เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>
ฝนหลวง
» พระราชกรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับฝนหลวง
» กลยุทธการพัฒนาโครงการพระราชดำริฝนหลวง
» ความเป็นมาของโครงการพระราชดำริฝนหลวง
พระราชกรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับฝนหลวง
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นผู้มีพระราชดำริให้ทำฝนหลวงขึ้นในประเทศไทยเป็นครั้งแรก
และทรงสนับสนุนงานด้านนี้มาตั้งแต่ต้น
โดยทรงติดตามการปฏิบัติงานทดลองอย่างใกล้ชิดมาทุกระยะ เมื่อทรงทราบว่า
คณะปฏิบัติการฝนหลวงประสบปัญหาบางประการ ก็มีพระกรุณาพระราชทานข้อคิดเห็น
ที่จะขจัดปัญหา และอุปสรรคต่างๆ เช่น ทรงพระราชทานคำแนะนำ ให้ไปทดลองที่หัวหิน
เป็นประจำทุกเดือน เพื่อหาข้อมูล ในการทำฝนหลวงให้ได้ตลอดปี
ทรงแนะนำฝึกฝนนักวิชาการให้ สามารถวางแผนปฏิบัติการอย่างเหมาะสม
กับสภาพภูมิอากาศของแต่ละท้องถิ่น
บางทีพระองค์ก็ทรงทดลองและควบคุมบัญชาการทำฝนหลวงด้วยพระองค์เอง
ก่อนจะทำฝนหลวงแต่ละครั้งจะทรงเตือนให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบสภาพอากาศล่วงหน้า
เพื่อป้องกันมิให้ก่อความเสียหาย แก่พืชผล และทรัพย์สินของราษฏร
ทรงให้เร่งปฏิบัติการเมื่อสภาพอากาศอำนวยเพื่อจะได้ปริมาณน้ำฝนมากยิ่งขึ้น
ทรงแนะนำให้ระวังสารฝนหลวงบางอย่างซึ่งจะเกิดอันตรายแก่ผู้ใช้
พระราชกรณียกิจเกี่ยวกับฝนหลวงของพระองค์ มีเป็นอันมาก จะขอยกตัวอย่างให้ทราบดังนี้
เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2512ทรงพระกรุณาเสด็จฯ พร้อมด้วยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ
ไปทอดพระเนตรการทดลองทำฝนหลวงของคณะเจ้าหน้าที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ที่สนามบินบ่อฝ้าย อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ซึ่งเป็นการปฏิบัติการครั้งที่ 5
พร้อมกับได้พระราชทานพระบรมราโชวาทให้คณะปฏิบัติการฯ พยายามอดทนต่อความยากลำบาก
เพราะเป็นงานที่มีความสำคัญยิ่งในการ ช่วยให้ประชาชน
คลายความเดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ
ทรงแนะนำให้ศึกษาข้อมูลและปัจจัยที่เกี่ยวข้องทางภาคพื้นดินให้มากยิ่งขึ้น เช่น
แผนภูมิ ความชื้นสัมพัทธ์ ทางภาคพื้นดินในอาณาบริเวณนั้น
การสร้างเปอร์เซ็นต์ความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศตอนใกล้พื้นดินให้สูงขึ้น
พร้อมกับทรงสาธิตให้คณะเจ้าหน้าที่ดูวิธีการสร้างความชื้นสัมพัทธ์โดยโปรดเกล้าฯ
ให้รถดับเพลิงของพระราชวังไกลกังวลมาพ่นละอองน้ำให้เป็นฝอยขึ้นในอากาศ แล้วเสด็จฯ
เข้าไปในละอองน้ำที่ฉีด
เพื่อนำเครื่องมือเข้าไปวัดความชื้นโดยไม่หวั่นว่าพระวรกายจะเปียกเปื้อนแต่ประการใด
ปรากฏว่าสามารถสร้างความชื้นสัมพัทธ์ได้ตามที่ทรงรับสั่ง
นอกจากนั้นยังทรงแนะนำว่าควร
เพิ่มหน่วยสังเกตการณ์ภาคพื้นดินเพื่อจะได้ศึกษาปริมาณน้ำฝนตามจุดต่างๆ
และได้ข้อมูลอื่นๆ ละเอียดยิ่งขึ้น
ในการเสด็จทอดพระเนตรครั้งนี้ ได้ทรงพระกรุณาพระราชทานพระบรมราโชวาท ซึ่งคณะปฏิบัติการทดลองในครั้งนั้น น้อมเกล้าน้อมกระหม่อม จดจำไว้เปรียบเสมือนเป็นพระบรมราโชวาท และได้ปฏิบัติตามสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้ พอสรุปได้ดังนี้
- การวิจัยและค้นคว้าทดลองเป็นสิ่งสำคัญต้องดำเนินการต่อเนื่องไปไม่มีที่สิ้นสุด
- อย่าสนใจต่อข้อวิพากษ์วิจารณ์ที่ก่อให้เกิดความท้อแท้ใจให้มุ่งมั่นพัฒนาต่อไป
- ให้บันทึกรวบรวมไว้เป็นตำรา
เมื่อวันที่ 26 เมษายน 2514
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปที่สนามบินบ่อฝ้าย อำเภอหัวหิน
เพื่อทอดพระเนตรการทดลองทำฝนหลวง
พร้อมกับพระราชทานปีกเครื่องหมายฝนหลวงแก่คณะเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน
และทรงประกอบพิธีเจิมเครื่องบินทำฝนหลวงลำใหม่
ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้รับงบประมาณให้จัดซื้อสำหรับใช้ทำฝนหลวงเป็นลำแรก
เพื่อเป็นกำลังใจแก่เจ้าหน้าที่ผู้ต้องปฏิบัติงานเสี่ยงอันตราย
ในโอกาสนี้ได้โปรดเกล้าฯ ให้คณะเจ้าหน้าที่จากประเทศออสเตรเลีย 3 นาย
ซึ่งตามเสด็จไป ชมการทดลองทำฝนหลวงในครั้งนี้ได้เข้าเฝ้าฯ
และทรงมีพระราชปฏิสันถารแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับการทำฝนหลวงกับผู้เข้าเฝ้าฯ
อย่างใกล้ชิดโดยไม่ถือพระองค์ ทั้งนี้ทำให้ชาวต่างประเทศทั้ง 3 นาย
ต่างรู้สึกซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ พร้อมกับชมว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระปรีชาชาญในเรื่องฝนหลวงอย่างยิ่ง
เมื่อวันที่ 19 ตุลาคม 2515
ทรงควบคุมบัญชาการทดลองทำฝนหลวงสาธิตให้คณะผู้แทนรัฐบาลสิงค์โปร์รวม 3 นาย
ชมที่บริเวณอ่างเก็บน้ำแก่งกระจาน จ.เพชรบุรี ด้วยความมั่นพระทัยว่า
จะสามารถทำให้ฝนตกในอ่างเก็บน้ำดังกล่าวได้
การที่ทรงเลือกอ่างเก็บน้ำดังกล่าวเป็นเป้าหมาย
เนื่องจากมีสภาพภูมิประเทศและภูมิอากาศใกล้เคียงกับประเทศสิงค์โปร์
เพื่อคณะผู้แทนสิงค์โปร์อาจนำวิธีการไปปฏิบัติได้ อ่างเก็บน้ำแก่งกระจานนี้
นับเป็นเป้าหมายปฏิบัติการที่เล็กที่สุด
ยากที่จะทำให้ฝนตกตรงเป้าหมายอันมีเนื้อที่จำกัดได้
การทดลองครั้งนี้ได้ใช้เครื่องบินของกองบินตำรวจร่วมกับเครื่องบินของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
และตั้งฐานปฏิบัติการที่ สนามบินบ่อฝ้าย อำเภอหัวหิน
โดยพระองค์ทรงควบคุมบัญชาการด้วยวิทยุของพระองค์เองจากแก่งกระจาน
ด้วยพระปรีชาสามารถทำให้ฝนตกลงอ่างเก็บน้ำพอดี ภายในเวลาเพียง 5 ชั่วโมง
เป็นที่ตื่นเต้นและประทับใจของผู้แทนสิงค์โปร์เป็นอย่างยิ่ง
ระหว่างวันที่
15 - 29 พฤศจิกายน 2515
ทรงวางแผนปฏิบัติการและบัญชาการทำฝนหลวงด้วยพระองค์เองจากพระตำหนักจิตรลดาฯ
โดยทางวิทยุตำรวจ เพื่อเพิ่มปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพล จังหวัดตาก
ให้มากขึ้นในช่วงท้ายฤดูฝน ซึ่งไม่มีตัวการหรือดีเปรสชั่นที่จะทำให้เกิดฝนตก
แต่สภาพภูมิอากาศที่เขื่อนภูมิพลขณะนั้นยังมีความชื้นสัมพัทธ์พอจะอำนวยให้ปฏิบัติการทำฝนหลวงได้
ปรากฏว่าในช่วงเวลาที่ทรงปฏิบัติการนั้น
ตามสถิติของเขื่อนภูมิพลปริมาณน้ำในอ่างกำลังเริ่มลดระดับลงเรื่อยๆ
เนื่องจากปริมาณฝนธรรมชาติเริ่มน้อยลงตามลำดับ
การปฏิบัติการครั้งนี้ใช้เครื่องบินของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์
ตั้งฐานปฏิบัติการที่สนามบินของเขื่อน
ทำให้ฝนตกลงสู่ผิวน้ำและลุ่มรับน้ำของเขื่อนทุกวันคิดเป็นปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นในอ่างถึง
620 ล้านลูกบาศก์เมตร และระดับน้ำสูงขึ้นจากเดิมถึง 150 เซนติเมตร
แทนที่จะลดลงตามสถิติดังเช่นทุกปีมา
ปริมาณน้ำที่เพิ่มขึ้นนี้เมื่อใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าแล้วจะเป็นมูลค่าไม่น้อย
ระหว่างวันที่ 13 กรกฎาคม ถึง 26 สิงหาคม 2517 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
พระราชทานฝนหลวงพิเศษ โดยทรงปฏิบัติการร่วมกับ คณะปฏิบัติการฝนหลวง
ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
เนื่องจากเกิดภาวะฝนแล้งหรือฝนทิ้งช่วงระยะยาวใน 16 จังหวัด
ราษฎรขาดแคลนน้ำสำหรับต้นกล้าข้าว ส่วนกล้าที่ตกไว้ก็ขาดน้ำหล่อเลี้ยง
กำลังจะแห้งตายเป็นส่วนใหญ่ ชาวนาไม่สามารถไถเตรียมเทือก เพื่อปักดำกล้าข้าว
ที่ได้อายุครบปักดำ นับเป็นพื้นที่แห้งแล้งกว้างใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยทำฝนหลวงมา
จากรายงานของทั้ง 16 จังหวัดที่แห้งแล้งในภาคนี้ เป็นพื้นที่ถึง 17 ล้านไร่
การปฏิบัติการได้ใช้เครื่องบินบรรทุกขนาดใหญ่แบบ C123 ของกองทัพอากาศถึง 2 เครื่อง
กับเครื่องบินปอร์ตเตอร์ ของกรมตำรวจอีก 2 เครื่อง สมทบกับเครื่องบินของ
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์อีก 8 เครื่อง ระดมกันปฏิบัติการช่วยเหลือเป็นเวลา 45
วันโดยตั้งฐานปฏิบัติการที่สนามบิน จังหวัดขอนแก่น ปฏิบัติการครั้งนี้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงอำนวยการ และวางแผนปฏิบัติการประจำวัน เป็นส่วนใหญ่
ปรากฏว่า ก่อนลงมือปฏิบัติการชาวนาสามารถปักดำได้เพียงร้อยละ 5
ของเนื้อที่ปักดำทั้งหมดในภาคนี้
และหลังจากปฏิบัติการแล้วได้รับรายงานจากทุกจังหวัด ในเขตปฏิบัติการว่า
ชาวนาสามารถตกกล้าข้าวได้เพิ่มขึ้น
ทั้งช่วยกล้าข้าวที่เพาะไว้แล้วให้รอดพ้นจากความเสียหาย
จนสามารถปักดำเป็นเนื้อที่เพิ่มเฉลี่ยประมาณร้อยละ 55
และมีหลายจังหวัดที่สามารถปักดำได้เกือบเต็มพื้นที่นาทั้งหมด