ความรู้ทั่วไป สารนิเทศ การศึกษา คอมพิวเตอร์ >>
พระสารีบุตร
เป็นชื่อพระมหาเถรรูปหนึ่ง ผู้เป็นอัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า คู่กับพระโมคคัลลานะ ผู้เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย ทั้งสองท่านต่างเกิดในตระกูลพราหมณ์ ที่มีฐานะเท่าเทียมกัน อยู่ในหมู่บ้านใกล้กัน และเป็นสหายกันมา ตั้งแต่ยังเป็นเด็ก เพราะคนในตระกูลของท่านทั้งสอง มีความผูกพันฉันมิตรกันมา ถึงเจ็ดชั่วอายุคน
พระสารีบุตร เดิมมีชื่อว่า อุปติสสะ บิดาชื่อ วังคันตา มารดาชื่อ สารี บิดาของท่านมีตำแหน่งเป็นผู้ใหญ่บ้าน อุปติสสคาม (ชื่อที่รู้จักกันดีคือ นาลกคาม หรือนาลันทา) อยู่ไม่ห่างจากกรุงราชคฤห์ ส่วนพระโมคคัลลานะ มีชื่อเดิมว่า โลโกลิตะ
ทั้งสองท่านไปเที่ยวดูมหรสพ ในกรุงราชคฤห์ เป็นประจำ อยู่มาวันหนึ่งสองสหายไปดูมหรสพเหมือนวันก่อน ๆ แต่ไม่เกิดความสนุกสนาน ร่าเริง เช่นที่เคย เพราะต่างพิจารณาเห็นตรงกันว่า ควรเลิกเที่ยวดูการเล่น ที่ไร้สาระนี้ ควรแสวงหาสิ่งที่มีสาระ มีประโยชน์แก่ชีวิตดีกว่า จึงพากันไปบวชในสำนักลัทธิปริพาชก ของสัญชัย ผู้ได้รับยกย่องเป็นครูคนหนึ่ง ในจำนวนครูหกคน
เมื่อบวชเป็นปริพาชกแล้ว ท่านทั้งสองได้ศึกษาจนจบความรู้อาจารย์ และได้รับมอบหมายให้ช่วยสอนศิษย์คนอื่น ๆ ในสำนักต่อไป แต่ท่านทั้งสองยังไม่พอใจ ในความรู้เพียงเท่านั้น จึงตกลงกันว่า จะออกแสวงหาโมกขธรรมต่อไป และนัดหมายกันว่า ใครได้พบโมกขธรรมก่อน ให้มาบอกกัน
ในช่วงเวลานั้น พระพุทธเจ้าเสด็จมาประกาศพระศาสนา ในกรุงราชคฤห์ ประทับอยู่ ณ พระเวฬุวัน วันหนึ่ง พระอัสสชิเถระ ซึ่งเป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ในพระปัญจวัคคีย์ ออกบิณฑบาตในกรุงราชคฤห์ อุปติสสะได้พบเห็นก็เกิดความเลื่อมใส ในจริยาวัตรของท่าน จึงเดินตามท่านไป หลังจากท่านฉันอาหารเสร็จแล้ว อุปติสสะจึงเข้าไปถามท่านว่า ใครเป็นศาสดาของท่าน ท่านบวชในสำนักของใคร ท่านชอบใจธรรมของใคร พระอัสสชิเถระตอบว่า พระสมณโคดม เป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบใจในธรรมของพระสมณโคดม อุปติสสะถามต่อไปว่า พระสมณโคดม สอนว่าอย่างไร
พระเถระตอบว่า ท่านบวชได้ไม่นานจึงไม่สามารถกล่าวถึงคำสอนของพระศาสดา ให้พิสดารได้ อุปติสสะได้ขอให้ท่านแสดง แต่ใจความเท่านั้น พระเถระจึงกล่าวเนื้อความโดยย่อว่า "ธรรมเหล่าใด เกิดจากเหตุ พระตถาคตได้แสดงเหตุเหล่านั้น และทรงแสดงความดับแห่งธรรมเหล่านั้นไว้ พระศาสดาทรงสอนอย่างนี้"
เมื่อพระเถระ กล่าวจบ อุปติสสะเกิดความเข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นว่า "สิ่งใดมีการเกิดขึ้น สิ่งนั้นทั้งหมดย่อมมีการดับไป เป็นธรรมดา" อุปติสสะก็ได้ดวงตาเห็นธรรม คือ บรรลุเป็นพระโสดาบัน
อุปติสสะ กราบลาพระเถระกลับไปหาโกลิตะ และเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง พร้อมทั้งแสดงธรรมที่พระเถระแสดงให้ฟัง โกลิตะก็ได้บรรลุเป็น พระโสดาบัน
อุปติสสะ และโกลิตะ พากันไปหาสัญชัย เล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง มีใจความว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้อุบัติขึ้นแล้ว พวกตนจะไปบวชในสำนักของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์นั้น และชวน สัญชัยไปบวชด้วยกัน แต่สัญชัยตอบปฎิเสธ และถามว่า ในโลกนี้ คนฉลาดกับคนโง่ อย่างไหนมีมากกว่ากัน เมื่อสองสหายตอบว่า คนโง่มีมากกว่า สัญชัยจึงกล่าวว่า ขอให้คนโง่มาอยู่กับเรา ขอให้คนฉลาดไปอยู่กับพระสมณโคดม เถิด
อุปติสสะ และโกลิตะ ก็อำลาสัญชัยไปเฝ้าพระพุทธเจ้า พร้อมเพื่อนปริพาชกห้าร้อยคน ขณะนั้น พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมอยู่ เมื่อทอดพระเนตรเห็นสองสหาย นำบริวารมาแต่ไกล จึงรับสั่งกับภิกษุทั้งหลายว่า คู่อัครสาวกของพระองค์กำลังมา
เมื่ออุปติสสะ และโกลิตะ พร้อมด้วยบริวารมาถึงที่ประทับ ถวายอภิวาทแล้ว นั่งฟังพระธรรมเทศนา เมื่อพระพุทธเจ้าแสดงพระธรรมเทศนาจบ บริวารทั้งห้าร้อยคน ได้บรรลุเป็นพระอรหันต์ ส่วนอุปติสสะ และโกลิตะ ไม่ได้บรรลุธรรมสูงขึ้นกว่าเดิม ทั้งหมดทูลขอบวช พระพุทธองค์ก็ทรงบวชให้ด้วยวิธี เอหิภิกขุอุปสัมปทา พระพุทธองค์ทรงเรียกอุปติสสะว่า สารีบุตร และเรียกโกลิตะว่า โมคคัลลานะ ตามชื่อมารดา
หลังจากบวชแล้วเจ็ดวัน พระโมคคัลลานะ ที่บรรลุอรหัตผล ส่วนพระสารีบุตร หลังจากบวชได้สิบห้าวัน จึงบรรลุอรหัตผล
หลังจากได้สำเร็จพระอรหันต์แล้ว ปรากฎว่าพระสารีบุตร เป็นผู้มีปัญญาเป็นเลิศทั้งสอง ต่างเป็นกำลังสำคัญในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา เคียงข้างพระบรมศาสดา พระพุทธองค์ทรงแต่งตั้งให้พระสารีบุตร เป็นอัครสาวกเบื้องขวา พระโมคคัลลานะ เป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย นอกจากนี้ พระสารีบุตรยังได้รับยกย่องเป็น ธรรมเสนาบดี คู่กับ พระบรมศาสดา ผู้เป็นพระธรรมราชา
ผลงานสำคัญที่สุด ที่เป็นต้นแบบของการทำสังคายนาพระธรรมวินัย ในสมัยต่อมาคือ การริเริ่มร้อยเรียงพระธรรม ที่พระบรมศาสดาตรัสสอนไว้ ในที่ต่าง ๆ เข้าเป็นหมวดหมู่ ตามลำดับจำนวนตั้งแต่หมวดธรรมหนึ่งข้อ ไปจนถึงหมวดธรรมสิบข้อ หรือเกินสิบข้อ ดังปรากฎในสังคัติสูตร และทสุตตรสูตร (พระไตรปิฎก เล่มที่ 11)
พระสารีบุตร ได้พรรณาพระคุณของพระพุทธเจ้า ที่มีต่อท่านไว้อย่างละเอียดพิสดาร ดังปรากฎใน สัมปสาทนียสูตร (ทิ ปา .แปล)
ก่อนที่พระสารีบุตร จะปรินิพพานเจ็ดวัน ท่านได้ไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ณ พระเชตวัน แล้วทูลลาไปปรินิพพานที่บ้านเกิดคือ ที่เมืองนาลันทา ก่อนปรินิพพานท่านได้เทศน์โปรดมารดา ให้บรรลุพระโสดาบัน ได้สำเร็จ
>>> กลับหน้าหลัก สารานุกรมไทย >>>