ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

หอพระไตร

รวมธรรมบรรยายของ หลวงพ่อชา สุภัทโท

อยากเกิดแต่ไม่อยากตาย

 2

            เรื่องมีการตกแต่งกันอย่างนี้เปรียบเหมือนผลไม้เหมือนมะม่งสุกที่เราเอามารับประทานกัน เราก็เอาแต่เนื้อมะม่วงมารับประทาน แต่เรื่องเมล็ดมะม่วงเราไม่เคยคำนึงถึงเลย เพียงแต่รู้ว่ามีเมล็ดมะม่วงอยู่ข้างในเท่านั้นก็เฉย ๆ เพราะไม่ทราบว่าเรากำลังแบกต้นมะม่วงทานอยู่ในขณะนั้น ไม่เข้าใจ ไม่รู้จัก เพราะว่าต้นมะม่วงนั้นมันมีอยู่ ในเมล็ดมะม่วงนั่นเอง แต่เราก็ไม่รู้จัก เพราะว่าในขณะนั้นมันยังไม่แสดงอะไรออกมา เพราะมันเป็นของละเอียด ถึงเราจะมีมีดตัดออกมาเป็นชิ้น ๆ ก็จะเห็นแต่เนื้อขาว ๆ เท่านั้น ทั้งที่ใบของมันก็อยู่ตรงนี้ กิ่งของมันก็อยู่ตรงนี้ ต้นของมันก็อยู่ตรงนี้ แต่เราไม่สามารถอธิบายได้ เพราะมองไม่เห็น อันนี้คือมันยังไม่แสดงอะไรออกมา ทีนี้เมื่อเราเอาไปเพาะปลูก มันจะค่อย ๆ งอกแสดงต้นใบออกมา แตกกิ่งก้านออกดอกออกผลขึ้นมา จะแสดงออกถึงรสเปรี้ยวรสหวาน แต่สิ่งที่มีอยู่เหล่านี้ มันก็อยู่ข้างในนั่นแหละ แต่ในขณะนั้นมันละเอียดมาก

            มนุษย์เราทั้งหลายก็เหมือนกัน ที่เกิดขึ้นมาแล้วมีความสุข มีความทุกข์ มีปัญญาเฉียบแหลม มีบุญวาสนาบารมี ก็มีอยู่ในเวลานั้นเหมือนกัน เพราะของเหล่านี้ไม่เหมือนกับวัตถุสิ่งของอย่างอื่นนะ เมื่อเวลาที่ปรากฏขึ้น เมื่อมันแสดงผลออกมาให้เห็น ฉะนั้นจึงชอบพูดกันว่า คนนั้นทำไมนะเขาจึงมีความสุข มีความสบาย ก็เพราะบุญบารมีของท่านที่เคยทำไว้นั่นเอง บุญเกิดมาจากไหน บุญ คือ ตัววิญญาณที่ได้คิดดีได้คิดชอบ ฉะนั้นท่านจึงให้เพวกเราอบรมตัววิญญาณนี้ให้ดี คือตัวบุญ ถ้าหากเราพยายามทำดีไปเรื่อย ๆ ก็จะมีความบริสุทธิ์ ความรู้สึกนึกคิดในจิตใจก็บริสุทธิ์ไปหมด มีการเรียบร้อย มีใจที่สูงกว่าเพื่อนทั้งหลาย สูงด้วยคุณธรรม แต่ลักษณะที่สูงต่ำของจิตใจอันเป็นนามธรรมนั้นคนมองไม่เห็น เพราะจะต้องมีความรู้สึกนึกคิดที่แปลกหมู่แปลกพวกไปต่าง ๆ เพราะภาวะอันนั้นเขาเห็นว่าเป็นของที่ควรเอา แต่อีกคนหนึ่งไปเจอเข้า เห็นว่าเป็นของควรทิ้งเสีย คนหนึ่งเห็นว่าเป็นของที่มีประโยชน์อีกคนหนึ่งเห็นว่าไม่มีประโยชน์ เพราะอะไรล่ะ เพราะตัววิญญาณที่บริสุทธิ์ หรือไม่บริสุทธิ์มันต่างกัน ผู้ที่มีวิญญาณไม่มีความบริสุทธิ์ พอมองเห็นสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ กลับเห็นว่าเป็นประโยชน์ ผู้ที่มีความบริสุทธิ์จะเห็นสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นไม่เป็นประโยชน์เลย

            เมื่อมีการนึกคิดอย่างนี้แล้วการกระทำก็ต่างกัน บางคนก็สร้างสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับตัวเอง บางคนสิ่งที่เป็นประโยชน์ชนิดนั้น ไม่เคยสร้างให้เกิดมีขึ้นในตัวเองเลย นี่มันแยกทางกันตรงนี้ การทำมาหากินประกอบอาชีพอยู่ในโลกนี้ก็ต่างกันมีคามรู้สึกนึกคิดแปลกกันไปต่าง ๆนาๆนี่มันแสดงออกถึงเหตุผลของมันที่เราเรียกว่าบุญ วิบาก ดีและชั่ว ความดีความชั่วอันนี้แหละ ที่ไม่มีตัวตน อันนี้เป็นอาการของจิต เกิดความนึกคิดไม่เหมือนกัน เกิดความรู้สึกไม่เหมือนกัน ถึงจะให้เหมือนกันก็คงเป็นไปไม่ได้ เพราะลักษณะของความดีกับความชั่วมันไม่เหมือนกัน เราจึงเรียกว่าบุญใครบุญเรา วาสนาใครวาสนาเรา

            ที่เรายังไม่รู้ไม่เข้าใจ พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนว่าให้สร้างบุญกุศลขึ้นที่จิตใจของตัวเองก็เหมือนกับที่เรามีพ่อมีแม่ผู้บังเกิดเกล้า ที่ท่านได้เลี้ยงดูอุ้มชูเรามา ต่อไปนี้เราจะเป็นผู้ไม่มีพ่อมีแม่อีกแล้ว เพราะท่านล่วงลับดับขันธ์ไปแล้ว ถ้าเราคิดอย่างนี้ เราก็เสียกำลังใจมากเราก็จะเป็นทุกข์ขึ้นมาทันที แต่ถ้าเราคิดได้ว่า ก็ดีเหมือนกันท่านได้อุตส่าห์เลี้ยงดูเรามาจนใหญ่จนโตป่านนี้ แม้เดี๋ยวนี้พ่อแม่ก็ยังอยู่ อยู่ที่ตัวเราเองนี้แหละ มีขา มีแขน มีกาย มีใจ มีอวัยวะครบบริบูรณ์ดีแล้ว เราเป็นผู้โชคดีเราควรมาสร้างความดี ให้คุณงามความดีเพิ่มพูนยิ่งขึ้นก็จะถึงท่านเพราะเราได้รับมรดกตกทอดมาจากท่านทุกอย่าง ถ้าเราไม่รู้จักไม่เข้าใจ ถึงท่านจะเอาเงินเอาทองให้เรามากมาย ก็คงจะเอาไปเล่นการพนันหมด ก็ไม่ดีไม่เกิดประโยชน์เหมือนกันนะ ให้เอาร่างกายนี้ไปสร้างคุณงามความดี เพราะมรดกของท่านทั้งสองมารวมอยู่ที่เรานี้ถ้าขาดพ่อก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ ถ้าขาดแม่ก็เกิดขึ้นมาไม่ได้ เหมือนกัน ถ้าเราระลึกถึงพระคุณของท่านทั้งสอง ก็เอาร่างกายก้อนนี้แหละมาสร้างความดี อย่าเอาไปสร้างบาปสร้างกรรมทำชั่ว ด้วยการกินการเล่น เกลือกกลั้วมัวเมาในอบายมุขอันนำมาซึ่งความหายนะและโทษภัย ให้มีการพิจารณาให้ค่อย ๆทำไปจึงจะเกิดประโยชน์

            มาตาปิตุอุปัฏฐานัง การปฏิบัติบิดามารดาเมื่อท่านยังมีชีวิตอยู่ ก็ให้เอาใจใส่อุปัฏฐากท่าน เมื่อท่านล่วงลับไปแล้วก็ให้มาปฏิบัติก้อนที่เราอาศัยอยู่นี้ อย่าไปทำความชั่ว ให้ทำแต่ความดี ถึงท่านจะเสียไปแล้ว ก็ดูเหมือนท่านยังมีชีวิตอยู่ เพราะเราตั้งใจไว้อย่างนี้ เพราะเราไม่ได้เอากาย เอาวาจา ใจ ไปสร้างความชั่วต่าง ๆ จึงเหมือนกับว่าท่านยังอยู่ คอยประคับประคองอุ้มชูตักเตือนเราอยู่เหมือนกับพระพุทธเจ้า ถึงแม้ท่านจะปรินิพพานไปแล้ว แต่ก็ยังเหมือนกับว่าท่านยังทรงพระชนม์อยู่ ถ้าใครคิดถึงพระคุณของท่าน ก็รีบสร้างคุณงามความดี ที่ท่านห้ามไม่ให้ทำนั้นมีอะไรบ้าง ข้อวัตรที่ท่านทรงอนุญาตให้ประพฤติปฏิบัตินั้นมีอะไรบ้างให้น้อมเอาคุณธรรมของท่านมาไว้ในใจของเราอันคือธรรมะ เมื่อเราเห็นบาปบุญคุณโทษ ประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ตามความเป็นจริงแล้วก็เห็นพระพุทธเจ้า คือคุณธรรมของท่าน เพราะท่านเคยตรัสว่า ถ้าผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ถ้าผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม ถ้าผู้ใดเห็นคุณของพ่อแม่ ก็เห็นตัวของเจ้าของ ถ้า
เห็นตัวเองก็เห็นคุณของพ่อแม่ เห็นพ่อแม่อยู่ตลอดกาลตลอดเวลาคุณงามความดีของท่านไม่เสียหายไปไหน ไม่ได้เกิด ไม่ได้ตาย ที่ท่านเสียไปแล้วก็เป็นเรื่องของธรรมชาติธรรมดาสิ่งที่ท่านยังอยู่ก็คือตัวของเรานี้เป็นต้น ยังไม่ตาย ได้รับมรดกของพ่อแม่ นึกถึงอุปการะคุณที่ท่านได้เลี้ยงเรามาทำกายก้อนนี้ มาทำวาจาก้อนนี้ ให้มันสม่ำเสมอให้มีศีลมีธรรมขึ้น

            ถ้าอายุยังหนุ่มสาวยังระลึกไม่ได้ เมื่อย่างเข้าสู่วัยกลางคนก็ระลึกให้ได้ กลางคนยังระลึกไม่ได้ อายุแก่พอสมควรก็ต้องระลึกให้ได้ หันเข้าหาหนทาง ให้มีความรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา ท่านสอนลูกศิษย์ของท่าน ท่านสอนให้รู้เรื่องตามความเป็นจริง ท่านเทศน์สั่งสอนเป็นเวลาหลายปี แล้วผู้ที่เขาเชื่อก็มี ผู้ที่ไม่เชื่อก็มี ผู้ที่กำลังปฏิบัติก็มี ผู้ที่ท่านปฏิบัติได้มรรคได้ผลแล้วก็มีมาก จะให้ตถาคตอยู่ไปทำไมอีก อยู่ไปก็เหมือนเดิม ผู้ที่เชื่อก็พากันปฏิบัติตามทำตาม ผู้ที่เขาไม่เชื่อเขาก็ไม่ทำ ถึงจะอยู่ต่อไปเขาไม่ทำหรอก พระตถาคตเป็นแต่เพียงผู้บอก เมื่อถึงกาลถึงเวลาตถาคตก็จะปรินิพพานไป สาวกทั้งหลายก็ไม่ต้องเดือดร้อนกระวนกระวาย ไม่ต้องพิไรรำพัน ถ้าคิดถึงตถาคตก็ให้ยึดเอาธรรมวินัยมาพิจารณาให้เห็นตามความเป็นจริงพระศาสดาท่านก็สอนอย่างนี้ เพราะสังขารเหล่านี้มันไม่ใช่ของเรา พระพุทธเจ้าท่านเห็นว่ามันไม่แน่นอนอย่างนี้แหละ ท่านจึงออกบวช ทั้งที่ประชาชนราษฎรไม่เห็นด้วยท่านก็ไม่เชื่อ เพราะพวกนั้นเป็นผู้สร้างบารมีไว้น้อยพวกญาติพี่น้องนั้นก็มีความรู้สึกไปอย่างหนึ่ง ถ้าท่านออกบวชได้ ก็พูดไปอีกแบบหนึ่งว่า ท่านตัดช่องน้อยไปแต่พอตัวไปคนเดียว ทิ้งสมบัติทิ้งลูกหลาน ทิ้งบ้านทิ้งเมือง นี้เป็นความเห็นของราษฎร แต่ความเห็นของท่านไม่เป็นอย่างนั้น ท่านกลับเห็นว่าการอยู่ด้วยกันนั้นแหละเป็นการทิ้งตัวเอง เพราะมีความหลง หลงในลาภ หลงยศ สรรเสริญ สุข ทุกข์ อยู่นั่นแหละ ฆ่าตีบีโบยกันอยู่อย่างนั้นไม่หยุดสักที

            ฉะนั้นให้เราพยายามสร้างคุณงามความดีต่อไปจึงจะมีความเห็นที่ถูกต้อง คลี่คลายความทุกข์ออกจากจิตใจได้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเป็นของไม่เที่ยงแท้แน่นอนมีความเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพของมัน เหมือนลมหายใจของเราที่อยู่ด้วยความเปลี่ยนแปลง ถ้าหายใจเข้าไปๆ ไม่ออกมาจะได้สักกี่นาที ถ้าเข้าไปไม่ออกมา ถ้าออกมาแล้วไม่เข้าแล้วจะเป็นอย่างไร เพราะธรรมดามันเป็นอยู่อย่างนี้แล้ว ถ้าคิดไม่อยากตายไม่อยากพลัดพรากจากกัน ก็ลองหายใจเข้าอย่างเดียวดูซิไม่ต้องหายใจออก ทำได้ไหมล่ะ

            อาตมาว่ามันเป็นของที่พอเหมาะพอดีแล้วนะ ถ้าเราเจอของที่พอดีแล้ว ก็ไม่น่าจะมีความคิดกระวนกระวายใจให้เกิดทุกข์มากเกินไป เช่นพ่อแม่ของเราท่านได้ล่วงลับดับขันธ์ไป ก็คิดเสียว่าถึงกาลถึงสมัยของท่านแล้ว เวลานี้ถึงเวลาของท่าน ต่อไปกาลข้างหน้าคงถึงเวลาของเราบ้างไม่รู้ว่าจะวันไหน ให้เราตั้งใจไว้อย่างนี้ใจเราจะได้สบาย มันเป็นเรื่องธรรมดา จริงๆ เราจะได้เกิดความสลด เกิดความสังเวช อย่าไปคิดให้เราทุกข์ยากลำบากใจเลย เพราะไม่มีอะไรเลยบางคนเห็นพ่อตาย แม่ตาย ลูกตาย เมียตายอย่างนี้ โอ๊ย.. หันมากินเหล้าแก้กลุ้มใจ อย่างนี้ไม่ได้หรอก จะมาแก้ด้วยวิธีดื่มเหล้าดื่มน้ำเมามันจะยิ่งไปกันใหญ่ เหมือนคนเป็นบ้า เพราะเพิ่มความทุกข์เข้าไปอีก เพราะแก้ไม่ถูกวิธี เสียทั้งทรัพย์ภายในเสียทั้งทรัพย์ภายนอก ทุกสิ่งทุกอย่างไม่เกิดประโยชน์ อันนี้คือแก้ไม่ถูกเรื่อง ถ้าเราแก้ถูกก็จะคิดได้ว่ามันเป็นเรื่องของธรรมดาๆ เท่านั้นเอง จะมีมากมีน้อยก็รีบทำบุญให้ทานไปเสีย บุญคุณของพ่อแม่ที่ท่านได้เลี้ยงเรามาแต่เล็กจนโตนั้นไม่ใช่ของง่าย ท่านเป็นผู้มีอุปการะบุญคุณต่อเรามากจริงๆ ตัวท่านเองก็ไม่อยากตายจากเราไปหรอก แม้เราก็ไม่อยากให้ท่านตายไปจากเรา แต่มันห้ามไม่ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นไปเองตามธรรมชาติไม่มีใครต้องการสักคน แต่เราก็ได้รับ มันเป็นเรื่องอย่างนั้น พวกเราก็ไม่ควรคิดอะไรมากมาย เพราะเป็นเรื่องธรรมดาๆ ฉะนั้นพระบรมครูของเราท่านได้สั่งสอนทรงวางหลักศาสนาไว้ ท่านสอนให้เรารู้จักความตายว่าเป็นอย่างนี้ เมื่อมันไม่แน่นอนอย่างนี้ท่านจึงว่าโลกนี้น่าเบื่อหน่าย ในสิ่งที่ตนหลงผิด ตอนที่จะจากไปจริงๆ ผู้มีสมบัติมากก็ทิ้งไว้มาก ผู้สมบัติน้อยก็ทิ้งไว้น้อย ไม่มีอะไรที่ใครจะได้ติดตัวไปด้วยหรอก สมมุตว่ามีนาแปลงหนึ่ง พ่อแม่ตายจากไปก็เอาไว้ให้ลูก ผลสุดท้ายแล้วลูกก็ไม่ได้เหมือนกัน ก็ต้องเป็นของคนอื่นไป เป็นเรื่องอย่างนี้เพราะความไม่แน่นอน เป็นเรื่องที่ไม่มีทางสิ้นสุดจบลงได้ เรื่องของโลกพระพุทธเจ้าท่านเห็นอย่างนี้ท่านจึงออกบวชเสีย ถึงญาติพี่น้องจะไม่เห็นด้วยก็ตามแต่ท่านไม่เห็นตามชนเหล่านั้น ท่านเห็นชัดของท่าน รู้แจ้งโลก ท่านจึงสลัดทุกสิ่งทุกอย่างออกได้

<< ย้อนกลับ | หน้าถัดไป >>

» การปล่อยวาง

» จิตที่ตื่นรู้

» ตามดูจิต

» สมถวิปัสสนา

» บัว 4 เหล่า

» ธาตุ 4

» มรรค 8

» ทางพ้นทุกข์

» บ้านที่แท้จริง

» ฝึกจิตให้มีกำลัง

» ตุจโฉโปฏฐิละ

» การทำจิตให้สงบ

» อ่านใจธรรมชาติ

» สองหน้าของสัจธรรม

» ทางสายกลาง

» ธรรมะกับธรรมชาติ

» นอกเหตุเหนือผล

» อยู่กับงูเห่า

» ภาวนาพุทโธ

» อยู่เพื่ออะไร

» อยากเกิดแต่ไม่อยากตาย

» ไม่มีอะไรได้ไม่มีอะไรเสีย

» ปลาไม่เห็นน้ำ

» สงบจิตได้ปัญญา

» สมาธิภาวนา

» ธรรมะเชิงอุปมาอุปมัย

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย