฤาษีว่ามี 10 ตน ไว้ดังนี้
- ฤาษีอัฎฐกะ
- ฤาษีวามกะ
- ฤาษีวามะเทวะ
- ฤาษีเวสามิตร
- ฤาษียมตัคคี
- ฤาษีอังคีรส
- ฤาษีภารทวาชะ
- ฤาษีวาเสฏฐะ
- ฤาษีกัสสปะ
- ฤาษีภคุ
ด้วยเหตุนี้นักประวัติศาสตร์อินเดียเรียกยุคที่ชาวอารยันผิวชาวบุกรุกเข้าไปตั้งถิ่นฐานมั่นคงอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของประเทศอินเดียสมัยก่อนพุทธกาลว่า
ยุคพระเวท เมื่อรวมกันพัฒนาการของอารยธรรมหารับปาโมเหนจาดาโร :ซึ่งมีมาก่อน
ยุคพระเวท หลายพันปี อารยธรรมอินเดียจึงมีอายุเก่าแก่ในราว 4500 ปีเศษ
เป็นที่ยอมรับกันว่าอารยธรรมอินเดียเป็นต้นธารสำคัญแห่งความคิดทางศาสนาที่มีญาณวิทยาล้ำลึกกว้างขวางและมีแนวความคิดในเชิงอภิปรัชญาหยั่งรู้ครบถ้วนรอบด้านยิ่งกว่าชนชาติใดในโลก
ต่อมาสามารถพัฒนาการเป็น ลัทธิ และศาสนา สำคัญ เช่น สางขยะลัทธิ ปรัชญาโยคะ
ศาสนาพราหมณ์ ศาสนาเชน ศาสนาพุทธ ศาสนาฮินดู
ล้วนแต่เป็นแนวความคิดเกี่ยวกับการแสวงหาหนทางหลุดพ้นทุกข์ในโลกนี้
และเพื่อแสวงหาความสุขในโลกหน้า
ด้วยวิธีการละบาปทั้งปวงมุ่งบำเพ็ญบารมีธรรมทางด้านจิตใจเพื่อให้บรรลุความจริงสูงสุด
ต่อมาอารยธรรมอันสูงส่ง ลัทธิ ศาสนา
ที่เกิดขึ้นในประเทศอินเดียได้หลั่งไหลข้ามมหาสมุทรเข้ามามีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ในดินแดนทวีปเอเชียและตะวันออกเฉียงใต้สืบมาจนถึงสมัยปัจจุบัน
แม้ว่ายังมีบ่อเกิดทางปรัชญาและอารยธรรมอันสำคัญอีกสายหนึ่งของโลกตะวันออกคือ
ประเทศจีน เช่น ลัทธิเต๋าลัทธิขงจื้อ
แต่กระแสความคิดทางปรัชญาและอารยธรรมของจีนไม่สามารถพัฒนาการเป็นศาสนาได้เหมือนอย่างอินเดีย
คงแนะนำสั่งสอนให้คนยึดถือปฎิบัติแนวความคิดทางโลก
แตกต่างกับปรัชญาและอารยธรรมอินเดียมีความเข็มข้นล้ำลึกล่วงรู้เกี่ยวกับ 3 โลก
ที่เชื่อมโยงต่อเนื่องถึงกันด้วยไฟในสวรรค์ ซึ่งคงหมายถึง แสงอาทิตย์ แสงดาว
สอดคล้องกับการค้นพบของนักวิทยาศาสตร์ฟิสิกส์ในยุคปัจจุบัน
หลักอภิปรัชญาที่ล้ำลึกจับใจจึงได้แทรกซึมเข้าไปมีอิทธิพลอยู่ในวิถีชีวิตของชนชาวจีนและบ้านเมืองที่นิยมวัฒนธรรมจีน
เช่น ประเทศญี่ปุ่น เกาหลี มงโกเลีย ธิเบต
นับถือปรัชญาทางศาสนาของอินเดียพร้อมกับยึดถือปรัชญาของจีนควบคู่กันไป
ถึงกระนั้นก็ตามนักปราชญ์ได้แบ่งสายธารความคิดทางปรัชญาและอารยธรรมของโลกตะวันออกเป็น
2 สาย คือ
- สายธารแห่งปรัชญาและอารยธรรมอินเดีย
- สายธารแห่งปรัชญาและอารยธรรมจีน