ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>

หอพระไตร

รวมธรรมบรรยายของ หลวงพ่อชา สุภัทโท

อยากเกิดแต่ไม่อยากตาย

แสดงธรรมโปรดญาติโยม ณ วัดป่าบ้านสวนกล้วย

            ถ้าเราไม่ได้สนใจในการปฏิบัติ นาน ๆ ก็ไม่ได้เข้ามาศึกษาอบรมครั้งหนึ่ง เราก็จะไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจในข้อวัตรปฏิบัติ ที่จะยกตนยกจิตใจของเราให้สูงขึ้น ทำให้ชีวิตของเราที่เกิดมาแล้วต้องเสียไปโดยเปล่าประโยชน์ถ้าเราไม่เข้าใจในธรรมะแล้ว เราก็จะเป็นคนหลง หลงรัก หลงชัง หลงดี หลงชั่ว อยู่อย่างนั้น ถ้าเกิดมีอันเป็นไปมีการพลัดพรากจากกัน ก็จะมีแต่ความทุกข์โศกเศร้า ร้องไห้พิไรรำพัน เสียใจเป็นทุกข์ไม่ได้ สมความปรารถนา คิดอยากจะตายเสียให้รู้แล้วรู้รอดไปเดี๋ยวนี้ วันนี้ก็ยังมี แต่ถ้าดีกันเข้าใจกันได้ก็อยากจะมีอายุยืนยาวนานต่อไป อุตส่าห์ไปทำบุญต่ออายุวัดนั้นวัดนี้ตั้งหลายวัด กลัวว่าอายุจะไม่ยืน ถ้ามีความโกรธ ใจร้ายมีความอิจฉาริษยาเกิดขึ้น มีความเดือดร้อนวุ่นวายแม้แต่ลูกหลานที่เคยเอ็นดูเคยรักเคยชอบ ก็อยากจะให้ชักดิ้นชักงอล้มตายไปไม่เสียดาย เหมือนไม่มีความอาลัยอาวรณ์อย่างนั้นแหละ แต่ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ๆ กลับจะต้องร้องไห้เป็นทุกข์อีก เพราะเหตุที่ยังไม่ได้ปฏิบัติภาวนา พวกเราจึงได้ชื่อว่ายังเป็นคนที่โง่มาก จึงต้องวิ่งไปตามความรู้สึกนึกคิดปรุงแต่งเรื่อยไปไม่มีที่สิ้นสุด เหมือนคนบ้าจริงๆ เพราะฉะนั้นท่านจึงให้พิจารณามรณานุสติ ให้ระลึกถึงความตายของเราเสมอ ๆ ถ้าเรามีการปฏิบัติหมั่นน้อมระลึกถึงความตายอยู่บ่อย ๆ แล้วจิตใจของเราจะไม่ลุ่มหลงมัวเมาเห่อเหิมทะเยอทะยานหรอก หรือถ้าจะไปทำความชั่วอย่างนี้ เราก็จะคิดได้ทันทีว่า ถ้าเราทำความเดือดร้อนให้แก่คนอื่นอย่างนี้แล้ว ถ้าคนอื่นมาทำกับเราอย่างนั้นบ้าง เราจะมีความรู้สึกอย่างไร เมื่อเราคิดย้อนกลับมาดูตัวเองก็จะทำให้เราหยุดทำความชั่วได้ แต่นี่พวกเราไม่เป็นอย่างนั้น อะไร ๆ ก็มีแต่จะเอาทั้งนั้น ไม่เคยคิดย้อนกลับมาดูตัวเองสักที คนเรานี้ก็มีความหลงมาก มีความเห็นผิดมากนะ หลงจนไม่รู้จักผิด ชอบ ชั่ว ดี บางทีมีคนว่า “หลง” ก็โกรธไม่พอใจ ผู้ที่ยังไม่ได้ปฏิบัติภาวนา ไม่รู้จักธรรมะ ก็ต้องเป็นอย่างนั้น

            ฉะนั้นพระพุทธเจ้าท่านจึงสอน เพื่อให้เรารู้ ให้เราเข้าใจในทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เรามีความรอบคอบรอบรู้ในกองสังขาร เมื่อยังมีชีวิตอยู่ท่านก็เทศน์ให้ฟัง แต่ไม่ใช่เทศน์ให้คนตายฟังนะ เทศน์ให้ผู้ยังมีชีวิตอยู่นั้นแหละฟัง บางคนตายไปแล้วก็ยังเป็นเรื่องยุ่งยากวุ่นวายเหมือนกันนะ เสียเงินเสียทองจนลูกหลานต้องกู้หนี้ยืมสินเขามาที่อยู่ตามชนบทบ้านนอก ถ้าบ้านไหนมีคนตายก็มีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต มีการล้มวัวล้มควายให้ตายตามไปอีกสองตัว คนตายคนหนึ่งไม่พอ แถมยังเอาวัวควายมาฆ่าอีก ยิ่งคนทางเหนือด้วยแล้ว วัวที่อื่นก็ไม่ยอมเอา จะต้องเอาวัวที่อยู่บ้านของคนตายนั่นแหละฆ่า มีวัวสองตัวก็เอามาฆ่ากินหมด ควายก็เหมือนกัน มีอยู่ตัวเดียวพอได้ช่วยทำนา แต่พอพ่อแม่ตายก็เอามันมาฆ่ากินหมดเลย โอ๊ย....ญาติโยมทำอย่างนี้ไม่สมควรเลย ไม่ใช่อย่างนั้น ๆ นะ จะทำอะไรก็ให้พิจารณาใคร่ครวญตรึกตรองให้ดีเสียก่อนจึงทำ จะได้เห็นบุญเห็นกุศล จะมากหรือน้อยก็ตามถ้าทำแล้วมีประโยชน์ไม่มีโทษไม่มีอันตรายก็ควรทำอย่างนั้น ศพคนตายไปแล้วจะเอาไปวางที่อื่นก็ไม่เกิดประโยชน์ ถ้าไม่เชื่อก็ลองดู ถ้าเอาศพไปตั้งที่บ้านกุดลาดต้องหมดเหล้าหมดยาไปมากมาย ดีไม่ดีเกิดเรื่องเดือดร้อนถึงฆ่ากันตีกันขึ้น ผู้ที่ยังชีวิตอยู่น่ะถ้าไม่ให้เขากินไม่ให้เขาสนุกสนานเฮฮา เขาก็ว่าเจ้าภาพตระหนี่ถี่เหนียวเป็นคนเห็นแก่ตัว พูดอยู่อย่างนั้นแหละ คนขี้เหล้าพูดไม่จบ กินอิ่มแล้วก็ลากลับ พอเดินลงบันไดไปไม่กี่ก้าวเดี๋ยวก็เดินกลับมาอีก วกไปวกมาอยู่นั่นแหละ รับแขกขี้เหล้าอยู่ทั้งวันทั้งคืน เป็นอย่างนั้นมันไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย

            เราทุกคนควรมาสนใจในการพิจารณา ที่จะทำให้เกิดความสลดสังเวช แม้ครูบาอาจารย์เราทุก ๆ องค์ควรพิจารณาปลงสลดสังเวชว่าเออ.....สังขารร่างกายนี้มันไม่เที่ยงแท้ถาวรมั่นคงอะไรเลย ธรรมดาถ้าลูกเมีย พ่อแม่เราตาย เราจะเกิดความรู้สึกขึ้นใหม่ว่า อ้าวเรานี่ หมดที่พึ่ง ไม่มีที่พึ่งที่อาศัย จะคิดไปที่ไหนล่ะ ก็ควรวกกลับมาดูตัวเอง เพราะฉะนั้นท่านจึงให้พระท่านเยี่ยมศพของคนตายเพื่อจะได้เกิดความสลดสังเวชในความไม่เที่ยง เมื่อจิตเรามีความสลด เราก็จะเห็นตามความเป็นจริง เมื่อพ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ พูดอะไร บอกสอนอะไรก็ไม่ค่อยเชื่อฟัง เพราะจิตมันประมาท ไม่มีความสลดสังเวช ถ้าพ่อแม่เสียชีวิตไปแล้ว ถึงจะคิดได้ว่า เออ....พ่อแม่ของเราท่านอุตส่าห์เลี้ยงดูเรามาตั้งแต่เล็กจนโต ก็มาถึงที่สุดของท่านแล้วตรงนี้ ต่อไปคงจะไม่ได้เห็นหน้าท่านอีกแล้ว จิตใจของเรามันก็หวนกลับคืนที่เดิม พระท่านจะได้แนะนำพร่ำสอนตามเหตุผลที่แท้จริง เราจะได้ตั้งใจฟังธรรมะที่ท่านสอนให้เข้าใจตามความเป็นจริง ยังดีกว่าจะไปกินเหล้าเมายาอยู่หมดคืนจนสว่าง อะไรมันจะทำให้ได้เกิดความรู้ความเห็นสักที ใช้ไม่ได้เลย ควรที่เราจะปลงสลดสังเวช อนิจฺจา วตสงฺขารา อุปฺปาทวย ธมฺมิโน อุปฺปัชชิตฺวา นิรุชฺฌนฺติ เตสงฺ วูปสโม สุโข สังขารทั้งหลายมันไม่เที่ยง “สังขารา” หมายถึงสังขารทั้งหลาย “อนิจจา” มันเป็นของไม่เที่ยง มีแล้วหาไม่ เกิดแล้วดับไป คือท่านเกิดมาแล้วเป็นพ่อเป็นแม่เรา เดี๋ยวนี้ก็ไม่มีท่านแล้ว มีแล้วหาไม่ เกิดขึ้นแล้วดับไป เป็นสิ่งสมมุติ สมมุติว่าเป็นพ่อแม่ เป็นลูกหลาน ของสมมุตินั่นแหละคือของไม่จริง ถ้าเป็นความจริงแล้วจะไม่มีคำว่าสมมุติเลย ถ้ามีสมมุติก็ไม่มีความจริง จริงก็จริงในสมมุติ ถ้ามีสมมุติมาปะปนแล้วก็ไม่มีความจริง ไม่มี “วิมุตติ” อันนี้เราพากันติด “สมมุติ” พระพุทธเจ้าท่านจึงให้เราพิจารณาดูให้เห็นตามความเป็นจริง เพราะเราอยู่ด้วยกันก็ไม่รู้ว่าเราจะพลัดพรากจากกันเมื่อไร เราควรมาปลงสลดสังเวชว่าจะต้องเป็นอย่างนี้ทุกๆ คน ถ้าเรามาทำความเข้าใจในสิ่งนั้น ในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เราจะได้พากันสบาย อยู่ด้วยกันก็ไม่ทะเลาะเบาะแว้ง ไม่มีความขัดแย้งกัน เพราะมีความเห็นตามธรรมชาติฉะนั้นพระอริยเจ้าทั้งหลายที่ท่านอยู่ด้วยกัน จะมีมากถึงหมื่นองค์ก็สบาย ถึงจะมีมากก็เหมือนอยู่องค์เดียว ท่านรู้เรื่องกันไม่ได้แก่งแย่งกันทางด้านจิตใจ อันนี้ก็เหมือนกัน ถ้ามีความเห็นตามความเป็นจริงแล้ว จะมีชีวิตอยู่ก็ตาม หรือตายอยู่อย่างนี้ก็เหมือนมีชีวิตอยู่ เพราะอะไรล่ะ เพราะธรรมชาติที่ไม่ตายมีอยู่ในสกลร่างกายของเรานี้เป็นธาตุดิน เป็นธาตุน้ำ เป็นธาตุไฟ เป็นธาตุลม เป็น “วัตถุธาตุ” “วิญญาณธาตุ” คือตัวรู้ทั้งหลายที่เราจับไม่ถูกเอาไม่ได้ อันมีความรู้สึกในจิตใจของเรา ตัวนี้จะเป็นของมีอยู่ ตัวนี้จะเป็นของที่ดับไม่ได้ เป็นของธรรมชาติที่ไม่เกิดไม่ตาย ที่เกิดที่ตายนั้นเป็นวิญญาณที่มันหลง หลงอารมณ์ดี หลงอารมณ์ชั่ว ทำให้มีความเกิด ทำให้มีความดับ ตัวธรรมชาติคือความจริงนั้นยังอยู่

            ฉะนั้นสมเด็จพระบรมศาสดาท่านจึงสอนว่า ให้รักษาวิญญาณตัวนี้แหละที่ทำให้เรากลับไปกลับมาไม่มีที่สิ้นสุดสักที ถ้าตัวนี้หลง ก็หลงหมดทั้งกาย ฉะนั้นก้อนนี้ที่มีดิน มีน้ำ มีลม มีไฟ เป็นธรรมชาติ ถ้าวิญญาณปราศจากไปแล้ว ใครจะไปทุบไปตีอย่างไรก็ไม่เป็นไร ไม่มีความรู้สึก ธรรมชาติอันนี้ไม่ไปกับใครเปรียบเหมือนกับบ้านเรือนที่เราอยู่อาศัย เจ้าของบ้านหนีไป บ้านของเรามันก็ร้างผุพังไปตามธรรมชาติของมัน อนิจจา วะตะ สังขารา สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงหนอความไม่เที่ยงก็เหมือนกันไม่อยู่คงที่เหมือนเดิม เพราะเคยอยู่ด้วยกันมานาน ก็จากกันไปคนละทิศละทาง เคยเป็นหนุ่มเป็นสาว ต่อมาก็จะมีความแก่เข้ามาแทนที่ ก็จะมีการจากแยกย้ายกันไปเป็นธรรมดา นี้เป็นความจริงมีแล้วหาไม่ เกิดแล้วดับไป สังขารทั้งหลายเป็นของไม่เที่ยง อุปปาทะวะยะธัมมิโน มีความเกิดขึ้นแล้ว นิรุชฌันติ ย่อมดับไป เตสังวูปะสะโมสุโข ให้พิจารณามาสงบสังขารเหล่านี้เสีย เมื่อสงบสังขารออกจากจิตใจของเราได้ความสุขก็เกิดขึ้นมา เตสังวูปะสะโมสุโข ความสงบระงับเกิดขึ้นมาทันที ความเป็นจริงก็ไม่มีอะไรที่จะเสียหายอะไรเลย แต่เราเข้าใจว่ามันเสีย เพราะคิดว่าตายไปจากเราก็เลยทำให้เราเกิดความไม่สบายเป็นทุกข์ มันเป็นเรื่องอย่างนี้

            ทีนี้เราจะเห็นได้ว่า ธาตุแตกขันธ์ดับไป ดับแล้วก็เรียกว่า สร้างกายก้อนใหญ่ขึ้นมาเป็นรูปเป็นนามขึ้นมา เราเกิดมาตอนแรกก็ไม่ได้เอาอะไรมาด้วย ไม่ได้เอาเงินเอาทองเอาสมบัติอะไรมาเลย มาแต่ตัวเปล่ากันทุก ๆ คน นี้แสดงว่าวัตถุอันนี้ไม่ได้ติดตัวไปด้วย อยู่ในโลกก็ทิ้งไว้ในโลกนั้นจะเอาติดตัวไปได้แต่ความดีความชั่ว ที่เรียกว่า บุญ หรือ บาป เกิดขึ้นมาได้อย่างไร ตัววัตถุอันนี้ก็ไม่มีอะไร มีแต่ร่างกาย ที่นี้เมื่อเกิดขึ้นมาแล้วจะมีความรู้มีปัญญาดีหรือชั่วต่างกันอันนี้เป็นเรื่องของนามธรรม อันนี้แหละคือความดีและความชั่ว ที่มันปรากฏขึ้นเพราะมันฝังอยู่ในนั่นแหละ เมื่อยังเป็นเด็กเล็กอยู่ธรรมชาติยังไม่แก่ มันก็ยังไม่แสดงออก ถ้าโตเป็นผู้ใหญ่มีความคิดขึ้นมาต่างกัน มีปัญญาเฉียบแหลมต่างกัน มีความฉลาด มีความโง่ มีความสุข มีความทุกข์ต่าง ๆกัน ไม่สม่ำเสมอกัน

หน้าถัดไป >>

» การปล่อยวาง

» จิตที่ตื่นรู้

» ตามดูจิต

» สมถวิปัสสนา

» บัว 4 เหล่า

» ธาตุ 4

» มรรค 8

» ทางพ้นทุกข์

» บ้านที่แท้จริง

» ฝึกจิตให้มีกำลัง

» ตุจโฉโปฏฐิละ

» การทำจิตให้สงบ

» อ่านใจธรรมชาติ

» สองหน้าของสัจธรรม

» ทางสายกลาง

» ธรรมะกับธรรมชาติ

» นอกเหตุเหนือผล

» อยู่กับงูเห่า

» ภาวนาพุทโธ

» อยู่เพื่ออะไร

» อยากเกิดแต่ไม่อยากตาย

» ไม่มีอะไรได้ไม่มีอะไรเสีย

» ปลาไม่เห็นน้ำ

» สงบจิตได้ปัญญา

» สมาธิภาวนา

» ธรรมะเชิงอุปมาอุปมัย

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย