ข้อเขียน นิยาย สารคดี บทกวี เรื่องสั้น >>
พาตัวตนออกจากสถานที่อันจองจำ ที่ไหนสักแห่งบนโลกนี้ ไปประกาศอิสรภาพด้วยกัน
สะพายเป้ แบกกล้อง
ท่องโลก
โดย : จอมยุทธ แห่งบ้านจอมยุทธ
สะพายเป้ แบกกล้อง ท่องลาว
ก่อนตะวันลับฟ้าที่เวียงจันทน์
อ่านหน้า » | หน้าแรก | 1 | 2 | 3
....ก็แค่เดินดุ่มๆไป นอบน้อมที่จะเป็นผู้รับ ด้วยความรู้สึกดีๆ ในแง่ที่ว่าไทยกับลาวน่าจะเป็นบ้านพี่เมืองน้องกันโดยสายเลือด ที่พลัดพรากจากไกล บรรพบุรุษของเราอาจแค่เคยมีเรื่องบาดหมางไม่เข้าใจกัน ทั้งหลายทั้งปวงอาจเพียงเพื่อค้นหาแรงบรรดาลใจบางอย่าง อะไรสักอย่าง หรือบางสิ่งบางอย่างที่ไม่เคยรู้จัก ไม่เคยพบไม่เคยเห็น ไม่เคยเข้าใจ อันจะนำมาซึ่งการเรียนรู้ที่จะมีชีวิตในแบบฉบับของเรา และมองย้อนไปในอดีตด้วยเงื่อนไขที่ว่า เราเคยมีชีวิตอยู่แบบนั้น วิถีชีวิตที่เราโหยหา เพื่อที่จะได้ไม่ต้องคร่ำครวญถึงมันอีก ชั่วนิรันดร์ โดยไร้ซึ่งความหวัง และรอแค่ตายไป...
ศึกษาข้อมูลมาอย่างดิบดี เรียนภาษาลาวมาบ้างเล็กน้อยจากเว็บที่สอนภาษาลาว ชมลาวสตาร์ชาแนล มาแล้ว 1 ปีกว่า สนใจอยากรู้อยากเห็นอยากสัมผัสวัฒนธรรมลาวแบบใกล้ชิดมาเป็นเวลานาน เหมือนจะตั้งแต่ชาติที่แล้ว
ออกจากกรุงเทพฯ 09.15 น. โดยรถปรับอากาศชาญทัวร์ กรุงเทพฯ-อุดรฯ (ต้องทำธุระที่อุดรฯ ก่อนเล็กน้อย) ไม่ได้จองล่วงหน้าเพราะเห็นว่าไม่ใช่วันหยุด เบาะเอนนอน-นั่งสบายมากเลย แถมมีปุ่มนวดไฟฟ้าด้วยอีก (ดูเหมือนจะสบายกว่าเบาะเครื่องบินโดยสารชั้นประหยัดเสียอีก)
10 ม.ค. 2551
หลับๆตื่นๆ ถึงท่ารถอุดรฯ 06.30 น. เข้าห้องน้ำ ฝากกระเป๋าไว้ที่ที่รับฝากสัมภาระ แผนที่วางไว้คือเสร็จธุระแล้วมารับกระเป๋า จากนั้นต่อรถเข้าหนองคาย และอาจจะค้างสักคืนเช้าค่อยข้ามแดนไปเวียงจันทน์ อาจจะทางสะพานมิตรภาพฯ ไม่ก็ข้ามแม่น้ำโขงโดยเรือข้ามฟาก บังเอิญเหลือบเห็นป้ายอุดรฯ-เวียงจันทน์ แถวๆหน้าห้องขายตั๋ว พร้อมรายละเอียดตารางการเดินทาง เที่ยวแรก 08.00 น. เรื่อยไปทุก 2 ชั่วโมง เที่ยวสุดท้าย 16.00 น. ถ้ามีหนังสือเดินทางก็สามารถซื้อตั๋วข้ามไปเวียงจันทน์ได้เลยในราคา 80 บาท ก็เลยฝากไว้ก่อน ไม่ต้องไปถึงหนองคาย เปลี่ยนแผน...
เสร็จธุระกลับถึงท่ารถอุดรฯอีกทีก็เกือบบ่ายสองโมง รับกระเป๋าที่ฝากไว้แล้วรีบไปซื้อตั๋ว ยืนยันกับพนักงานขายตั๋วเรื่องหนังสือเดินทางอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ จากนั้นก็รีบซื้อตั๋วขึ้นรถซึ่งกำลังจะออกพอดี โดยพนักงานฯบอกว่าเหลืออยู่ที่เดียวพอดี อะไรจะโชคดีปานนั้น.... เป็นรถบัสยี่ห้อฮุนไดสภาพก็ไม่ต่างไปจากรถ บ.ข.ส. ทั่วไปแต่ติดแอร์ ซึ่งไม่ค่อยจะเย็นสักเท่าไร เพราะแออัดไปด้วยคนและข้าวของระเกะระกะ มีที่นั่งทางท้ายสุดว่างอยู่ที่หนึ่งเหมือนจะเป็นของผม เดินก้าวข้ามเครื่องกีดขวางยาวไป แล้วทรุดตัวแทรกลงนั่งเบียดๆกัน พอรถทำท่าจะเคลื่อนออกก็มีคนกระโดดขึ้นมากอีก 2-3 คนกับพระองค์หนึ่งเดินฝ่าเข้ามาจนถึงเบาะหลังท้ายรถ ไม่เห็นมีใครลุกให้แกนั่ง ผมจึงได้รับเกียรตินั้น ไม่รู้เก้าอี้เสริมพลาสติกโผล่มาจากไหน ผมกับพวกที่เหลือจึงได้นั่งแทรกๆอยู่ตรงกลางทางเดินระหว่างเบาะนั่นแหละ นั่งกันตัวลีบเท้าก็ยันพื้นกันสุดฤทธิ์ รู้สึกเหมือนหลงๆ ฝูงยังไงพิกลๆ ดูไม่ออกเลยว่าไหนคนไทยไหนคนลาว ไม่อยากเชื่อเลยว่าผมจะกล้าดีถึงเพียงนี้ หัวเดียวกระเทียมลีบแท้ ภาษาอีสานยังไม่ค่อยสันทัด คิดจะเที่ยวลาวคนเดียว ชักเริ่มฝ่อๆเหมือนกัน ก็เอาลองดู ย้อมใจตัวเอง เห็นท่าไม่ดีก็ข้ามฝั่งนั่งรถกลับบ้านเรา ติดตามข่าวการเมืองน้ำเน่า ก็แค่นั้น... และนี่เป็นครั้งแรกที่ทำอะไรพิเรนๆอย่างนี้(และอาจจะตามมาอีกเป็นระลอกๆ)
นั่งประคับประคองตัวเองไปตลอดทาง ซ้ายขวาหน้าหลังต้องระวังหมด จะแถไปทางโน้นทีทางนี้ที ซ้ายก็ผู้หญิงขวาก็ผู้หญิง เท่าที่ได้สดับฟังเสียงคุยกันอื้ออึงด้วยระบบรอบทิศทาง และถ้าหากจะวัดกันด้วยภาษานั้นก็หมายถึงว่าคนลาวทั้งคันรถ สักชั่วโมงหนึ่งก็ถึงด่านตรวจฯฝั่งไทยก่อนขึ้นสะพานมิตรภาพไทย-ลาว เห็นเขาเฮละโลกันลงจากรถก็ลงไปกับเขา เขาเข้าแถวก็เข้าแถวไปกับเขา มีเจ้าหน้าที่ยื่นเอกสารมาให้กรอกก็กรอกไป พวกชื่อ นามสกุล เพศ วันเดือนปีเกิด สัญชาติ ศาสนา อะไรพื้นๆทำนองนั้น ยื่นพร้อมหนังสือเดินทาง 2 ใบ คืนกลับมาให้ใบหนึ่ง(ใช้ตอนขากลับ) ส่วนรถโดยสารคันที่นั่งมานั้นข้ามแดนไปจอดรออยู่ข้างหน้าเรียบร้อยแล้ว
ไม่ได้ยุ่งยากอะไร สักพักก็เสร็จพิธีการ ผู้โดยสารก็เริ่มทยอยกันกลับไปขึ้นรถคันเดิม จากนั้นรถก็แล่นข้ามสะพานมิตรภาพไทย-ลาว ถ้าบังเอิญช่วงนั้นใครบังอาจตดออกมาแล้วละก็รับรองได้เลยว่า จะไม่ทันหายเหม็น ก็มาถึงด่านตรวจคนเข้าเมืองฝั่งลาว ก็เฮละโลกันลงไปอีกรอบ ผมก็เงอะๆงะๆไปตามระเบียบ กรอกเอกสารข้อมูลสากลเดิมๆ ยื่นพร้อมหนังสือเดินทางเหมือนเดิม เที่ยวนี้มีตราประทับมาให้ด้วย อยู่ได้ถึง 10 feb 2008 (1 เดือน) เรียบร้อยเป็นอันเสร็จพิธีการผ่านแดน กลับไปขึ้นรถกัน ปรากฎว่าคนขับเปิดเพลงลาวรอต้อนรับสู่ประเทศลาวอยู่ก่อนแล้ว และมีหลายคนไม่ได้กลับมาขึ้นรถ สังเกตว่ามีเบาะว่างอยู่หลายที่และไม่แออัดเหมือนเดิม
คราวนี้ผมได้นั่งคู่มากับหลวงพี่ที่ผมสละที่นั่งให้ ท่านก็ถามว่ามาจากไหน จะไปไหน อะไรประมาณนั้น แล้วก็ชวนผมไปพักด้วยกันคืนนี้ คงที่วัดไหนสักแห่งหนึ่งที่ท่านจะไป เหมือนท่านจะเคยมา เข้าทางผมละสิ ตอบตกลงฝากเนื้อฝากตัวโดยไม่ต้องคิด แต่ก็ยังไว้มารยาทนิดหนึ่งว่า ไม่เป็นการรบกวนนะครับ จากนั้นก็แนะนำตัว ผมชื่อเกรียงไกร ครับ.... หลวงพี่ท่านมาจากอุดรฯ เห็นว่ามาหลายครั้งแล้ว เที่ยวนี้ทำหนังสือผ่านแดนเข้ามาได้อีก 3 วัน ท่าทางท่านใจดีเมตตาๆ ยังไงพิกลๆ
ผ่านโรงงานเบียร์ลาว ผ่านชุมชนระหว่างสองข้างทางเข้าเมือง สัก15-20 นาที ก็ถึงท่าเวียงจันทน์ คนไม่ค่อยพลุกพล่านเท่าไร ผมกับหลวงพี่ลงจากรถก็มาเจอคนขับรถสามล้อรับจ้างเรียกผู้โดยสารแบบตื้อหน่อยเกาะติดนิด ชวนคุยไปเรื่อย แต่ท่าทางเป็นมิตรดีทีเดียว หลวงพี่แกเสนอว่าพวกเราไปไหว้พระธาตุหลวงกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน เอ๊ะ...ชักยังไงหลวงพี่ เริ่มรู้สึกอะไรสักอย่างไม่ค่อยดีกับความแปลกที่ต่างถิ่นขึ้นมาก็ตอนนั้นแหละ
ลาวเหนือ
» ก่อนตะวันลับฟ้าที่เวียงจันทน์
» เวียงจันทน์...ฉันไม่ได้มาเพื่อปวดแปลบ
» สะบายดี...หลวงพระบาง
» ณ ริมฝั่งแม่น้ำคาน
» หลวงพระบางในสายหมอก
» หลวงพระบาง มรดกลาว มรดกโลก
ลาวใต้
» ปากซัน...บอลิคำไซ
» ท่าแขก เมืองลาว
» สะหวันนะเขต
» พระธาตุอิงฮัง (สะหวันนะเขต )
» ปากเซ-สาละวัน