ความรู้ทั่วไป สารนิเทศ การศึกษา คอมพิวเตอร์ >>
กฎหมายไทย - พระราชบัญญัติ
พระราชบัญญัติ กำหนดวิธีปฏิบัติแก่บุคคลซึ่งเผยแพร่ข่าวอันเป็นการ ทำให้เสียสัมพันธไมตรี ระหว่างประเทศไทยกับประเทศ ที่มีสนธิสัญญาทางไมตรีกับประเทศไทยในภาวะสงคราม พุทธศักราช 2488
ในพระปรมาภิไธยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล
ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์
(ตามประกาศประธานสภาผู้แทนราษฎร ลงวันที่ 1 สิงหาคม พุทธศักราช 2487) ปรีดี พนมยงค์
ตราไว้ ณ วันที่ 11 สิงหาคม พุทธศักราช 2488
เป็นปีที่ 12 ในรัชกาลปัจจุบัน
โดยที่สภาผู้แทนราษฎรลงมติว่า สมควรมีกฎหมายกำหนดวิธีปฏิบัติแก่ บุคคลซึ่งเผยแพร่ข่าวอันเป็นการทำให้เสียสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับ ประเทศที่มีสนธิสัญญาทางไมตรีกับประเทศไทยในภาวะสงคราม จึงมีพระบรมราชโองการให้ตราพระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยคำแนะนำ และยินยอมของสภาผู้แทนราษฎร ดังต่อไปนี้ มาตรา 1 พระราชบัญญัตินี้ให้เรียกว่า พระราชบัญญัติกำหนด วิธีปฏิบัติแก่บุคคลซึ่งเผยแพร่ข่าวอันเป็นการทำให้เสียสัมพันธไมตรีระหว่าง ประเทศไทยกับประเทศที่มีสนธิสัญญาทางไมตรีกับประเทศไทยในภาวะสงคราม พุทธศักราช 2488 มาตรา 2 พระราชบัญญัตินี้ให้ใช้บังคับได้ตั้งแต่วันประกาศใน ราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป [รก.2488/43/497/14 สิงหาคม 2488] มาตรา 3 เมื่อมีหลักฐานอันควรเชื่อได้ว่า ได้มีผู้กระทำการ เผยแพร่ข่าวไม่ว่าโดยวิธีใด ๆ อันอาจทำให้เสียสัมพันธไมตรีระหว่างประเทศไทย กับประเทศที่มีสนธิสัญญาทางไมตรีกับประเทศไทย หรืออาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด ในเจตน์จำนงของรัฐบาลอันมีต่อประเทศซึ่งมีสนธิสัญญาทางไมตรีกับประเทศไทย
ให้เจ้าพนักงานตำรวจหรือสารวัตรทหารรายงานพฤติการณ์และระบุผู้ถูกกล่าวหา ไปยังรัฐบาล เพื่อจัดการแก่บุคคลนั้น มาตรา 4 เมื่อรัฐบาลได้รับรายงานดังกล่าวในมาตรา 3 รัฐบาล จะได้ส่งเรื่องให้คณะกรรมการซึ่งตั้งขึ้นตามความในพระราชบัญญัตินี้พิจาร ณา และ เพื่อป้องกันมิให้เผยแพร่ข่าวต่อไป ก็ให้เจ้าพนักงานตำรวจหรือสารวัตรมีอำนาจ จับกุมและควบคุมบุคคลนั้นก่อน มาตรา 5 ให้มีคณะกรรมการคณะหนึ่ง ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้แต่งตั้งขึ้น เพื่อปฏิบัติการตามความในพระราชบัญญัตินี้ ประกอบด้วยประธาน กรรมการหนึ่งนายและกรรมการอื่นอีกสี่นาย มาตรา 6 เมื่อคณะกรรมการได้รับเรื่องจากรัฐบาลแล้ว ถ้าพิจารณา ได้ความว่าบุคคลใดกระทำการเผยแพร่ข่าวดังกล่าวในมาตรา 3 ให้คณะกรรมการ มีอำนาจสั่งกักคุมผู้ถูกกล่าวหาไว้มีกำหนดระยะเวลาตามที่เห็นสมควร แต่ไม่ว่า
ในกรณีใด ๆ ระยะเวลานั้นให้สิ้นสุดลงในเมื่อได้มีประกาศหรือกฎหมายแสดงว่า ภาวะสงครามได้สิ้นสุดลงแล้ว ในการวินิจฉัยสั่งของคณะกรรมการตามความในวรรคก่อนให้ คณะกรรมการมีอำนาจออกหมายเรียกพยานหลักฐานและบังคับให้พยานสาบานหรือ ปฏิญาณได้ตามกฎหมายว่าด้วยวิธีพิจารณาความ และให้คณะกรรมการให้โอกาส แก่ผู้ถูกกล่าวหาทราบข้อหาและยื่นคำให้การ ให้คณะกรรมการมีอำนาจสั่งให้คว บคุมผู้ถูกกล่าวหาไว้ในระหว่าง การพิจารณาของคณะกรรมการได้ มาตรา 7 ผู้ที่อยู่ในระหว่างควบคุมหรือกักคุมตามความในพระราช บัญญัตินี้ให้ถือว่า เป็นผู้อยู่ในระหว่างคุมขังโดยชอบด้วยกฎหมายตามกฎหมายลักษณะ อาญา มาตรา 8 เมื่อมีเหตุอันสมควร คณะกรรมการจะเพิกถอนคำสั่งให้ กักคุมที่ได้สั่งไปแล้วเสียก็ได้ ผู้ที่ถูกคณะกรรมการสั่งกักคุมไว้จะร้องขอให้คณะกรรมการพิจารณา เรื่องของตนใหม่ โดยอ้างหลักฐานซึ่งได้มาภายหลังการพิจารณาแล้วก็ได้
มาตรา 9 ผู้ใดขัดขืนไม่มาให้การต่อคณะกรรมการตามหมายเรียก หรือขัดขืนไม่สาบานหรือปฏิญาณตามคำสั่งของคณะกรรมการ หรือขัดขืนไม่นำส่ง หนังสือหรือทรัพย์อย่างใด ๆ ที่คณะกรรมการเรียกให้นำมาแสดงต่อคณะกรรมการ มีความผิดต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าร้อยบาท หรือจำคุกไม่เกินห้าปี หรือ ทั้งปรับทั้งจำ มาตรา 10 ผู้ใดเอาความที่ตนรู้ว่าเป็นความเท็จมาให้การใน ข้อสำคัญต่อคณะกรรมการ มีความผิดต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนขึ้นไป ถึงห้าปี และปรับตั้งแต่ร้อยบาทขึ้นไปถึงพันบาท มาตรา 11 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยรักษาการตาม พระราชบัญญัตินี้ และให้มีอำนาจออกกฎกระทรวงเพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ กฎกระทรวงนั้น เมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วให้ใช้ บังคับได้
ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ
ควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรี