ประวัติศาสตร์  ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>

5 ผู้ยิ่งใหญ่

ไมเคลอันเจโล

จิตรกร สถาปนิก กวี ประติมากรผู้ยิ่งใหญ่ และโดดเดี่ยว

         ไมเคลอันเจโล นั่งอยู่บนส่วนสูงที่สุดของนั่งร้านไม้ ศีรษะและไหล่แหงนคอตั้งบ่า คอปวดตุบๆ หน้าเปรอะเปื้อนสีที่ไหลเลอะเข้าตาจนแสบ เขาทำงานทุกวันแต่เช้ายันค่ำ วาดภาพด้วยสีน้ำบนเพดานโบสถ์ซีสทีน ณ นครวาติกัน กรุงโรม
         บางครั้งเขาทำงานยาว 30 วันรวดแล้วค่อยพัก เขารู้สึกปวดล้า วิงเวียนศีรษะ และหวั่นๆ ว่าตาจะบอดได้ ใน ค.ศ.1510 เมื่อเขาทำงานได้มาครึ่งทาง เขาก็เขียนกลอนชิ้นหนึ่งมีใจความว่า   " ตัวข้าฯ อยู่ผิดที่เสียแล้ว และข้าฯ ก็ไม่ใช่นักวาดภาพ ? "
         โดยส่วนลึกแล้ว ไมเคลอันเจโล บัวนาร์โรติ เชื่อว่าตนเองเป็นช่างแกะสลักหินอ่อน ที่ฝีมือจัดได้ว่าชั้นหนึ่ง แต่คงไม่ค่อยมีฝีมือวาดภาพนัก เขาเกิดเมื่อปี ค.ศ.1475 เป็นลูกชายของนายกเทศมนตรี เมืองคาปรีส ทางตะวันออกเฉียงใต้ของฟลอเรนซ์ เขาอายุเพียง 33 ปี เมื่อสันตะปาปาจูเลียสที่ 2 ทรงเรียกตัวเข้าไปยังโรม และว่าจ้างให้วาดภาพ บนเพดานโบสถ์ซิสทีนเสียใหม่
         โบสถ์เพื่อประกอบพิธีศาสนาแห่งนี้ สร้างขึ้นระหว่าง ค.ศ.1473 - 1481 และได้รับการขนานนามตามชื่อผู้สร้าง คือ สันตะปาปาซิกซ์ตุสที่ 4 ซึ่งเป็นลุงของสันตะปาปาจูเลียส ตามผนังมีภาพวาดชั้นเยี่ยม ของเหล่าศิลปินเอก เช่น บอตติเชลลี และเปรูจิโน แขวนอยู่ แต่ทว่าบนเพดานกลับมี เพียงภาพฟ้าประดับดาว ที่วาดโดยเปียร์มัตเตโอ ดามาเลีย ซึ่งดูธรรมชาติเมื่อเทียบกับภาพบนผนัง
         ตอนแรก สันตะปาปาจูเลียส ทรงประสงค์ให้ไมเคลอันเจโล ตกแต่งเพดานด้วยภาพสาวกทั้ง 12 ของพระเยซู แต่เขาเห็นว่าเป็นภาพที่  " ด้อยเกิน "   จึงตัดสินใจปิดทับภาพเดิม โดยวาดภาพตำนานการสร้างโลกขึ้น จากจินตนาการของเขาเอง
        ในการวาดภาพบนเพดานสูงลิบนั้น ไมเคลอันเจโลอาศัยนั่งร้านไม้ ที่เขาออกแบบเอง นั่งร้านนี้สามารถเคลื่อนย้ายได้ ใช้ยืนวาดได้ และมีที่ให้เดินไปรอบๆ ได้ แม้กระนั้น เขาก็ยังรู้สึกว่าต้องตรากตรำ ทำงานบนนั่งร้านนี้ตลอดเวลา 4 ปีครึ่ง และยิ่งตอนเก็บงาน ในส่วนที่เป็นรายละเอียด เขาต้องพาดบันไดจากชั้นบนสุด ของนั่งร้านนี้ ไปทำงานโดยที่หน้า เกือบจะชนเพดานอยู่แล้ว

        ไมเคลอันเจโลเริ่มงานในฤดูร้อนปี ค.ศ.1508 โดยมีผู้ช่วย 6 คน คอยผสมสี บดปูนปาสเตอร์ และช่วยเขียนภาพเป็นบางครั้ง เขาวางแผนไว้ว่า ตลอดหลังคาโค้งตั้งแต่หน้าต่างขึ้นไป จะวาดเป็นภาพสีปูนเปียก (fresco เป็นคำจากภาษาอิตาเลียน แปลว่า แบบสดๆ) ซึ่งหมายถึง การวาดภาพให้เสร็จอย่างรวดเร็ว ขณะที่ปูนปาสเตอร์ยังหมาดอยู่ ซึ่งหากผิดพลาดก็ต้องกระเทาะปาสเตอร์ออก แล้ววาดใหม่ แต่ในงานนี้ ไมเคลอันเจโล เคยทำพลาดเพียงครั้งเดียวเท่านั้น
        ก่อนอื่น เขาต้องร่างแบบบนแผ่นกระดาษ แล้วปุตามลายเส้นนั้นด้วยเข็มมุด ขั้นต่อไปก็ทาบกระดาษเข้ากับเพดาน และโรยผงถ่านผ่านรอยปุ แล้วจึงลงมือวาดตามรอยร่าง แต่บางครั้งก็วาดสดๆ ลงไปเลยหากรู้สึกมั่นใจ
         ในภาพวาดมีฉากทั้ง 9 เรียงรายอยู่เหนือศีรษะ ตั้งแต่ฉาก " จากความมืดสู่ความสว่าง " (หมายถึง การสร้างโลก) ซึ่งอยู่เหนือแท่นบูชา จนถึงฉาก " การเมามายของโนอาห์ " (แสดงว่ามนุษย์อยู่ห่างไกล จากพระเจ้ามากที่สุด) ซึ่งอยู่เหนือทางเข้าภาพหลักทั้ง 9 นี้ยังแวดล้อมและแทรกไว้ด้วย ภาพน้อยใหญ่ของบรรดาศาสดาพยากรณ์ชาย หญิง บรรพบุรุษของพระเยซู ภาพชายเปลือยที่แสดงถึงความสมบรูณ์แบบ ของสรีระมนุษย์ ตลอดจนภาพแสดงการไถ่บาปให้แก่มนุษยชาติ
         ไมเคลอันเจโล วาดภาพบุคคลจากพระคัมภีร์ไบเบิลทั้งเก่า และใหม่ทั้งสิ้นประมาณ 300 ราย แต่ละรายมีลักษณะ สีหน้า และท่าทางเฉพาะตัว รวมพื้นที่ซึ่งใช้วาดกว่า 1,022 ตร.ม.
         ขณะงานค่อยๆ คืบหน้า มิเคลอันเจโลกลับปลดผู้ช่วยของเขาออกเกือบหมด เขาให้เหตุผลว่า คนพวกนี้ไม่มี   "ใจ "  ในการทำงาน มิเคลอันเจโลหนุ่มฉกรรจ์ ผู้มีไหล่กว้าง และสูงปานกลาง ยังคงมุ่งมั่นทำงานต่อไป โดยไม่ระย่อต่อสายลมหนาว อันทารุณที่พัดกรูเข้ามาในโบสถ์ ระหว่างฤดูหนาว อีกทั้งฝนที่ยังรั่วซึมเพดาน ทำให้ภาพวาดบางส่วนขึ้นรา
         ไมเคลอันเจโลกินแต่ขนมปังเปล่าเป็นอาหาร ส่วนใหญ่ระหว่างทำงาน ยามนอนก็อาศัยหลับเป็นพักๆ ในห้องทำงานคับแคบซึ่งอยู่ใกล้กันนั้น ในสภาพยังสวมชุดทำงาน และรองเท้าบู๊ต เขาต้องทนทุกข์ทั้งกายทั้งใจ ในเดือนมกราคม ค.ศ.1509 ไมเคลอันเจโลเขียนจดหมายถึงพ่อว่า ข้าคงไม่กล้าขออะไรจากองค์สันตะปาปา เพราะผลงานของข้า ดูท่าจะไม่คืบหน้าสักเท่าใด มันเป็นงานที่ยากมาก และอีกอย่างก็ไม่ใช่งานที่ข้าชำนาญเสียด้วย ผลที่ตามมาคือ ข้าเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์ ขอให้พระเจ้าช่วยข้าด้วยเถิด         สันตะปาปาก็ทรงหวั่นวิตก ไม่แพ้ไมเคลอันเจโล ท่านมาเยี่ยมดูโบสถ์เป็นระยะๆ ปีนป่ายบันไดพาดขึ้น ไปจนถึงนั่งร้านชั้นบนสุด เพื่อตรวจสอบภาพวาด ซึ่งมักทำให้ทั้งสอง มีเรื่องถกเถียงกันอย่างเผ็ดร้อน เป็นต้นว่าระหว่างฤดูร้อนในปี ค.ศ.1510 เมื่องานเสร็จไปแล้วครึ่งหนึ่ง สันตะปาปาจูเลียสทรงประสงค์จะรู้ว่า ส่วนที่เหลือจะเสร็จเมื่อใด คำตอบจากไมเคลอันเจโลคือ  " เมื่อเป็นที่พอใจของข้าพระองค์ในฐานะศิลปิน "  สันตะปาปาขมวดคิ้วนิ่วหน้า และพูดด้วยเสียงเฝื่อนๆ ว่า  " เราต้องการให้เจ้าทำให้เราพอใจ และเสร็จโดยเร็วด้วย? "
        อีกคราวหนึ่ง สันตะปาปาพระชนม์ 60 ทรงขู่ว่าจะให้จับตัวท่านศิลปิน โยนลงมาจากนั่งร้าน ถ้าไม่ทำงานให้เร็วขึ้น " เมื่อไรจะเสร็จเสียที่ล่ะ? "   สันตะปาปาจูเลียสทรงบ่น " ก็เมื่อมันเสร็จน่ะซี "   ไมเคลอันเจโลทูลตอบสั้นๆ สันตะปาปาพระพักต์แดงด้วยความขัดเคืองพระทัย และเลียนคำพูดว่า " ก็เมื่อมันเสร็จน่ะซี? ก็เมื่อมันเสร็จน่ะซี "   แล้วท่านยกไม้เท้าตีที่บ่า ของไมเคลอันเจโลด้วยความพิโรธ
         สุดท้ายทั้งสองก็ยอมสงบศึก และไมเคลอันเจโลกลับมาทำงานต่อ จนถึงฤดูใบไม้ร่วง แล้วเงินก็ขาดมืออีก จนถึงเดือนกุมภาพันธ์ปี ค.ศ.1511 ไมเคลอันเจโลจึงมีเงินทำงานต่อ ถึงตอนนี้ ผู้คนที่ทำงานในวาติกัน ต่างคุ้นเคยกับการปรากฏตัวแบบประหลาดๆ ของไมเคลอันเจโล ขณะเดินเข้าออกโบสถ์ ผมเผ้าและหนวดเคราเปื้อนสีเป็นทาง เสื้อผ้าขาดกะรุ่งกะริ่ง และเปื้อนปาสเตอร์แห้งกรัง ต้องเดินก้มหน้าด้วยตาสู้แสงข้างนอกไม่ได้ หลายคนคิดว่าเขาเป็น " คนบ้า "   และโห่ไล่เมื่อเขาเดินผ่านไปตามถนน
         ไมเคลอันเจโล คงตั้งหน้าตั้งตาทำงานต่อไปโดยลำพัง จนงานชิ้นมโหฬารนี้ เสร็จสมบรูณ์ในที่สุดในฤดูใบไม้ร่วง ค.ศ.1512 เกือบ 4 ปีครึ่งหลัง จากที่เขาลงนามทำสัญญา กับสันตะปาปา นั่งร้านและผ้าคลุมถูกรื้อออกไป สันตะปาปาจูเลียสและข้าราชสำนัก ได้ชมภาพวาดบนเพดานในคืนวันนักบุญ (วันที่ 31 ตุลาคม) วันถัดมามีพิธีฉลองการเปิดโบสถ์ แด่องค์สันตะปาปา ไมเคลอันเจโลไม่ได้เข้าร่วมพิธี เขาร้อนใจใคร่กลับไปทำงานปั้นของเขา และเขียนเล่าให้พ่อฟังว่า " ข้าเสร็จงานภาพวาดที่โบสถ์แล้ว.....สันตะปาปาทรงพอพระทัย

กาลิเลโอ
อาร์คิเมดีส
หลุยส์ ปาสเตอร์
ไมเคลอันเจโล
ไอน์สไตน์

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย