สุขภาพ ความงาม อาหารและยา สมุนไพร สาระน่ารู้ >>
มะเร็งโรคร้าย จากมุมมองหนึ่ง
ระพี สาคริก
ทุกวันนี้คนส่วนใหญ่กลัวโรคมะเร็งกันอย่างมาก เนื่องจากมีข่าวเกี่ยวกับคนเป็นมะเร็งแล้วตายอย่างกว้างขวาง บ่อยครั้งที่พบความจริงจากญาติพี่น้องของตัวเอง เรื่องเช่นนี้คนกลัวตายย่อมรู้สึกหวั่นไหวเป็นธรรมดา
ผู้เขียนเชื่อในสัจธรรมอย่างหนึ่งว่า แม้โรคมะเร็งจะเกิดขึ้นกับใครแล้วตายเป็นส่วนใหญ่ หากไม่กลัวตายก็มักไม่เป็น ประเด็นนี้ผู้เขียนค้นหาเหตุผลมาแล้วเป็นช่วงๆ เนื่องจากเมื่อมีความเชื่อเกิดขึ้นในสังคม ตนมักไม่ปล่อยให้ผ่านพ้นไปเฉยๆ หากสนใจนำมาค้นคิดหาเหตุผลจนถึงที่สุด ไม่เช่นนั้นก็คงไม่เชื่อใครง่ายๆ นิสัยเช่นนี้คือธรรมชาติของคนซึ่งกล่าวไว้ว่า คนเราเกิดมาเพื่อการเรียนรู้ หากเป็นคนมีนิสัยมักง่าย ย่อมเป็นอันตรายแก่ตนเองมิวันใดก็วันหนึ่ง เช่นที่กล่าวกันว่า เชื่ออย่างงมงาย
ดังนั้นความงมงายหรือไม่งมงายมันก็อยู่ที่ใจเราเอง ความจริงได้ชี้ไว้อย่างชัดเจนว่า มนุษย์แต่ละคนที่เกิดมาย่อมมีนิสัยเห็นแก่ตัวติดมาด้วย เรื่องนี้เป็นความจริงซึ่งธรรมชาติได้มอบมาให้ หลังจากเกิดมาแล้ว หากสนใจเรียนรู้เพื่อค้นหาความจริงจากการปฏิบัติทุกสิ่งทุกอย่างซึ่งอยู่ในชีวิตประจำวันอย่างรู้คุณค่า ในที่สุดความเห็นแก่ตัวย่อมถูกชำระล้างให้เบาบางลงไปจากรากฐานจิตใจตนเอง
ดังนั้นก่อนอื่นทุกคนคงต้องยอมรับความจริงจากสิ่งที่กล่าวมาแล้วให้ได้เสียก่อน หากมีความเห็นแก่ตัวจนเกินระดับความพอดีกับเหตุและผล ย่อมปฏิเสธเรื่องนี้เป็นธรรมดา ดังที่ช่วงนี้มีการกล่าวถึงความพอเพียงกันอย่างกว้างขวาง แต่ก็น้อยคนนักที่จะปฏิบัติให้เข้าถึงจุดนี้ได้ ส่วนใหญ่มักนำมากล่าวอ้างตามกระแสสังคมมากกว่า
ผู้เขียนนึกถึงคำปรารภซึ่งได้ยินมาเป็นเวลานานพอสมควรแล้วว่า ไม่ว่าคนไทยส่วนใหญ่จะคิดเรื่องอะไรก็ตามมักปรากฏผลออกมาในเชิงเดี่ยว หรืออาจกล่าวว่า คิดแบบตัวใครตัวมัน บางคนก็พูดว่า คิดแบบเอกเทศ เรื่องนี้มีเหตุสืบเนื่องมาจากความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐาน
ธรรมชาติของมนุษย์แต่ละคน ลงได้มีความเห็นแก่ตัวอยู่ในรากฐานจิตใจ มักปฏิเสธความจริง เนื่องจากประเด็นนี้เกิดจากจิตในที่ล้อมกรอบตัวเองไว้ด้วยอิทธิพลวัตถุและเงิน
ช่วงระยะเวลาที่ผ่านพ้นมาผู้เขียนมักได้ยินคนทั่วไปกล่าวกันบ่อยๆ ว่า อาหารชนิดนั้นชนิดนี้มีสารก่อมะเร็งปนเปื้อนอยู่ด้วย การที่คนเชื่อว่า ภายในกระบวนการที่เป็นองค์รวมของสิ่งใดสิ่งหนึ่งซึ่งคนใช้เป็นอาหารมีสารก่อมะเร็ง เป็นเรื่องน่าสนใจนำมาคิดค้นหาเหตุผล
ทุกวันนี้เราพูดกันเรื่องสมุนไพรอย่างกว้างขวาง ยิ่งพูดกันไปก็ยิ่งไม่มีวันจบสิ้น บางครั้งมีคนถามผู้เขียนว่า พืชอะไรบ้างที่เป็นสมุนไพร? ผู้เขียนมักตอบว่า พืชทุกชนิดต่างก็เป็นสมุนไพรแทบทั้งนั้น เว้นไว้แต่ว่าพืชบางอย่างเรายังไม่รู้ความจริง บางครั้งคนยุคก่อนเขาหยั่งรู้ได้แล้วจากการปฏิบัติ แต่คนยุคหลังมีนิสัยดูถูกคนรุ่นก่อน จึงตัดตอนความรู้ที่ควรจะเชื่อมโยงถึงกัน ทำให้คนยุคนี้สูญเสียโอกาสที่จะเรียนรู้เหตุผล
ความจริงย่อมเป็นความจริง คนและสัตว์กับพืชมีการพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันมาตั้งแต่การถือกำเนิดมาสู่โลก เมื่อคนนำเอาสิ่งที่ปรากฏเป็นเพื่อนร่วมชีวิตอยู่ในธรรมชาติมาใช้ประโยชน์จนกระทั่งทำให้รากฐานจิตใจมีสภาพที่ห่างตัวเองมากขึ้น ย่อมมีผลทำลายการรู้บุญคุณ แล้วในที่สุดสิ่งดังกล่าวย่อมทำให้เกิดความเห็นแก่ตัวขึ้นในจิตใจเพิ่มมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งหวนกลับมาทำร้ายกันเอง
ทุกวันนี้แม้แต่ในวงการแพทย์ที่มีการคิดแบ่งแยกชีวิตซึ่งควรจะรวมอยู่ในกระบวนการเรียนรู้บนพื้นฐานจิตใจของคน ได้ห่างไกลความจริงจากใจตนเองเพิ่มมากยิ่งขึ้น ซึ่งเราก็เชื่อกันว่า คือความเจริญก้าวหน้า แต่แท้จริงแล้วหากหวนกับมามองสู่ต้นเหตุ ย่อมพบความจริงว่า เรากำลังสร้างกระแสที่หวนกลับมาทำร้ายตนเองอย่างปฏิเสธได้ยาก
ความจริงที่ปรากฏอยู่ในธรรมชาติย่อมมีเหตุผลเชื่อมโยงถึงกันหมด อย่างที่กล่าวกันว่าเป็นกระบวนการ แต่ความเห็นแก่ตัวของมนุษย์กลับนำเอามาแยกส่วน เพราะมนุษย์รู้มากขึ้นจึงคิดเอาเปรียบธรรมชาติ จึงมีความคิดที่จะแยกเอาเฉพาะส่วนที่ตนเชื่อว่าดีออกมาใช้ประโยชน์ ดังนั้นคนยุคนี้ส่วนใหญ่จึงมีนิสัยที่ยึดติดอยู่กับการสกัดเอาสารที่เป็นประโยชน์เฉพาะเรื่องออกมาใช้ประโยชน์เท่านั้น
การคิดแบบเลือกเอาเฉพาะสิ่งซึ่งตนต้องการน้ำมาใช้ประโยชน์ แท้จริงแล้วก็คือความเห็นแก่ตัวซึ่งเราพบได้ทั่วไปในสังคม
คนที่มีลักษณะความเชื่อดังกล่าว หลังจากทราบว่าพืชชนิดนั้น ชนิดนี้มีคุณสมบัติเป็นสมุนไพรมักคิดต่อไปอีกว่า จะต้องสกัดเอาสารที่มีคุณประโยชน์โดยตรงออกมาใช้ ความคิดแบบนี้ส่งผลทำลายสมดุลที่อยู่ในสมุนไพรแต่ละชนิดเชิงเดี่ยวซึ่งยังคงมีอยู่ทั่วไปในสังคมไทย จึงไม่เฉลียวใจว่า ธรรมชาติจะอยู่ได้ย่อมมีสมดุล เช่นที่กล่าวกันว่า มีการผูกก็ย่อมมีการแก้
หากจะหวนกลับไปนึกถึงอดีตสักนิดหนึ่งว่า แต่ก่อนความรู้ทางวิทยาศาสตร์ซึ่งมนุษย์ใช้เป็นเครื่องมือคิดเอาเปรียบธรรมชาติเพื่อสนองความเห็นแก่ตัวของตน แม้ผู้ที่เชื่อว่า โรคมะเร็งเกิดจากสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในอาหาร หากไม่ใช่คนคิดแบบตัวใครตัวมันควรจะหยั่งรู้ความจริงต่อไปอีกว่า เป็นเพราะผู้ผลิตอาหารออกมาขายมีนิสัยโลภมาก จึงขาดความรับผิดชอบต่อสังคม
ทำให้นึกถึงสิ่งซึ่งคนโบราณเคยกล่าวไว้ว่า อย่าเป็นคนรู้มาก ข้อความประโยคนี้ควรตีความได้ว่า อย่าคิดเอาเปรียบคนอื่น จึงขอให้ยืนอยู่บนจุดที่พอดี ยิ่งสังคมเปลี่ยนออกห่างจากตัวเองออกมาจนถึงยุคนี้ ทำให้พบความจริงว่า คนรุ่นหลังมักดูถูกคำว่า โบราณ
ความจริงได้ชี้ไว้ว่า ทุกสิ่งทุกอย่างหากเป็นความจริงย่อมไม่มียุคสมัย หรืออีกนัยหนึ่งย่อมไม่มีคำว่าโบราณหรือสมัยใหม่ แต่แท้จริงแล้วโบราณก็คือพื้นฐานที่มาของสมัยใหม่นั่นเอง แต่การที่คนหวนกลับไปดูถูกโบราณ ก็คือการปฏิเสธพื้นฐานของตัวเอง ประเด็นนี้น่าจะสะท้อนให้เห็นความจริงอย่างชัดเจนว่า คนทุกวันนี้มีความเห็นแก่ตัวสูงขึ้นจึงลืมตัว ทำให้หวนกลับไปทำลายพื้นฐานของตนเอง ชีวิตอนาคตจึงน่าจะหลุดลอยไปอย่างไร้ทิศทาง
แม้แต่ข้อความซึ่งคนยุคนี้กล่าวว่า อาหารชนิดนั้นชนิดนี้มีสารก่อมะเร็งเสร็จแล้วก็ใช้ความรู้มากของตัวเองดึงมันออกมาเป็นอย่างๆ อีกทั้งนำมาวิเคราะห์ค้นหาสารชนิดนั้นชนิดนี้ แท้จริงแล้วก็คือความเห็นแก่ตัวของคนผู้คิดแบบล้อมกรอบตัวเอง
ซึ่งคนลักษณะนี้ยากนักที่จะหวนกลับมาพิจารณาค้นหาความจริงจากเงื่อนปมต่างๆ ซึ่งแฝงอยู่ในจิตใจตนเอง ช่วยให้ยอมรับว่า สิ่งซึ่งตนกำลังคิดและมองว่าเป็นปัญหาอยู่ในขณะนั้นมันเกิดจากความเห็นแก่ตัวเป็นพื้นฐาน ยิ่งในยุคปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี โดยนำเอาความทันสมัย ล้าสมัยมาเป็นเครื่องมือเพื่อล่อหลอกคนอื่นให้หลงตกเป็นเหยื่อตนด้วย ก็คงยากที่จะค้นหาเหตุแห่งมะเร็งโรคร้ายซึ่งแท้จริงแล้วมันควรจะมีเงื่อนปมอยู่ในรากฐานจิตใจตนเอง
ดังนั้นเมื่อคนคิดและเชื่อว่า การก้าวไกลห่างออกจากใจตนเองคือความก้าวหน้า ก็คงมุ่งไปทางนั้นด้านเดียวจนกระทั่งทำให้เสียเงิน เสียทอง เสียเวลา อีกทั้งเกิดความทุกข์หนักยิ่งขึ้นเป็นลำดับ โดยที่ไม่อาจรู้ความจริงว่า วิถีทางดังกล่าวมันกำลังหวนกลับมาทำร้ายตัวเองเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์
ผู้ที่รู้เท่าทันต่อกระแสดังกล่าว ย่อมเข้าถึงความจริงของชีวิตแล้วว่า สัจธรรมอันเป็นวัฏจักรชีวิตก็คือ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ดังนั้นคนที่ไม่กลัวตายควรจะถือว่ามียาขนานเอกที่ป้องกันโรคมะเร็งได้ ซึ่งสิ่งนี้ก็คือคำตอบซึ่งกล่าวไว้แต่แรกแล้วว่า คนไม่กลัวโรคมะเร็งมักมีโอกาสเป็นมะเร็งน้อยที่สุด
ผู้เขียนต้องขออภัยต่อเพื่อนมนุษย์ทุกคน ในฐานะที่กล้าเขียนเรื่องนี้ออกมาทั้งๆ ที่เป็นคนซึ่งใครจะว่าไม่มีความรู้เรื่องมะเร็งหรือแม้แต่แพทย์แผนปัจจุบันคงก็ต้องยอมรับสารภาพด้วยความเต็มใจ
15 กันยายน 2548