วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>
ประเภทของชา
ประวัติการปลูกชาในประเทศไทย
พันธุ์ชาที่ปลูกในประเทศไทย
ประวัติการปลูกชาในประเทศไทย
ในสมัยสุโขทัย
ช่วงที่มีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกับจีน พบว่าได้มีการดื่มชากัน
แต่ไม่ปรากฏหลักฐานว่านำเข้ามาอย่างไร และเมื่อใด แต่จากจดหมายของท่านลาลูแบร์
ในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช กล่าวไว้ว่า คนไทยได้รู้จักการดื่มชาแล้ว
โดยนิยมชงชาเพื่อรับแขก การดื่มชาของคนไทยสมัยนั้นดื่มแบบชาจีนไม่ใส่น้ำตาล
สำหรับการปลูกชาในประเทศไทยนั้น
แหล่งกำเนิดเดิมอยู่ตามภูเขาทางภาคเหนือของประเทศ
โดยกระจายอยู่ในหลายจังหวัดแถบภาคเหนือที่สำคัญ ได้แก่ เชียงใหม่ เชียงราย
แม่ฮ่องสอน แพร่ น่าน ลำปาง และตาก จากการสำรวจของคณะทำงานโครงการหลวงวิจัยชา
ได้พบแหล่งชาป่าที่บ้านไม้ฮุง กิ่งอำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน
บริเวณเขตติดต่อชายแดนประเทศพม่า ต้นชาป่าที่พบเป็นชาอัสสัม ( Assam tea )
อายุหลายร้อยปี เส้นผ่าศูนย์กลางของลำต้นประมาณ 0.5 เมตร
ชาวบ้านละแวกนั้นเรียกว่าต้นชาพันปี
เข้าใจว่าต้นชาป่าขนาดใหญ่สามารถพบได้อีกตามบริเวณเทือกเขาสูงของจังหวัดแพร่
และน่าน โดยสวนชาส่วนใหญ่ทางภาคเหนือจะเป็นสวนเก่าที่ได้จาการถางต้นไม้ชนิดอื่นออก
เหลือไว้แต่ต้นชาป่าที่ชาวบ้านนิยมเรียกว่า ต้นเมี่ยง จำนวนต้นต่อไร่ต่ำ ประมาณ 50
200 ต้น / ไร่ ผลผลิตใบชาสดต่ำเพียง 100 140 กิโลกรัม / ไร่
ชาวบ้านจะเก็บใบชาป่าด้วยมือโดยการรูดใบทั้งกิ่ง แล้วนำใบมาผลิตเป็นเมี่ยง
ในปัจจุบันช่วงใดที่เมี่ยงมีราคาสูง ใบชาป่าจะถูกนำมาผลิตเป็นเมี่ยง
แต่เมื่อเมี่ยงมีราคาถูก ใบชาป่าจะถูกนำไปจำหน่ายให้กับโรงงานผลิตชาจีนขนาดเล็ก
ทำให้ชาจีนที่ผลิตได้มีคุณภาพต่ำ
การพัฒนาอุตสาหกรรมชาของประเทศไทย เริ่มขึ้นอย่างจริงจังในปี พ.ศ. 2480
โดยนายประสิทธิ์ และนายประธาน พุ่มชูศรี สองพี่น้องได้ตั้งบริษัทใบชาตราภูเขา จำกัด
และสร้างโรงงานชาขนาดเล็กขึ้นที่อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่
โดยรับซื้อใบชาสดจากชาวบ้านที่ทำเมี่ยงอยู่แล้ว แต่พบปัญหาอุปสรรคหลายประการ เช่น
ใบชาสดมีคุณภาพต่ำ ปริมาณไม่เพียงพอ
ชาวบ้านขาดความรู้ความชำนาญในการเก็บเกี่ยวยอดชาและการตัดแต่งต้นชา
ส่วนที่อำเภอฝางนั้น นายพร เกี่ยวการค้า
ได้นำผู้เชี่ยวชาญทางด้านชาชาวฮกเกี้ยนมาจากประเทศจีน
เพื่อมาถ่ายทอดความรู้ให้กับคนไทย ต่อมาในปี พ.ศ. 2482 สองพี่น้องตระกูลพุ่มชูศรี
ได้แก้ไขปัญหาการขาดแคลนวัตถุดิบ โดยเริ่มปลูกสวนชาเป็นของตนเอง
ใช้เมล็ดพันธุ์ชาพื้นเมืองมาเพาะ สวนชาตั้งอยู่ที่แก่งพันท้าว อำเภอเชียงดาว
จังหวัดเชียงใหม่ ในเนื้อที่ประมาณ 100 ไร่
และต่อมาได้ขยายพื้นที่ปลูกมาที่บ้านเหมืองกึด และบ้านช้าง ตำบลสันมหาพน
อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ในปี พ.ศ. 2508 ได้ส่งเสริมการผลิตมากขึ้น
โดยขอสัมปทานทำสวนชาจากกรมป่าไม้ จำนวน 2,000 ไร่ ที่บ้านบางห้วยตาก ตำบลอินทขิน
อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ในนามของบริษัทชาระมิงค์ และทำสวนชาที่ตำบลสันมหาพน
อำเภอแม่แตง ในนามของบริษัทชาบุญประธาน ชาที่ผลิตได้ส่วนใหญ่จะเป็นชาฝรั่ง
ต่อมาเอกชนเริ่มให้ความสนใจอุตสาหกรรมการผลิตชามากขึ้น โดยในปี พ.ศ. 2530
บริษัทชาระมิงค์ได้ขายสัมปทานสวนชาให้แก่บริษัทชาสยาม จากนั้น
ชาสยามได้เริ่มส่งเสริมให้เกษตรกรที่ทำไร่ในบริเวณใกล้เคียงหันมาปลูกสวนชาแบบใหม่
และรับซื้อใบชาสดจากเกษตรกร นำมาผลิตชาฝรั่งในนามชาลิปตัน จนกระทั่งปัจจุบันนี้
สำหรับภาครัฐนั้น การส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมเริ่มขึ้นในปี พ.ศ. 2483
โดยปลัดกระทรวงเกษตร ( ม.ล. เพช สนิทวงศ์ ) อธิบดีกรมเกษตร (
คุณพระช่วงเกษตรศิลปการ ) และหัวหน้ากองพืชสวน ( ม.จ. ลักษณากร เกษมสันต์ )
ได้เดินทางไปสำรวจหาแหล่งที่จะทำการปลูกและปรับปรุงชาที่อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่
ในที่สุดได้เลือกบริเวณโป่งน้ำร้อนเป็นที่ทดลองปลูกชา
โดยตั้งเป็นสถานีทดลองพืชสวนฝาง มีนายพ่วง สุวรรณธาดา
เป็นหัวหน้าสถานีระยะแรกเมล็ดพันธุ์ชาที่นำมาปลูก ได้ทำการเก็บมาจากท้องที่
ตำบลม่อนบิน และดอยขุนสวย ที่มีต้นชาป่าขึ้นอยู่
ต่อมามีการนำชาพันธุ์ดีจากประเทศอินเดีย ไต้หวัน และญี่ปุ่น มาทดลองปลูก
เพื่อทำการค้นคว้าและวิจัยต่อไป ในส่วนของกรมวิชาการเกษตรนั้น
ได้ขยายการศึกษาทดลองเกี่ยวกับชาออกไปยังสถานีเกษตรที่สูงหลายแห่ง เช่น
สถานีทดลองพืชสวนดอยมูเซอ จังหวัดตาก สถานีทดลองเกษตรที่สูงวาวี จังหวัดเชียงราย
และสถานีทดลองเกษตรที่สูงแม่จอนหลวง จังหวัดเชียงใหม่
ในปี พ.ศ. 2518 ฝ่ายรักษาความมั่นคงแห่งชาติ
ได้เริ่มโครงการปลูกชาในพื้นที่หมู่บ้านอพยพ 6 หมู่บ้าน คือ บ้านหนองอุ แกน้อย
แม่แอบ ถ้ำงอน ถ้ำเปรียงหลวง และแม่สลอง
โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลไต้หวัน
จัดส่งเมล็ดพันธุ์ชาลูกผสมมาให้ทดลองปลูกพร้อมทั้งส่งผู้เชี่ยวชาญมาถ่ายทอดเทคนิคการปลูกและการผลิตให้ด้วย
ต่อมาอีก 3 ปี มีการสร้างแปลงสาธิตการปลูกชาขึ้นที่บ้านแม่สลอง หนองอุ และแกน้อย
ในปี พ.ศ. 2525 จึงได้มีการจัดตั้งสหกรณ์ใบชาแม่สลอง อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย
ทำให้สมาชิกที่ปลูกใบชาได้รับความช่วยเหลือในด้านการเงิน และคำแนะนำด้านต่าง ๆ
ในปี พ.ศ. 2525 กองบริการอุตสาหกรรมภาคเหนือ กรมส่งเสริมอุตสาหกรรม
ร่วมกับศูนย์เพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย
ได้จัดทุนดูงานด้านอุตสาหกรรมชาแก่ผู้ประกอบกิจการชาจำนวน 12 คน ณ ประเทศไต้หวัน
และศรีลังกา เป็นเวลา 2 สัปดาห์ ต่อมาในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2526
ศูนย์เพิ่มผลผลิตแห่งเอเชีย ได้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญด้านชาจีนจากประเทศไต้หวัน 2 คน
คือ นายซูหยิงเลียน และนายจางเหลียนฟู
มาให้คำแนะนำด้านการทำสวนชาและเทคนิคการผลิตชาจีน เป็นเวลา 2 สัปดาห์
ในเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2527
ศูนย์เพิ่มผลผลิตแห่งเอเชียได้จัดส่งผู้เชี่ยวชาญสวนชาฝรั่งจากประเทศศรีลังกา คือ
นายเจซี รามานาเคน มาให้คำแนะนำและสาธิตเทคนิคการผลิตชาเป็นเวลา 3 สัปดาห์
ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 กรมวิชาการเกษตรได้ขอผู้เชี่ยวชาญจาก F.A.O.
มาสำรวจและศึกษาความเป็นไปได้ในการผลิตอุตสาหกรรมชา ซึ่งทาง F.A.O. ได้ส่ง
Dr.A.K.Aich ผู้เชี่ยวชาญชาฝรั่งจากประเทศอินเดีย เข้ามาศึกษาเป็นเวลา 1 เดือน
และมีการส่งนักวิชาการของกรมวิชาการเกษตร
ไปดูงานด้านการปลูกและการผลิตชาฝรั่งที่ประเทศอินเดีย
การวิจัยที่เกี่ยวข้องกับการปลูกและการผลิตชา
นอกจากกรมวิชาการเกษตรที่รับผิดชอบโดยตรงแล้ว ในส่วนของทบวงมหาวิทยาลัยนั้น ในปี
พ.ศ. 2520 งานเกษตรที่สูง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ โดยศาสตราจารย์ปวิน ปุณศรี
ได้ขอผู้เชี่ยวชาญจากสถานีทดลองชาไต้หวัน คือ Dr.Juan I-Ming
เข้าศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาอุตสาหกรรมชาของไทยเป็นระยะเวลา 3 เดือน
ในขณะเดียวกันทางคณะเกษตรศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดย ผศ.ดร.วิเชียร ภู่สว่าง
ก็ได้เริ่มงานศึกษาวิจัยทางด้านสรีรวิทยาการของชา ต่อมาในปี พ.ศ. 2530 สาขาไม้ผล
สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้
โดยการสนับสนุนงบประมาณวิจัยจากโครงการหลวงได้เริ่มโครงการวิจัยและพัฒนาชาขึ้น
มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทำการคัดเลือกปรับปรุงพันธุ์ชาจีน ศึกษาวิธีขยายพันธุ์
ผลิตต้นกล้าชาพันธุ์ดี
และปรับปรุงกระบวนการผลิตใบชาให้กับศูนย์พัฒนาโครงการหลวงต่าง ๆ ซึ่งอีก 3 ปีต่อมา
ม.จ.ภีศเดช รัชนี ผู้อำนวยการโครงการหลวง
ได้ทรงอนุมัติให้จัดตั้งสถานีวิจัยชาขึ้นที่บ้านห้วยน้ำขุ่น อำเภอแม่สรวย
จังหวัดเชียงราย ปัจจุบันทางสถานีได้ทำการผลิตต้นกล้าชาจีนพันธุ์ห้วยน้ำขุ่น เบอร์
3 ( HK.NO.3 ) ที่คัดเลือกจากแม่พันธุ์ชาจีนลูกผสมของไต้หวัน
เพื่อแจกจ่ายให้กับเกษตรกรในโครงการและหน่วยงานที่สนใจ
ในส่วนของกรมส่งเสริมการเกษตร ได้ทำการส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกชาตั้งแต่ปี
พ.ศ. 2533
โดยจัดทำแปลงขยายพันธุ์ชาพันธุ์ดีที่ศูนย์ส่งเสริมผลิตพันธุ์พืชสวนเชียงราย
จัดทำแปลงส่งเสริมการปลูกชาพันธุ์ดีเป็นสวนแก่เกษตรกร
และส่งเสริมการปรับปรุงสวนชาเก่า
พร้อมทั้งฝึกอบรมให้ความรู้เรื่องการปลูกและการผลิตชาแก่เกษตรกรผู้สนใจ
พร้อมทั้งจัดตั้งกลุ่มผู้ปลูกชา
และประสานงานด้านการตลาดระหว่างเกษตรกรและพ่อค้าผู้รับซื้อใบชาด้วย