สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
เศรษฐศาสตร์และการเมือง
อภิชัย พันธเสน
เศรษฐศาสตร์และการเมือง (Economics and Politics) หมายถึง
ความสัมพันธ์ระหว่างวิชาเศรษฐศาสตร์และการดำเนินการทางการเมือง
โดยที่วิชาเศรษฐศาสตร์หมายถึงวิชาที่ว่าด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจของมนุษย์ที่มีเป้าหมายที่ต้องการให้มนุษย์ในฐานะที่เป็นปัจเจกชนบรรลุซึ่งอรรถประโยชน์สูงสุด
หรือถ้าหากเป็นสังคมก็คือทำให้สังคมได้รับสวัสดิการสูงสุด
แต่ถ้าหากเป็นพุทธเศรษฐศาสตร์ก็จะมีเป้าหมายที่จะให้มนุษย์มีความ สงบสุข
ถ้าหากเป็นสังคมก็คือทำให้สังคมมีศานติสุข ส่วนการเมืองเป็นเรื่องของกระบวนการ
ที่พยายามดำเนินการให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยเฉพาะอย่างยิ่งอำนาจในการตัดสินใจ
หรือใช้อำนาจ ในการตัดสินใจเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุประสงค์ที่ต้องการ
การเมืองในที่นี้คือกระบวนการ
หรือกิจกรรมที่ต้องมีการลงมือกระทำไม่ใช่แนวคิดทางทฤษฎี
ดังนั้นเศรษฐศาสตร์และการเมือง
จึงเป็นการนำเอาความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ไปผสมกับกิจกรรมทางการเมือง เพื่อให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงตามแนวทางการวิเคราะห์ของวิชาเศรษฐศาสตร์
โดยไม่ปล่อยให้เกิดเป็นพลังขับเคลื่อนจนแนวคิดดังกล่าวเป็นความจริงในที่สุด
เพราะพลังดังกล่าวกว่าจะก่อตัวและขับเคลื่อนได้อาจจะต้องใช้เวลานานมาก
จนไม่ทันที่จะป้องกันหรือตั้งรับปัญหาที่เกิดขึ้นได้
ดังนั้นสิ่งที่ผมจะนำเสนอในวันนี้จึงมิใช่เศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์
(Economics and Political Science)
ถึงแม้จะมีความเกี่ยวพันกันอยู่บ้างและก็ไม่ใช่เศรษฐกิจการเมือง (Political
Economy) ผมได้ใช้คำว่า เศรษฐกิจการเมือง
โดยตั้งใจเพราะในประเทศไทยเราแปลว่าเศรษฐศาสตร์การเมือง แต่ผมเห็นว่า คำว่า Economy
ควรแปลว่าเศรษฐกิจมากกว่าเศรษฐศาสตร์
ที่ว่าไม่ใช่เศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์ก็เพราะไม่ได้เอาวิชาเศรษฐศาสตร์ไปผสมผสานกับ
วิชารัฐศาสตร์ ซึ่งผมมีความรู้อยู่ไม่มากและก็ไม่ได้กล่าวถึงเศรษฐกิจการเมือง
ซึ่งเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่มีผลต่อกิจกรรมหรือความสัมพันธ์ทางการเมือง
หรือในทางกลับกัน ดังนั้นตรงนี้จึงขอให้
ท่านผู้ฟังได้แยกแยะระหว่างคำจำกัดความที่ฟังดูแล้วเหมือนจะมีความหมายใกล้เคียงกัน
ให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจน
สิ่งที่ผมจงใจจะอภิปรายในประเด็นที่ผมเรียกว่า
เศรษฐศาสตร์และการเมืองนั้น
ก็เพราะเห็นว่านักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ถึงแม้บางครั้งจะได้มีประสบการณ์ที่เกิดจากปฏิบัติจริง
แต่มีความรู้ความเข้าใจในฐานะเป็นวิชาการแขนงหนึ่งที่นักเศรษฐศาสตร์ควรจะมีความรู้
และมีความเข้าใจน้อยมากในอดีตที่ผ่านมาในฐานะที่เป็นตัวเนื้อหาทางวิชาการที่ไม่รวมเอาเรื่อง
การปฏิบัติจริง
ทั้งนี้เพราะในอดีตนักเศรษฐศาสตร์ถูกสอนให้มีความทะนงตัวว่าเป็นนักวิชาการบริสุทธิ์
หรือเป็นมืออาชีพที่มีหน้าที่ในการนำเอาความรู้หรือหลักการที่วิเคราะห์ได้จากการนำทฤษฎีเศรษฐศาสตร์มาวิเคราะห์หาความสัมพันธ์ในเชิงทฤษฎีในลักษณะที่เป็นตรรกะ
ทางคณิตศาสตร์ หรือนำเอาหลักฐานเชิงประจักษ์ (empirical evidence)
มาใช้ประกอบเป็นทฤษฏีหรือความเชื่อเพื่อนำไปเป็นข้อเสนอให้นักการเมืองใช้เพื่อการตัดสินใจ
นักเศรษฐศาสตร์ถูกสอนว่าไม่ควรจะยุ่งกับนักการเมือง
การตัดสินเป็นเรื่องของนักการเมืองที่จะต้องทำหน้าที่ในฐานะผู้ที่ได้รับมอบอำนาจจากประชาชนให้มีหน้าที่
ในการตัดสินใจ
โดยที่นักเศรษฐศาสตร์มีสถานะภาพเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ไม่ได้รับอำนาจหน้าที่
ให้ทำเช่นนั้น ส่วนการตัดสินใจของนักการเมืองนั้นมีความหมายต่อไปอีกว่า
การตัดสินใจดังกล่าวก็ควรจะเป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่
เพราะในที่สุดนักการเมืองได้รับการเลือกมาจากประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ
นักการเมืองจึงจะต้องนึกถึงผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่
เพื่อใช้ประกอบในการตัดสินใจ
ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนี้นักเศรษฐศาสตร์ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องห่วงใยการทำหน้าที่ของนักการเมือง
เพราะการคำนึงถึงผลประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่ อยู่แล้ว
ถึงแม้จะใช้คำที่ต่างกันของนักเศรษฐศาสตร์ที่เรียกว่าสวัสดิการของสังคมสูงที่สุดนั้น
ก็น่าจะมีความหมายใกล้เคียงกับคำว่าผลประโยชน์สูงสุดของประชาชนเป็นส่วนใหญ่
ทั้งหมดนี้เป็นความจริงเมื่อวิเคราะห์จากหลักตรรกะที่เกิดจากระบบคิด
แต่ทุกอย่างในโลกนี้มิได้เป็นไป
ตามตรรกะโดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับจิตและพฤติกรรมของมนุษย์
ปัญหาจริงๆ มิใช่เกิดจากการที่มนุษย์ไม่มีตรรกะหรือวิธีคิดที่เป็นระบบ
แต่ในความเป็นจริงมีปัจจัยมากมายที่เกี่ยวข้อง
ที่เราไม่อาจเข้าใจหรือทราบได้ทั้งหมด นอกจากนั้นความสัมพันธ์ของปัจจัยต่างๆ
ก็อาจจะ ไม่เป็นไปตามตรรกะตามที่มนุษย์คิด
และที่สำคัญที่สุดซึ่งอาจจะไม่เป็นประเด็นท้ายที่สุดก็คือ
ความจำกัดในความเข้าใจหรือสมองของมนุษย์แต่ละคนมีความแตกต่างกันและไม่สามารถ
สร้างแบบจำลองที่เป็นต้นแบบ (prototype) มาอธิบายการตัดสินใจของมนุษย์ได้
อย่างดีที่สุด ก็อาจจะนำเอาปัจจัยที่สำคัญบางตัวมาประกอบการพิจารณา
เป็นต้นว่าผลประโยชน์ส่วนตัวและพวกพ้องของผู้ที่ตัดสินใจ
ผลประโยชน์เฉพาะหน้าเมื่อเปรียบเทียบกับผลประโยชน์ในระยะยาวของผู้ที่ตัดสินใจ
หรือผลประโยชน์ทางการเมืองของผู้ที่ตัดสินใจเทียบกับผลประโยชน์อื่นๆ
ซึ่งปัจจัยเหล่านี้อาจจะเป็นปัจจัยที่สำคัญแต่ก็คงไม่สามารถครอบคลุมปัจจัยทุกปัจจัยที่เข้ามาอยู่
ในความคิดคำนึงของนักการเมืองที่นำมาใช้ในการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ แต่ละเรื่อง
คำอธิบายที่นำเสนอมาทั้งหมดนี้มีวัตถุประสงค์เพียงประการเดียว
คือต้องการชี้ให้เห็นว่าเพราะเหตุใดความคิดเห็นดีๆ
ของนักเศรษฐศาสตร์ที่มีการนำเสนอในที่สาธารณะหรือแม้แต่
ได้นำเสนอต่อนักการเมืองโดยตรงเพื่อนำไปสู่การตัดสินใจ
กลับไม่มีผลอย่างที่นักเศรษฐศาสตร์คาดหวัง
พร้อมกับข้อเสนอดังกล่าวนั้นได้หายไปกับสายลม
เมื่อปัญหาเป็นเช่นนี้จึงมีคำถามต่อมาว่านักเศรษฐศาสตร์ควรจะต้องทำอย่างไรบ้าง
เพื่อให้ข้อเสนอของนักเศรษฐศาสตร์มีผลต่อการตัดสินใจทางการเมืองอย่างแท้จริง
การศึกษาเรื่องนี้มีงานทางวิชาโดยนักเศรษฐศาสตร์เป็นจำนวนมากที่สนใจที่จะตอบคำถามนี้
ในคณะเศรษฐศาสตร์ก็มีปริญญานิพนธ์ของ ดร. พงษ์ธร วราสัย
ที่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Erasmus ประเทศเนเธอร์แลนด์ ได้ศึกษาเรื่องนี้
สิ่งที่ผมจะบรรยายในวันนี้คงมิได้มีลักษณะเป็นวิชาการลึกซึ้งมากเท่ากับงานเขียนดังกล่าวของอาจารย์พงษ์ธร
ด้วยเหตุผลสำคัญว่าเราไม่อาจแน่ใจว่าปัจจัย
ที่นักเศรษฐศาสตร์เห็นว่านักการเมืองควรนำมาเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินใจประกอบกับตรรกะในทางคณิตศาสตร์ดังกล่าวนั้นสามารถใช้ได้จริงหรือไม่
เพราะข้อจำกัดอย่างที่ได้กล่าวมาแล้ว สามประการ
นอกจากนั้นในเรื่องการตัดสินใจยังมีประเด็นในเรื่องจังหวะและโอกาส ซึ่งก็ได้
กลายมาเป็นปัจจัยหนึ่งที่มีผลที่อาจจะช่วยให้นักการเมืองตัดสินใจในแนวทางที่นักเศรษฐศาสตร์
พึงประสงค์หรือไม่ จากลักษณะของเรื่องที่จะต้องนำมาพิจารณาประกอบมากมายดังกล่าว
จึงเป็นประเด็นที่นักเศรษฐศาสตร์ควรจะต้องมีความรู้ในเรื่องเหล่านี้บ้างพอสมควรประกอบกับประสบการณ์ในตัวของนักเศรษฐศาสตร์เอง
ในส่วนที่เป็นความรู้นั้นอาจจะมีสื่อที่จะช่วยให้เกิดความรู้ดังกล่าวได้มากมาย
แต่ส่วน ที่เป็นประสบการณ์นั้นเป็นส่วนที่ไม่สามารถถ่ายทอดกันได้โดยตรง
แต่สามารถนำเสนอในรูปของ ความรู้ ผ่านกรณีศึกษา
ซึ่งเป็นประเด็นที่ผมสนใจจะแลกเปลี่ยนกับผู้ฟังในวันนี้ แต่ที่สำคัญ
เป็นเบื้องต้น
ตัวนักเศรษฐศาสตร์เองจะต้องเริ่มเข้าใจตั้งแต่ต้นว่าถ้าหากต้องการจะให้ความคิด
ที่ตนเองคิดว่าเป็นความคิดที่ดีผ่านกระบวนการตัดสินใจเป็นนโยบาย
ซึ่งนำไปสู่การปฏิบัติต่อไปและเป็นจริงได้
นอกจากความรู้ในวิชาเศรษฐศาสตร์ที่ได้ร่ำเรียนมาโดยตรงแล้ว จะต้องมีความรู้
ความเข้าใจ ตลอดจนมีความสามารถในการแสวงหาโอกาสและเวลาที่เหมาะสมด้วย แต่ถ้าหาก
นักเศรษฐศาสตร์มีความรู้ถึงขั้นนั้นแล้วจะเปลี่ยนใจไปเป็นนักการเมืองเองเสียเลย
แทนที่จะเป็น
ครูสอนวิชาเศรษฐศาสตร์ก็ย่อมเป็นดุลพินิจของนักเศรษฐศาสตร์ผู้นั้นเอง
ซึ่งก็มีอดีตอาจารย์ หลายคนในคณะนี้เป็นตัวอย่างให้เห็นรวมทั้ง ฯพณฯ
นายกรัฐมนตรีคนที่ 27 ในปัจจุบัน
ในทางตรงกันข้ามระยะเวลาที่ผ่านมาได้พิสูจน์แล้วว่านักเศรษฐศาสตร์ที่ไม่มีความรู้เรื่องการเมืองเลยย่อมไม่มีโอกาสที่จะช่วยให้ความรู้ดีๆ
เหล่านั้นมีผลออกมาเป็นรูปนโยบายและนำไปสู่ การปฏิบัติได้
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบสารสนเทศที่มีความก้าวหน้ามาก แต่ขณะเดียวกัน ก็มี
เสียง (noise)
รบกวนเกิดขึ้นมากมายที่ทำให้ผู้ที่ได้ยินแต่ไม่ได้ตั้งใจฟังไม่สามารถจับประเด็นได้
เนื่องจากคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
มีประวัติอันยาวนานในการมี ส่วนร่วมในการเมืองของไทย
จึงมีความอุดมสมบูรณ์ไปด้วย กรณีตัวอย่าง ที่คณะเศรษฐศาสตร์
ของมหาวิทยาลัยอื่นๆ ไม่มีหรือมีก็ไม่มากเท่า จึงน่าเสียดายหากไม่มีการนำ
กรณีศึกษา เหล่านี้ มารื้อฟื้นเพื่อให้เกิดเป็น ความรู้
อันจะช่วยให้เกิดมีการนำเอาความรู้ที่ได้ในฐานะที่เป็น มืออาชีพ
ไปสู่นโยบายทางการเมืองที่มีการตัดสินและนำไปปฏิบัติให้บังเกิดผลอย่างแท้จริง