ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม อารยธรรม >>
จักรวรรดิไศเลนทร์
3
ศาสตราจารย์ ดร.ราชกฤษณัน นักปรัชญาคนสำคัญทางภารตวิทยา ได้แบ่งยุคแห่งความคิดทางปรัชญาและอารยธรรมของอินเดียออกเป็น 3 ยุค คือ
- ยุคพระเวท
เริ่มตั้งแต่พวกอารยันเข้ามาตั้งหลักแหล่งอยู่ในผืนแผ่นดินของอินเดียเมื่อราว
1000 ปี ก่อนสมัยพุทธกาล
ได้พัฒนาความคิดทางศาสนาและปรัชญาของตนให้สอดคล้องกับความเชื่อถือของชนพื้นเมืองดั้งเดิม
เกิดเทพเจ้าทางธรรมชาติขึ้นหลายองค์ พัฒนาการต่อเนื่องมาเป็น ศาสนาพราหมณ์
เมื่อราว 100 ปี ก่อนพุทธกาล
- ยุคมหากาพย์
เป็นยุคที่ชาวอารยันจัดระเบียบการเมืองการปกครองขึ้นอย่างมั่นคงแล้ว
ได้สร้างสรรค์อารยธรรมขึ้นในประเทศอินเดีย สืบทอดราชวงศ์กษัตริย์เมื่อประมาณ
100 ปีก่อนพุทธกาลจนกระทั่งถึง พุทธศักราช 700
ในยุคนี้มหากวีชาวภารตะได้รจนาประวัติความเป็นมาเกี่ยวกับบ้านเมืองของตนไว้ในรูปมหากาพย์ที่มีชื่อเสียงบันลือโลก
คือ มหากาพย์ภารตะ และ มหากาพย์รามายณะ ในตอนปลายยุคมหากาพย์
ได้เกิดนักคิดนักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ขึ้นมีนามว่า เจ้าชายมหาวีระ
ศาสดาของศาสนาเชน และ เจ้าชายสิทธัตถะ ศาสดาของศาสนาพุทธ
ศาสนาที่สั่งสอนให้มนุษย์แสวงหาทางหลุดพ้นจากโลกด้วยตนเอง
ชาวอินเดียนับถืออย่างแพร่หลายกลายเป็นคู่แข่งของศาสนาพราหมณ์
- ยุคปรัชญาฮินดูทั้ง 6 ระบบ คือ ปรัชญานยายะ ปรัชญาไวเศษิกะ ปรัชญาสางขยะ ปรัชญาโยคะ ปรัชญามีมามสา ปรัชญาเวทานตะ กล่าวกันว่าภายหลังจาก พราหมณ์ ซึ่งแต่เดิมเป็นเพียงผู้สวดท่องจำ คัมภีร์พระเวท ให้ถูกต้องสืบต่อกันไป นานวันเข้า คัมภีร์พระเวท ตกอยู่ในมือของพวกพราหมณ์อย่างสิ้นเชิง พราหมณ์กลายเป็นผู้ที่มีอิทธิพลสูงสุดในสังคม เมื่อสามารถแก้ไขดัดแปลงต่อเติมข้อความใน คัมภีร์พรเวท ไว้ใน คัมภีร์อุปนิษัท อ้างว่าวรรณะพราหมณ์เกิดมาจากลมหายใจของพระเจ้า ผูกขาดการประกอบพิธียัญการรมอันสลับซับซ้อน นัยว่าเพื่อให้เกิดความศักดิ์สิทธิ์ ยกย่องว่า พระอิศวร ซึ่งเป็นเทพเจ้าของพราหมณ์เป็นผู้สร้างโลก มีฤทธาอานุภาพยิ่งใหญ่สามารถช่วยเหลือมนุษย์โดยไม่มีข้อจำกัด พราหมณ์จึงก้าวขึ้นสู่จุดสุดยอดมีอิทธิพลอยู่ในในราชสำนักทั้งหลาย พระราชาใหญ่น้อยต้องเคารพบูชา ศาสนาพราหมณ์จึงได้รับความนิยมแพร่หลายไปทั่วประเทศอินเดีย และหลั่งไหลข้ามมหาสมุทรเข้ามายังคาบสมุทรอินโดจีน ต่อมาได้พัฒนาการเป็น ศาสนาฮินดู เมื่อราวต้นพุทธศักราช พ.ศ.700 เป็นต้นมา
ประเทศอินเดียบ่อเกิดของอารยธรรมอันรุ่งเรืองมาหลายพันปีแล้ว
คัมภีร์ชาดกเก่าแก่มากมายกล่าวถึงพ่อค้า นักเดินเรือ นักผจญภัย
นักสอนศาสนาชาวอินเดียในสมัยก่อนประวัติศาสตร์
ได้เดินเรือฝ่าคลื่นลมเข้าหมาสมุทรหลั่งไหลเข้ามาติดต่อค้าขายกับเมืองท่าตามชายฝั่งทะเลตะวันตกของคาบสมุทรอินโดจีน
และตั้งหลักแหล่งรวบรวมสินค้าและรอฤดูลมมรสุมอยู่จนกระทั่งเกิดลมมรสุมใหม่ในปีถัดไปจึงเดินทางกลับ
หรือไม่ก็ตั้งหลักปักฐานอยู่กับชนชาวพื้นเมืองในโลกใหม่โดยไม่กลับไปยังบ้านเมืองของตน
พวกพราหมณ์ได้เข้ามาเผยแพร่ศาสนาให้แก่ประชาชน
และประกอบพิธีกรรมยกย่องผู้นำชาวพื้นเมืองขึ้นเป็น สมมุติเทพ
โดยอ้างว่าสืบเชื้อสายมาจากเทพเจ้าเพื่อมาช่วยมนุษย์โลก
เรื่องราวของโลกใหม่ดินแดนที่ตั้งอยู่ห่างไกลไปทางทิศตะวันออกของประเทศอินเดีย
ปรากฏอยู่ในมหากาพย์เรื่อง รามายณะ หรือวรรณคดีเรื่อง รามเกียรติ์
อันเก่าแก่ของอินเดีย กล่าวถึงดินแดนที่อยู่ไกลแสนไกลดังกล่าวไว้อย่างเลือนราง
ส่วนข้อความใน คัมภีร์มโนรถปูรณี กล่าวถึงดินแดน สุวรรณภูมิ ไว้แต่เพียงสั้น ๆ
ว่า ระยะทางเดินเรือจาก เกาะลังกา ไปยัง สุวรรณภูมิ ห่างไกลกันในราว 700 โยชน์
ถ้าลมดีพัดส่งท้ายเรือ อาจแล่นไปถึงได้ภายในเวลา 7 วัน 7 คืน
แม้ว่าคำกล่าวในคัมภีร์มโนรถปูรณีอาจเกินความเป็นจริง
เพราะไม่มีเรือสำเภาลำใดสามารถแล่นจาก
เกาะลังกามาถึงชายฝั่งทะเลตะวันตกของคาบสมุทรภาคใต้ของประเทศไทยได้ภายใน 7 วัน 7
คืนก็ตามแต่เป็นคำอุปมาอุปไมยให้เข้าใจว่า สุวรรณภูมิ
ไม่ได้อยู่ห่างไกลไปจากลังกามากนัก
สอดคล้องกับข้อความในวรรณคดีรามเกียรติ์ที่กล่าวถึงชื่อดินแดนโลกใหม่นั้นว่า
ยวาทวีป และ สุวรรณทวีป
ดินแดนลับลึกที่ตั้งอยู่ห่างไกลไปทางทิศตะวันออกของประเทศอินเดีย มีมหาสมุทรกว้างใหญ่ขวางกั้นอยู่ เล่าลือกันว่าเป็นดินแดนที่อุดมไปที่ด้วย ทองคำ แร่ธาตุ และสิ่งของมีค่าหายากนานาชนิด แต่ก็เป็นคำกล่าวที่เลื่อนลอยไม่ได้ระบุถึงทิศและระยะทางตลอดจนสิ่งสำคัญทางภูมิศาสตร์ แสดงให้ทราบชัดเจนว่าตั้งอยู่ที่ไหน จนกระทั่งถึงสมัยต้นพุทธกาลเมื่อพระเจ้าอโศก ทรงหันมานับถือพุทธศาสนาในปลายพุทธศตวรรษที่ 2 ศิลาจารึกของพระองค์กล่าวว่าทรงโปรดให้พระเถระผู้มีชื่อเสียงเดินทางไปเผยแพร่พุทธศาสนายังนานาประเทศ จึงทำให้เริ่มทราบชัดเจนขึ้นจากข้อความใน คัมภีร์สมันตปาสาทิกา ของพุทธศาสนาจดบันทึกว่า
พระโสณะเถระ กับ พระอุตรเถระ เดินทางไปยัง สุวรรณภูมิ
นอกจากนั้นคัมภีร์เก่าแก่สมัยเริ่มต้นประวัติศาสตร์ลังกามีชื่อว่า คัมภีร์มหาวงศ์พงศาวดารลังกา ได้จดบันทึกถึงเรื่องราวเมื่อครั้ง พระมหินทเถระ เป็นหัวหน้าคณะธรรมทูตจากราชสำนักของพระเจ้าอโศก ซึ่งเดินทางไปเผยแพร่พุทธศาสนาถึง อาณาจักรสิงหล ในรัชกาล พระเจ้าเทวนัมปิยติสสะ เมื่อ พ.ศ. 296 กล่าวถึงรายละเอียดมากมายโดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อความที่กล่าวถึง เจ้าชายสุมิตร ราชโอรสของ พระนางสังฆมิตรตาเถรี และเป็นพระราชนัดดาของ พระเจ้าอโศก เสด็จลงเรือจาก กรุงอนุราธปุระ ไปยัง กรุงสุวรรณปุระ