ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>
(รัชกาลที่ 1-รัชกาลที่ 3)
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช
การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี
การปกครองของไทยสมัยรัตนโกสินทร์
กฎหมายและการศาล
เศรษฐกิจสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
สภาพสังคมและการศึกษา
การศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณี
วรรณกรรมและศิปลกรรม
การป้องกันเอกราชของประเทศ
ความสัมพันธ์กับประเทศตะวันตกในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
การศาสนาและขนบธรรมเนียมประเพณี
ศาสนา
การสังคายนาและชำระพระไตรปิฎก
การเสียกรุงครั้งที่ 2 ทำให้พระพุทธศาสนาเสื่อมโทรมลงไปมาก
และพระไตรปิฎกก็บกพร่องอยู่มาก รัชกาลที่ 1
จึงมีพระราชดำริให้ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกขึ้นที่วัดมหาธาตุ เมื่อ พ.ศ.2331
ใช้เวลาประมาณ 5 เดือน พระสงฆ์ที่มีส่วนสำคัญในการสังคายนาพระไตรปิฎกนี้ ได้แก่
สมเด็จพระสังฆราช (ศรี) พระวันรัต (สุ) พระพิมลธรรม (วัดพระเชตุพนฯ) พระพุฒาจารย์
(เป้า) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ชำระพระไตรปิฎกตั้งแต่ครั้งกรุงเก่าที่กระจัดกระจาย
ให้เป็นระเบียบหมวดหมู่ แล้วจารลงบนใบลาน คัดลอกพระไตรปิฎกเป็นฉบับหลวงขึ้น
ปิดทองทั้งปกหน้าปกหลัง แลด้านข้างเรียกว่า “ฉบับทองหรือทองใหญ่ หรือฉบับทองทึบ”
และเชิญประดิษฐานไว้ในตู้ประดับมุก ในหอพระมณเทียรธรรมกลางสระ
ในวัดพระศรีรัตนศาสดารามในพระบรมมหาราชวัง
- สมัยรัชกาลที่ 2 ทรงส่งสมณทูตไปยังลังกาเพื่อศึกษาความเป็นของศาสนาในลังกาและได้นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์มาจากลังกา
- สมัยรัชกาลที่ 3 ทรงให้ตรวจสอบพระไตรปิฎกทั้งจากลังกาและมอญ และให้จารึกอย่างสวยงาม สมัยนี้ได้รับยกย่องว่ามีพระไตรปิฎกที่สวยงามและถูกต้องที่มากที่สุด
การสังคายนาพระธรรมวินัย รัชกาลที่ 1
ทรงออกกฎหมายสำหรับพระสงฆ์หลายฉบับ เพราะพระสงฆ์สมัยนั้นหย่อนพระธรรมวินัยไปมาก
ไม่สนใจเล่าเรียนพระไตรปิฎก การเทศน์ พระสงฆ์เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทรัพย์สินของฆราวาส
จึงจำเป็นเข้าต้องกำหนดโทษขั้นรุนแรง สมัยรัชกาลที่ 3 โปรดเกล้าฯ
ให้สำรวจความประพฤติของสงฆ์ ปรากฏว่าพระสงฆ์ถูกจับสึกและหนีเข้าป่าเป็นอันมาก
การตั้งธรรมยุติกนิกาย
ในสมัยรัชกาลที่ 3 สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอเจ้าฟ้ามงกุฏทรงผนวชอยู่ ณ วัดมหาธาตุ
ทรงสนพระทัยศึกษาพระไตรปิฎก พระพุทธวจนะ และพระธรรมวินัยและทรงเห็นว่า
พระภิกษุสงฆ์ในสมัยนั้นไม่ได้เคร่งครัดในพระธรรมวินัย
จึงต้องการจะทำการสังคายนาเสียใหม่ พระองค์ได้ทรงพบพระภิกษุรามัญผู้หนึ่ง ชื่อ ซาย
เคร่งครัดในพระธรรมวินัยมาก
พระองค์จึงทรงถือเป็นแบบอย่างและทรงปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
ข้อปฏิบัติของพระองค์จึงผิดไปจากพระสงฆ์รูปอื่นๆ การห่มผ้าก็เป็นแบบรามัญ
พระองค์จึงย้ายที่ประทับมาอยู่ ณ วัดสมอราย (วัดราชาธิวาส)
ทรงให้นามคณะสงฆ์ของพระองค์ว่า “คณะสงฆ์ธรรมยุติกนิกาย”
ส่วนคณะสงฆ์เดิมเรียกตนเองว่า “คณะสงฆ์มหานิกาย”
หลักธรรมของคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ถือว่าเป็นหลักธรรมถูกต้อง
เชื่อในสิ่งที่มีเหตุผลมากขึ้น ทำให้ใกล้ชิดและได้รับความเลื่อมใสจากประชาชนมากขึ้น
ที่สำคัญคือ มีการเปลี่ยนแปลงการเทศน์ จากภาษาบาลีเป็นภาษาไทย ทำให้เข้าใจง่าย
การส่งสมณทูตไปลังกา
สมัยรัชกาลที่ 2 ได้มีพระภิกษุลังกา ชื่อ พระสาสนวงศ์
อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุและต้นโพธิ์ลังกามาถวายใน พ.ศ. 2357
ไทยได้ส่งสมณทูตไปยังลังกาทวีป เพื่อสอบสวนพระศาสนาทั้งหมด 9 รูป
มีพระอาจารย์ดีกับพระอาจารย์เทพเป็นหัวหน้า และได้นำหน่อพระศรีมหาโพธิ์มาจากลังกา 6
ต้น
ถือว่าเป็นต้นโพธิ์ที่สืบเชื้อสายมาจากต้นโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ที่พุทธคยาในอินเดีย
โปรดเกล้าฯให้นำไปปลูกที่นครศรีธรรมราช 2 ต้น วัดสุทัศน์ฯ 1 ต้น วัดสระเกตุฯ 1 ต้น
ที่กลันตัน 1 ต้น และวัดมหาธาตุ 1 ต้น สมัยรัชกาลที่ 3
พระสงฆ์เดินทางไปลังกาเพื่อขอยืมพระไตรปิฎกมาตรวจสอบกับของไทย 2 ครั้ง ครั้งที่ 1
พ.ศ.2385 ครั้งที่ 2 พ.ศ.2387 กว่าจะส่งคืนก็ล่วงเข้าสมัยรัชกาลที่ 4
การสร้างและปฏิสังขรณ์วัด
ศาสนานับเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งปวงไม่ว่าประชาชนหรือพระมหากษัตริย์
ส่วนหนึ่งของพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์เกือบทุกรัชกาลในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นคือ
การสร้างและปฏิสังขรณ์วัด มีดังนี้
- วัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างขึ้นในเขตพระบรมมหาราชวังชั้นนอก เพื่อใช้ประกอบพิธีกรรมทางศาสนา
ให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับวัดพระศรีสรรเพชญสมัยอยุธยา
และวัดมหาธาตุสมัยกรุงสุโขทัย เป็นที่ประดิษฐานแก้วมรกต
หรือพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร วัดนี้จึงได้ชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “วัดพระแก้ว”
- วัดสุทัศนเทพวราราม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ
ให้สร้างวัดขนาดใหญ่เช่นเดียวกับวันพนัญเชิงสมัยกรุงศรีอยุธยา
บริเวณกำแพงพระนครตรงใจกลางเมืองกรุงเทพฯ เป็นที่ประะดิษฐานของพระศรีศากยมุนี
หรือพระโตหล่อด้วยโลหะ ซึ่งอัญเชิญมาจากวิหารหลวงวัดมหาธาตุ สุโขทัย
วันนี้ได้ชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า “วัดพระโต”
- วัดพระเชตุพนวิมลคลาราม พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดเกล้าฯ
ให้ปฏิสังขรณ์ขึ้นมาใหม่จากเดิมชื่อว่า วัดโพธาราม พระราชทานนามว่า
“วัดพระเชติพนวิมลมังคลาวาส ต่อมาเปลี่ยนเป็น วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม
(สมัยรัชกาลที่ 4) เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปยืนองค์ใหญ่จากวัดพระศรีสรรเพชญ
กรุงศรีอยุธยา และพระพุทธสาวกปฏิมากร วัดคูหาสวรรค์ กรุงธนบุรี
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ
ให้บูรณปฏิสังขรณ์ขึ้นใหม่และโปรดเกล้าฯ ให้ประชุมนักปราชญ์ ราชบัณฑิต
และช่างต่างๆให้ช่วยกันชำระตำราต่างๆ เช่น วิชาแพทย์โบราณ ยาแก้โรคต่างๆ
ตำราหมอนวด กวีนิพนธ์ต่างๆ โดยจารึกไว้บนแผ่นศิลาตามเสาและผนังรายรอบบริเวณวัด
วัดนี้จึงจัดว่าเป็น “วิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทย”
- วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดโบราณสร้างแต่ครั้งกรุงศรีอยุธยา เดิมเรียกว่า วัดมะกอก แล้วเปลี่ยนเป็นวัดแจ้งในสมัยพระเจ้าตากสินมหาราช ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ 1 สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้ากรมหลวงอิสรสุนทร (รัชกาลที่ 2) ได้ทรงสร้างพระอุโบสถใหม่ เมื่อขึ้นครองราชย์เป็นพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้โปรดเกล้าฯ พระราชทานนามวัดว่า วัดอรุณราชธาราม ภายหลังเปลี่ยนเป็น วัดอรุณราชวราราม วัดนี้มีพระปรางค์องค์ใหม่ที่เป็นปูชนียสถานที่สำคัญและงดงามมาก
ขนบธรรมเนียมประเพณี
ขนบธรรมเนียมประเพณีสมัยต้นรัตนโกสินทร์ยึดตามแบบอยุธยา ที่สำคัญได้แก่
- ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีโสกันต์ (โกนจุก) พระราชพิธีพระเมรุมาศ (การเผาพระบรมศพ)
พระราชพิธีฉัตรมงคล พระราชพิธีสมโภชช้างเผือก ฯลฯ
- ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับพราหมณ์ เช่น พิธีการโล้ชิงช้า
การสร้างโบสถ์พราหมณ์ ฯลฯ
- ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวบ้านเมือง เช่น พระราชพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา
พระราชพิธีอาพาธพินาศ พระราชพิธีพืชมงคล ฯลฯ
- ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับชาวบ้าน เช่น การเล่นเพลงสักวา
พิธีการทำขวัญนาค การแต่งงาน การเผาศพ การโกนจุก พิธีตรุษสงกรานต์ สารทไทย ฯลฯ
- ขนบธรรมเนียมประเพณีเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เช่น พิธีวิสาขบูชา อาสาฬหบูชา มาฆบูชา เข้าพรรษา ออกพรรษา การบวชนาค เทศน์มหาชาติ สมโภชพระแก้วมรกต ฯลฯ
พระราชพิธีและขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆที่สำคัญๆ ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ครั้นมาถึงสมัยรัตนโกสินทร์ได้รับการฟื้นฟูหลายพิธี เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พระราชพิธีโสกันต์ พระราชพิธีสมโภชช้างเผือก พระราชพิธีสมโภชพระแก้วมรกต การเล่นสักวา พระราชพิธีตรียัมปวาย(โล้ชิงช้า) พระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนินทอดผ้าพระกฐินโดยกระบวนพยุหยาตรา ทางสถลมารคและชลมารค พระราชพิธีอาพาธพินาศ พระราชพิธีวันวิสาขบูชา ฯลฯ พระราชพิธีดั้งเดิมเก่าแก่ของไทยนี้แสดงให้เห็นถึงอารยธรรมที่เจริญรุ่งเรือง ความสามัคคีกลมเกลียวของคนในชาติ รวมทั้งความมั่นคงเป็นปึกแผ่นมาช้านานของชาติไทย