เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>
ดิน
โครงการตามพระราชดำริ
ส่วนประกอบของดิน
ดินกับการเจริญเติบโตของพืช
ดินเค็ม
ดินเปรี้ยว
กระบวนการสร้างดินทางธรณีวิทยา
กระบวนการสร้างดินทางปฐพีวิทยา
วิธีการ "แกล้งดิน" ตามพระราชดำริ
ดินทราย
ประโยชน์ของการปลูกพืชคลุมดิน
การใช้ปุ๋ย
ดินเสี่อมโทรม
แนวพระราชดำริด้านการอนุรักษ์และพัฒนาทรัพยากรดิน
การพัฒนาที่ดินตามแนวทางเกษตรยั่งยืน
การศึกษาวิจัยการพัฒนาด้านพันธุ์พืชและเทคโนโลยีการพัฒนาการเกษตร
การใช้ประโยชน์ที่ดินตามแนวทฤษฎีใหม่
ดินทราย
เป็นดินเนื้อทรายเป็นกลุ่มชุดดินที่ไม่อุ้มน้ำ ง่ายต่อการกัดกร่อน
ความในการจับหรือแลกเปลี่ยนประจุธาตุอาหารต่ำ ความอุดมสมบูรณ์ต่ำมาก
ขาดสารปรับปรุงบำรุงดิน (ภาพประกอบ 3.3) จากผลการสำรวจของกรมพัฒนาที่ดิน
พบว่ามีดินทรายทั่วประเทศประมาณ 6 ล้านไร่ กระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ
ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ประมาณ 3 ล้านไร่ และภาคอื่น ๆ ของประเทศ
ซึ่งจะต้องมีการจัดการเป็นกรณีพิเศษกว่าดินทั่วไป
จึงจะสารมารถใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูกได้
ประเภทของดินทราย
ประเภทของดินทรายสามารถแบ่งออก 2 ประเภท คือ
ดินทรายจัด หมายถึง ดินทรายที่มีเนื้อดินบนเป็นดินทราย หรือดินทรายร่วน
และหนากว่า 50 เซนติเมตร สามารถแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม
- กลุ่มที่ 1 ดินทรายทีมีเนื้อดินเป็นทรายหรือหยาบร่วน หนากว่า 50 เซนติเมตร แต่ไม่เกิน 1 เมตร จากผิวด้านบน ส่วนดินชั้นล่างลงไปจะเหนียวขึ้น พบมากในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
- กลุ่มที 2 ดินทรายที่มีเนื้อดินเป็นทรายหรือหยาบร่วนหนากว่า 1 เมตร คือภายใน 2 เมตร จะพบชั้นดินที่ร่วนปนดินเหนียว หรือ ดินเหนียวปนทรายเกิดขึ้น ดินกลุ่มนี้พบมากเช่นเดียวกับกลุ่มแรก
- กลุ่มที 3 ดินทรายที่มีเนื้อดินเป็นทรายและหยาบร่วนหนากว่า 2 เมตร ซึ่งไม่พบมากนัก
จากลักษณะที่กล่าวมา เนื้อดินจะเป็นทรายปะปนอยู่ตั้งแต่ผิวดินลงไปจนถึงความลึกเกินไปกว่า 1 เมตร มีกำเนิดจากหินทราย (sandstone) ซึ่งมีแร่ควอตส์ (quartz) เป็นส่วนประกอบสำคัญ เนื้อดินค่อนข้างหยาบมีสภาพเป็นกรด pH ประมาณ 5 6 มีปริมาณธาตุอาหารตามธรรมชาติและความสามารถในการดูดธาตุอาหารต่ำ มีอินทรีย์วัตถุต่ำมากโดยเฉลี่ยจะน้อยกว่า 1 % คุณสมบัติทางกายภาพของดินไม่เหมาะสมต่อการปลูกพืช บางแห่งมีการจับตัวเป็นชั้นดานแข็งขึ้นเสมอ บริเวณที่มีเนื้อดินเป็นทรายละเอียดเป็นอุปสรรคต่อการเจริญเติบโตและไชชอนของรากพืช เมื่อฝนตกจะเกิดน้ำไหลบ่าไปบนผิวดิน ชะล้างเอาหน้าดินและธาตุอาหารไปด้วย
ดินทรายมีชั้นดาน
พบมากบริเวณจังหวัดที่อยู่ติดฝั่งทะเลทางภาคใต้และภาคตะวันออก ประมาณ 7 แสนไร่
จะเกิดในสภาพแวดล้อมที่จำกัด
สภาพที่เหมาะสมสำหรับการเกิดดินชนิดนี้จะต้องมีวันถุต้นกำเนิดที่เป็นทราย
ภูมิอากาศชุ่มชื้น และเป็นที่ราบ
องค์ประกอบทางแร่ของดินเหล่านี้มีแต่แร่ที่ไม่สลายตัวหรือสลายตัวยาก
สภาพของดินโดยทั่วไปเป็นกรด มีความสามารถในการแลกเปลี่ยนประจุบวกต่ำ
มีเปอร์เซ็นต์ความอิ่มตัวด้วยประจุบวกที่เป็นด่างต่ำ มีแร่ดินเหนียวน้อย
อินทรีย์วัตถุในดินเป็นตัวสำคัญในขบวนการเปลี่ยนแปลงของดินและควบคุมการดูดยึดต่าง ๆ
ขบวนการเกิดของชั้นดินดาน เกิดจาก อินทรีย์วัตถุไปจับตัวกับธาตุ อลูมิเนียมและเหล็ก
โดยมีกรดเป็นตัวดูดซับทำให้เกิดตะกอนของสารประกอบเชิงซ้อนออร์กาโน เมทัลลิค
เมื่อเวลาผ่านไป ตะกอนที่เกิดขึ้นก็จะเพิ่มและสะสมมากขึ้น จับตัวกันเป็นชั้นดานแข็ง
ซึ่งระดับน้ำใต้ดินก็มีอิทธิพลอย่างมากในการตกตะกอนและควบคุมตำแหน่งของชั้นดาน
ถ้าระดับน้ำใต้ดินตื้น จะทำให้ชั้นดานแข็งเกิดอยู่ตื้น
มีผลในการขัดขวางการเจริญเติบโตและการชอนไชของรากพืช
ปัญหาของดินทราย
ปัญหาของดินทรายแบ่งออกเป็น 3 ปัญหาหลัก ดังนี้
- ปัญหาเกี่ยวกับการชะล้างพังทลายของดินเป็นปัญหาที่รุนแรงในพื้นดินดอน พื้นที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ และรุนแรงมากในบริเวณพื้นภูเขา การชะล้างพังทลายของดินเกิดขึ้นรุนแรงในพื้นที่ที่มีความลาดชันตั้งแต่ 5 % ขึ้นไป ที่ใช้ในการปลูกพืชโดยไม่มีมาตรการอนุรักษ์ดินและน้ำที่เหมาะสมเนื่องจากอนุภาคของดินเกาะกันอย่างหลวมๆ การชะล้างพังทลายของดินทำให้เกิดปัญหาติดตามมาหลายชนิด เช่น เกิดสภาพเสื่อมโทรมมีผลกระทบทำให้แม่น้ำลำธาร เขื่อน อ่างเก็บน้ำชลประทานตื้นเขิน ฝนไม่ตกตามฤดูกาล เกิดความแห้งแล้งและน้ำท่วมซ้ำซาก
- ปัญหาที่เกี่ยวกับสภาพความอุดมสมบูรณ์ของดิน ดินทรายจัด จะมีความอุดมสมบูรณ์ต่ำปริมาณอินทรีย์วัตถุ ธาตุโพแทสเซียมและฟอสฟอรัส ที่เป็นประโยชน์ต่อพืชอยู่ในเกณฑ์ต่ำถึงต่ำมาก ความสามารถในการแลกเปลี่ยนธาตุอาหารต่ำมาก เป็นเหตุให้การใช้ปุ๋ยเคมีให้ผลตอบสนองต่อพืชต่ำ และเป็นผลให้ผลผลิตต่อหน่วยพื้นที่ลดลงด้วย
- ปัญหาเกี่ยวกับคุณสมบัติทางกายภาพของดินไม่ดี ได้แก่ ดินแน่นทึบ โดยเฉพาะดินพื้นที่นาที่มีค่อนข้างเป็นทรายละเอียด มีอินทรีย์วัตถุเป็นองค์ประกอบต่ำ จะมีผลทำให้ดินอัดตัวแน่นทึบ ยากแก่การใชของรากพืช
หลักการทีใช้ในการจัดการเกี่ยวกับดินทราย
ประเทศไทยมีพื้นที่ดินทรายจัดประมาณ 6.5 ล้านไร่ แบ่งออกได้เป็น 2
ประเภท
คือดินทรายธรรมดาที่มีเนื้อทรายจัดลงไปลึกและดินทรายที่มีชั้นดานจับตัวกันแข็ง
โดยเหล็กและฮิวมัสเป็นตัวเชื่อมเกิดภายในความลึก 2 เมตร
แต่ส่วนใหญ่เกิดขึ้นตื้นกว่า 1 เมตร จากผิวดินบน ดินทรายทั้ง 2 ประเภทนี้
มีความอุดมสมบูรณ์ต่ำและมีความสามารถในการอุ้มน้ำต่ำด้วย
นอกจากนี้ดินทรายที่มีชั้นดินดานแข็งเมื่อมีน้ำไหลซึมลงไป จะไปแช่แข็งอยู่
เพราะชั้นดินดานดังกล่าว น้ำสามารถซึมผ่านได้ยากทำให้เกิดสภาพน้ำขัง รากพืชขาดอากาศ
พืชไม่สามารถเจริญเติบโตได้ ดินทรายเหล่านี้ กระจัดกระจายอยู่ในจังหวัดต่าง ๆ
ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 3 ล้านไร่ นอกนั้นกระจายอยู่ตามภาคต่าง ๆ ของประเทศ
เนื่องจากดินทรายเป็นดินที่มีปัญหาทั้งทางด้านเคมีและกายภาพ
แต่เกษตรกรที่ยากจนยังคงใช้พื้นที่เหล่านี้ทำการเกษตรเพื่อยังชีพ
โดยการใช้ที่ดินอย่างไม่ถูกต้องตามสมรรถนะของดิน เนื่องจากขาดความรู้และความเข้าใจ
ส่งผลให้สภาพดินเสื่อมโทรมรวดเร็วยิ่งขึ้น
ดังนั้นวิธีการที่จะจัดการดินทรายเหล่านี้ให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอย่างถูกวิธี
นับว่ามีความสำคัญอย่างยิ่ง ดังนี้คือ การปลูกพืชคลุมดิน การปลูกพืชตามแนวระดับ
การใช้ปุ๋ย การใช้ระบบพืชอนุรักษ์ดิน การปลูกพืชหลายอย่าง การใช้วัสดุคลุมดิน
การไถพรวนน้อยที่สุดและการสร้างคันดิน
สำหรับดินทรายที่มีชั้นกรวดอยู่ในระดับตื้นจากผิวดิน หรือดินดานอัดแน่น
ควรทำลายชั้นดินโดยการไถระดับลึกด้วยเครื่องมือพิเศษ หรือปลูกพืชรากลึก เช่น
หญ้าแฝก เพื่อช่วยให้ดินชั้นล่างแตกเพื่อสะดวกในการระบายน้ำ
จากนั้นจึงทำการปรับปรุงคุณภาพดินให้เหมาะสมต่อไป
การปลูกพืชคลุมดิน คือ
การปลูกพืชที่มีใบหนาหรือมีระบบรากแน่นสำหรับคลุมและยึดดินเพื่อช่วยให้ดินมีสิ่งรองรับแรงปะทะจากเม็ดฝน
การพัดพาจากกระแสน้ำและกระแสลม