สุขภาพ ความงาม อาหารและยา สมุนไพร สาระน่ารู้ >>
มะเร็งโรคร้าย จากมุมมองของคนที่ไม่ใช่หมอ
ระพี สาคริก
ก่อนอื่น เมื่อพูดถึงมะเร็ง หากสามารถแยกแยะเหตุและผลออกจากกันได้อย่างชัดเจน ควรจะหยั่งรู้ความจริงว่า คนส่วนใหญ่ไม่ได้กลัวมะเร็ง แต่กลัวตายเพราะโรคนี้มากกว่า ถ้าเป็นแล้วไม่ตายเพราะรักษาหาย คงไม่มีใครกลัวจนเกิดความทุกข์หนักอย่างแน่นอน ทั้งนี้ เนื่องจากการเจ็บไข้ได้ป่วยมันเป็นของธรรมดาของมนุษย์ทุกคน
อนึ่ง การที่ฉันนำเอาเรื่องจากมุมมองของคนที่ไม่ใช่หมอมาพิจารณา มันก็อยู่บนพื้นฐานเดียวกันกับการปฏิบัติเรื่องกล้วยไม้ที่พอจะสรุปได้ว่า เพราะฉันไม่ได้ศึกษาหาความรู้เรื่องกล้วยไม้จากสถาบันที่เป็นโรงเรียนและมหาวิทยาลัย แถมยังนำปฏิบัติแล้วทำให้คนในสังคมส่วนใหญ่ต่อต้าน เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องของเศรษฐีมีเงินกลุ่มเล็กๆ ที่นำเอากล้วยไม้มาเล่นแล้วหวงความรู้
จึงทำให้ฉันต้องสู้และนำความรู้ที่ได้รับมา ใช้ปูพื้นฐาน ซึ่งมีทุนเดิมเกี่ยวกับธรรมชาติภายในจิตใจตนเองอยู่แล้ว จึงทำให้วงการกล้วยไม้ของไทยก้าวหน้าไปได้พอสมควรโดยไม่ยึดติดอยู่กับกรอบแคบๆ
เช่นเดียวกัน เมื่อพูดถึงมะเร็งโรคร้าย ถ้าฉันจะบอกว่า มะเร็งไม่ใช่โรคร้าย แต่โรคร้ายมันคือความกลัวตาย ฉันเองเมื่อไม่กี่ปีมานี้หมอเขาตรวจว่าเป็นมะเร็ง แต่มันหายภายในไม่ถึงสองปี ฉันพูดกับหมอว่า คนไม่กลัวตายยมบาลก็ไม่อยากได้ เพราะฉันใช้ความสุขในการทำงานเป็นพื้นฐานการรักษาโดยไม่ต้องรักษา นอกจากนั้นยังมีคนที่ศรัทธาฉันคือ คุณศักดิ์ชัย กาย ได้พิจารณาเห็นว่าฉันเป็นคนมีคุณค่าแก่สังคม จึงได้ออกค่าใช้จ่ายในการรักษา รวมทั้งหยูกยาให้แทบจะหมด รวมทั้งหมอที่รักษาก็เต็มใจที่จะทำให้ จึงเป็นอีกส่วนหนึ่งที่เข้าไปมีบทบาทแก้ปัญหาเรื่องนี้
สิ่งดังกล่าวมันมีทั้งสองด้าน
ด้านหนึ่งก็คือรากฐานจิตใจตนเองที่เข้มแข็งทำให้ไม่รู้สึกเป็นทุกข์เป็นร้อน
ส่วนอีกด้านหนึ่งนั้นเป็นเพราะฉันทุ่มเทชีวิตทำงานให้กับสังคมมาอย่างมั่นคงในระยะยาว
ดังนั้น ปัญหาเรื่องการไม่มีเงินจึงไม่ใช่ปัญหาหลัก
เพราะคนเราถ้าไม่ลืมตัวก็คงรู้ได้ว่า
ศรัทธาบารมีนั้นมันยิ่งใหญ่เหนือการมีอำนาจและมีเงิน
แต่ถ้าคิดจะทำงานโดยมีเจตนาสร้างบุญบารมีมันก็สร้างไม่ได้
ถ้าเราทำงานโดยไม่หวังแม้กระทั่งชื่อเสียง
หากทำอย่างมีความสุขและมีความมั่นคงอยู่ได้
ศรัทธาบารมีย่อมเกิดขึ้นได้เองอย่างเป็นธรรมชาติ
ถ้าเรายึดติดอยู่กับความเป็นหมอด้านเดียว จนทำให้ลืมไปว่า ธรรมชาติของทุกสิ่งทุกอย่างนั้นควรจะมีสองด้าน และมีความสมดุลย์ร่วมกัน มุมมองของคนที่ไม่ใช่หมอจึงมีความจำเป็นร่วมด้วย เช่นเดียวกันกับการที่ฉันจับงานพัฒนาวงการกล้วยไม้ของไทย ตัวเองไม่เคยคิดว่าเป็นคนมีความรู้ความสามารถเรื่องกล้วยไม้เหนือคนอื่น เช่นเดียวกันในเรื่องนี้ถ้าจะพูดถึงมุมมองของคนที่ไม่ใช่หมอแล้ว เราทุกคนที่อาจยืนอยู่บนพื้นฐานของหมอ แต่ถ้าทำจิตใจไม่ให้เป็นหมอแต่เป็นชาวบ้านธรรมดาๆ ก็อาจมีสภาพที่ไม่ใช่หมอได้เช่นกัน
คนที่มีจิตใจอยู่ในสภาพไม่เป็นอะไรทั้งนั้นนอกจากเป็นคนเดินดินธรรมดาแล้ว ย่อมมีสติปัญญาที่สามารถเจาะลึกผ่านรูปวัตถุทุกรูปแบบลงไปถึงความจริงในแต่ละเรื่องได้ไม่ยาก
เรื่องนี้ ทำให้ฉันนึกถึงคำพูดแม้แต่ข้อเขียนที่คนทั่วไปนิยมกล่าวกันว่า ความจนความรวย ซึ่งฉันมักนำมากล่าวบ่อยๆ ว่า ความจนความรวยไม่มีในโลกแห่งความจริง
เพราะเหตุใด สมมติว่าฉันมีเงินอยู่ ๑๐ บาท แล้วใครจะมาพูดว่าฉันจน ฉันคงบอกตัวเองว่าฉันไม่จน เพราะเงินสิบบาทนั้นตนหามาได้ด้วยน้ำพักน้ำแรง โดยไม่ได้เบียดเบียนผู้อื่น ทำให้เข้าใจถึงสัจธรรมได้ว่า ความจนความรวยมันไม่มีตัวตน แต่ฉันเป็นคนที่มีนิสัยที่อดทนมากเป็นพิเศษ บางครั้งไม่มีเงินติดกระเป๋าคงมีแต่เศษสตางค์นิดๆ หน่อยๆ แต่ฉันก็ไม่รู้สึกหิวโหยอะไร คงทำงานโดยให้ใจกับผู้อื่นมาตลอด
ถ้าใครว่าฉันจน บุคคลคนนี้ไม่เคยสะทกสะท้าน สิ่งที่ฉันรับสารภาพว่าจนมันมีอยู่อย่างเดียวเท่านั้นคือ จนปัญญา แต่ฉันก็ไม่ยอมที่จะจนในมุมนี้อย่างเด็ดขาด โดยที่รู้ว่าการจนปัญญานั้นมันไม่มีตัวตน ถ้าเรามีสติสัมปชัญญะที่หยั่งลงสู่พื้นดินอย่างลึกซึ้ง การหาทางออกเพราะพบทางตันในการคิดค้นมันก็สามารถผ่านพ้นไปได้ทุกเรื่อง
นอกจากนั้นการจนด้วยทรัพย์สินเงินทองนั้นมันไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่เป็นเพราะความรู้เท่าทันจึงได้ทำให้การที่ฉันตกอยู่ในสภาพดังกล่าวแล้วมีความสุข
สรุปแล้ว ฉันขอกล่าวฝากเอาไว้กับเธอทุกคนว่า เมื่อฉันมีเงินน้อยหรือแม้ไม่มีเลย แต่ฉันกลับมีความสุขและมีความภูมิใจในการที่รากฐานจิตใจตนเองสูงขึ้น เพราะร่างกายยืนอยู่ในมุมต่ำ หรืออย่างที่พูดกันว่า จงอยู่อย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ย่อมทำให้มีผู้คนนับถือ แทนที่จะเบ่งตัวเองให้มันยิ่งใหญ่เช่นในนิทานอิสป ซึ่งมีเรื่องราวของแม่อึ่งอ่างกับลูกน้อย
เมื่อพูดถึงมะเร็ง ถ้าฉันจะอธิบายอย่างง่ายๆ ว่า ส่วนต่างๆ ของร่างกายคนเราซึ่งประกอบด้วย ด้านหนึ่งคือ เซลล์ของเนื้อหนังมังสา อีกด้านหนึ่งคือ เซลล์สืบพันธุ์
สำหรับเซลล์ของเนื้อหนังมังสานั้น เหตุใดที่ใบหน้าของคนเราจึงมีนัยน์ตา มีจมูก และมีปาก ทำไมไม่เจริญออกมาเป็นนิ้วมือ สิ่งนี้แหละมันเกิดจากสารจำพวกหนึ่งที่ไร้ท่อส่งสาร แต่สามารถส่งสารควบคุมรูปร่างของอวัยวะต่างๆ ได้ โดยผ่านความรู้สึกทางจิตใจอย่างจำเพาะเจาะจง อีกทั้งสามารถกำหนดหน้าที่ของอวัยวะแต่ละส่วนให้สามารถทำหน้าที่อย่างสอดคล้องกันกับส่วนต่างๆ ที่สนองความต้องการของชีวิต
สารไร้ท่อหรืออีกนัยหนึ่งเรียกกันว่า ฮอร์โมน นั้น เมื่อได้รับผลกระทบจากเงื่อนไขที่อยู่ในจิตใจของแต่ละคน มันก็สามารถทำให้สารดังกล่าวเปลี่ยนแปลงไปจากหน้าที่ซึ่งควรจะเป็น
เพราะฉะนั้นการที่เกิดมะเร็งหรือที่เรียกว่าเกิดเนื้อร้ายขึ้นในที่ต่างๆ
นั้นน่าจะเป็นเพราะเหตุว่า
มนุษย์ผู้เป็นเจ้าของชีวิตน่าจะได้รับผลกระทบจากการกระทำของตัวเอง
จนกระทั่งเกิดความทุกข์หนัก
อาทิเช่น คิดร้ายต่อผู้อื่นแล้วซ่อนสิ่งนั้นเอาไว้ในจิตใจ
ซึ่งมีผลทำให้บุคคลผู้นั้นเป็นทุกข์หนัก
ความทุกข์ที่เกิดจากการกระทำซึ่งมีเหตุอยู่ในจิตใจของแต่ละคนนั้น เราเรียกกันว่า กรรมชั่ว ส่วนกรรมที่มันปฏิบัติแล้วทำให้คนมีความสุข เราเรียกว่า กรรมดี หรืออาจกล่าวว่าผลจากการปฏิบัติในกรรมดีนั้นทำให้ผู้ปฏิบัติอาจบังเกิดบุญก็ได้
สิ่งที่ได้กล่าวมาแล้วทั้งหมด มันอาจเป็นความรู้ที่ได้รับจากธรรมชาติก็เป็นได้ ตัวฉันเองมีความสนใจที่จะค้นหาความจริงจากทุกเรื่องที่เข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตตัวเอง แล้วใช้คำอธิบายจากเหตุผลที่ไม่ยากเกินกว่าคนธรรมดาจะเข้าใจได้
ทุกวันนี้สิ่งที่ปรากฏอยู่ในสังคมทั่วไปนั้น มันสะท้อนออกมาในด้านที่เป็นรูปวัตถุ ซึ่งให้ความสะดวกสบายแก่ชีวิตคนทั่วไป แต่ทำให้ขาดสมดุลขึ้นในระบบธรรมชาติของจิตใจตัวเอง ดังนั้นจึงมีผลทำให้หลายคนตกอยู่ในสภาพเสพติด เพราะรากฐานจิตใจตนเองขาดความเข้มแข็งที่จะลุกขึ้นมายืนหยัดอยู่ได้อย่างสง่างาม โดยไม่ต้องไปพึ่งสิ่งเหล่านั้น
หลายคนมีความคิดว่า การศึกษาธรรมะนั้นเราจะเอาอิทธิพลวัตถุเข้าไปเกี่ยวข้องไม่ได้ แต่ฉันกลับคิดในทางตรงกันข้ามว่า การเปลี่ยนแปลงทางวัตถุมันเป็นธรรมชาติของโลก ซึ่งใครก็ไปหยุดมันไม่ได้ แต่ใจเราสามารถหยุดตัวเองได้ ถ้าหยุดได้มากเท่าไหร่ มันก็มีความเข้มแข้งที่จะยืนหยัดขึ้นมาท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของวัตถุได้อย่างสง่างาม ซึ่งสิ่งนี้เองที่เราเรียกกันว่า บุคลิกภาพ ซึ่งมีธรรมชาติเป็นพื้นฐาน ไม่ใช่บุคลิกภาพที่มนุษย์นำเอาไปซุกไว้ภายใต้สิ่งเหล่านี้มันเป็นยาธรรมชาติที่เราจะใช้ป้องกันโรคมะเร็งได้เสมอ
แต่พื้นฐานชีวิตของมนุษย์ภายในภาพรวมมันก็มีความหลากหลาย จากสัจธรรมที่ชี้เอาไว้อย่างชัดเจนแล้วว่า ป้องกันไว้ดีกว่าแก้ บางคนก็สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างปลอดภัย หากมีบางคนแม้การปฏิบัติตนจะมีผลป้องกันอย่างดีที่สุดแล้ว แต่ก็ยังเกิดปัญหาในเรื่องนี้ ซึ่งควรถือว่าพื้นฐานชีวิตมีความแตกต่างในเรื่องบุญและกรรม แต่อย่างน้อยคนที่นำปฏิบัติเพื่อป้องกันตัวเอง แต่ไม่ใช่การป้องกันแล้วเกิดความทุกข์ ถ้าเกิดโรคมะเร็งแล้วอย่างน้อยก็มีความเข้าใจในสัจธรรมของชีวิต จึงไม่เกิดความทุกข์จากการกลัวตาย
ถ้าผู้เขียนจะถามว่า ในพุทธประวัติที่เขียนภาพไว้ตามผนังโบสถ์เก่าๆ ที่แสดงให้เห็นว่า พระพุทธองค์ทรงประสูติออกมาจากครรภ์พระมารดาแล้วทรงพระดำเนินได้เลย ใครเชื่อหรือไม่? หลายคนคงไม่เชื่อ แต่ฉันเชื่อ
ตัวฉันเองไม่ว่าเชื่อหรือไม่เชื่ออะไรย่อมอธิบายเหตุผลได้เสมอ การที่ฉันเชื่อเรื่องนี้ก็มีเหตุผลอยู่ที่ว่า พระพุทธองค์เป็นชีวิตหนึ่งของความหลากหลาย การที่ทรงพระดำเนินได้เลยนั้น ถ้าเรานึกถึงคำพูดซึ่งได้ยินมาในอดีตว่า ร่างกายเป็นเพียงบ้านที่อยู่อาศัยของจิตใจ ซึ่งถือความจริงเป็นที่ตั้ง
ดังนั้นการที่ประสูติออกมาแล้วเดินได้เลยนั้น ควรจะหมายถึงจิตใจที่รู้จักผิดชอบชั่วดีมาในอดีต หาได้หมายความถึงร่างกายไม่ ถ้าฉันจะบอกว่าร่างกายเป็นเพียงสิ่งแวดล้อม มันก็ไม่น่าจะผิด เพราะรสชาติที่ทำให้คนเสพติดได้ง่ายนั้นหมายถึงรูป รส กลิ่น เสียง ซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งกิเลส
ดังนั้น
ถ้ารากฐานจิตใจเราแต่ละคนมีความเข้มแข็งอยู่กับความจริงที่อยู่ในใจตัวเอง
วิถีชีวิตเราก็ควรจะหมายถึงวิถีของการเรียนรู้
เหตุก็อยู่ที่ใจ ผลก็อยู่ที่ผลกระทบ ซึ่งจิตใจเป็นส่วนสำคัญทำให้ร่างกายยึดติด
ดังนั้น การชำระล้างกิเลสของชีวิตจึงอยู่ที่เหตุภายในรากฐานจิตใจที่นำปฏิบัติแล้วได้รับผลสะท้อนกลับมากระทบ ดังนั้น กรรมดีกรรมชั่ว ถ้ามองในด้านดีมันก็เป็นผลดี เนื่องจากกรรมชั่วที่นำปฏิบัติ มันเป็นทางผ่านที่ทำให้เข้าถึงกรรมดีในอนาคตได้อย่างเป็นธรรมชาติ
อนึ่ง แรงดลใจที่ทำให้ฉันเขียนเรื่องนี้ก็เพราะเหตุว่า ในช่วงที่กำลังมาถึงนี้ ศาสตราจารย์ ดร.สมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาภรณ์วลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ได้ทรงจัดให้มีการประชุมสัมมนาระหว่างประเทศเกี่ยวกับโรคมะเร็งที่สถาบันวิจัยจุฬาภรณ์
ประการที่สองเมื่อเช้าวันศุกร์ที่ ๗ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๑ ข่าวขึ้นหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์บางฉบับรวมทั้งภาพถ่ายที่ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยกำลังมีปัญหาหนักในเรื่องมะเร็งโรคร้าย ซึ่งขณะนี้นายสมัครอยู่ในสหรัฐอเมริกา
ประการที่สาม หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ในวันและวันที่เดียวกันหน้า ๔
ได้ตีพิมพ์บทความชื่อ เช็กสภาพจิตและวิบากกรรมของทักษิณ
ซึ่งบทความเรื่องนี้เรียบเรียงโดย นายแพทย์ธีรวุฒิ เถาว์ทิพย์
ทั้งหมดนี้ได้จุดประกายให้ฉันเขียนเรื่องนี้ขึ้น
ความจริงแล้วฉันเขียนเก็บไว้ตั้งแต่วันที่ ๑๕ กันยายน พ.ศ.๒๕๔๘
จึงได้นำเอาบทความดังกล่าวออกมาเรียบเรียงใหม่
จากบุคคลที่ได้เอ่ยชื่อมาแล้วทั้งหมด ฉันไม่เคยคิดที่จะเป็นศัตรูกับใคร เพราะโดยเหตุผลแล้วฉันเคยให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ช่องหนึ่งว่า ทุกคนในโลกเป็นคนดีทั้งนั้น นักข่าวย้อนถามกลับมาว่า เหตุใดท่านอาจารย์ถึงได้พูดเช่นนั้น คำตอบก็คือ ถ้าจิตใจเราดีก็ย่อมเห็นความดีของคน แม้มีมากมีน้อยแตกต่างกัน แต่ทุกระดับก็มีโอกาสที่จะขยายผลไปสู่แนวทางที่สร้างสรรค์ได้ ถ้าเราให้กำลังใจทุกคนในการสร้างคุณงามความดี
๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๑