ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>
นักคิด นักเขียน
จิตร ภูมิศักดิ์
กุหลาบ สายประดิษฐ์
อัศนี พลจันทร์
ปรีดี
พนมยงค์
ป๋วย อึ้งภากรณ์
ป๋วย อึ้งภากรณ์
ป๋วย อึ้งภากรณ์เกิดเมื่อวันที่ 9 มีนาคม พ.ศ.2459 ที่บ้านตรอกโรงสูบน้ำ ตลาดน้อย เป็นบุตรของนางเซาะเซ็ง แซ่เตียวและนายซา แซ่อึ้ง ชื่อของ "ป๋วย" นั้น เตี่ยของป๋วยตั้งให้เป็น ชื่อตัว (ซึ่งต่างจากชื่อสกุลและชื่อรุ่นคือ generation ตามธรรมเนียมจีน-ชื่อสกุลของป๋วย คือ "อึ้ง" ชื่อรุ่นคือ "เคียม" อ่านทั้งสามตัวตามลำดับ ประเพณีจีน สำเนียงแต้จิ๋วจะเป็น "อึ้ง ป้วย เคียม" แต่ถ้าอ่านโดดๆวรรณยุกต์จะเปลี่ยนไป ชื่อสกุลเป็น "อึ้ง" และชื่อตัวเป็น "ป๋วย" ) คำว่า "ป๋วย" แปลตรงตัวได้ว่า "พูนดินที่โคนต้นไม้" เพราะตัวประกอบในอักษรระบุไว้เช่นนั้น แต่มีความหมายกว้างออกไปอีกคือ "บำรุง" "หล่อเลี้ยง" "เพาะเลี้ยง"และ"เสริมกำลัง"
มารดาของป๋วยเป็นบุตรสาวคนแรกของเจ้าของร้านขายผ้าที่สำเพ็งอยู่ใกล้ตรอก โรงโคม ส่วนบิดาเป็นคนจีน ทำงานช่วยพี่ชายที่แพปลาแถวปากคลองวัดปทุมคงคา ทั้งสองสามีภรรยาไม่ค่อยมีรายได้มากนัก แต่ก็มีตั้งใจส่ง ลูกชายเข้าเรียนที่โรงเรียนอัสสัมชัญบางรัก แผนกภาษาฝรั่งเศส ซึ่งเป็นโรงเรียนที่มีค่าเล่าเรียนแพง (ปีละ 70 บาท) เมื่อเด็กชายป๋วยอายุได้เก้าขวบ บิดาของป๋วยก็เสียชีวิตโดยไม่มีทรัพย์สินเงินทองทิ้งไว้ให้ ลุงเป็นคนรับอุปการะ ส่งเสียเงินให้เป็นรายเดือน แม้ว่าจะมีปัญหาด้านการเงิน มารดาของป๋วยก็สนับสนุนให้เรียนหนังสือที่เดิมจนสำเร็จ การศึกษา ขณะอายุได้ 18 ปี ป๋วยได้มาเป็นมาสเตอร์หรือครูที่โรงเรียนอัสสัมชัญ สอนวิชาคำนวณและภาษาฝรั่งเศส มีรายได้เดือนละ 40 บาท แบ่งให้แม่ 30 บาท
ต่อมาในปี พ.ศ.2477 ป๋วยได้สมัครเข้าเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง เป็นนักศึกษารุ่นแรก ซึ่งในสมัยนั้นยังไม่มีการบังคับให้เข้าชั้นเรียน ทางมหาวิทยาลัยได้จัดพิมพ์คำบรรยายออกจำหน่ายในราคาถูก วิชาละประมาณ 2 บาท เพื่อส่งเสริมให้นักเรียนที่กำลังทำงานอยู่สามารถศึกษาเองได้ ป๋วยใช้เวลาในตอนค่ำและ วันหยุด ป๋วยใช้เวลาเรียนอยู่ 4 ปีก็สำเร็จการศึกษาปริญญาตรีทางกฎหมายและการเมืองในปี พ.ศ.2480 หลังจากนั้น ป๋วยก็ลาออกจากโรงเรียนอัสสัมชัญ มาทำงานเป็นล่ามภาษาฝรั่งเศส ให้แก่อาจารย์ชาวฝรั่งเศสผู้หนึ่งที่มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์และการเมือง
ในเดือนเมษายน พ.ศ.2481 ป๋วยได้รับทุนรัฐบาลที่สอบชิงทุนได้ ไปเรียนระดับ ปริญญาตรี สาขาวิชา เศรษฐศาสตร์และการคลังที่ London School of Enconomic & Political Science มหาวิทยาลัยลอนดอน แต่หลังจากนั้นอีก 6 เดือนมารดาของ ป๋วยก็ เสียชีวิตลง
ป๋วยใช้เวลาสามปีก็สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรี ป๋วยเป็นนักเรียนดีเด่นและเป็น ศิษย์เอกของ ศาสตราจารย์เฟรเดอริก ฮาเย็ก(ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ในปี พ.ศ.2517) ป๋วยเป็น คนไทยคนเดียว ในมหาวิทยาลัยนี้ที่สอบได้คะแนนสูงสุดเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาเกียรตินิยม อันดับหนึ่งด้วยกันในปี พ.ศ.2485 ได้เกรดเอแปดวิชา และเกรดบีหนึ่งวิชา จากผลการเรียนอันดีเด่นของป๋วย ทำให้ได้รับทุนลีเวอร์ฮูล์ม สามารถ ศึกษาต่อระดับปริญญาเอกได้ทันที แต่ในระหว่างนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้น ทำให้ป๋วยตัดสินใจ ทำงาน เพื่อชาติ
วันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ.2484 กองทัพญี่ปุ่นบุกประเทศไทย รัฐบาลไทยในสมัยนั้น มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีประกาศสงครามเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น และ ต่อมาก็ประกาศสงครามกับประเทศอังกฤษและ สหรัฐอเมริกา รัฐบาลไทยเรียกตัวคนไทย ในอังกฤษและสหรัฐอเมริกาให้เดินทางกลับ โดยขู่ว่าผู้ที่ไม่เดินทางกลับจะถูกถอดสัญชาติ ไทย ปรากฏว่าคนไทยจำนวนหนึ่งได้จัดตั้งขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นทั้งในและนอก ประเทศในนามของขบวนการ "เสรีไทย" ภายในประเทศมีนายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จ ราชการ เป็นหัวหน้า ส่วนในสหรัฐอเมริกามี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช อัคราชทูตไทยในเป็น หัวหน้า เสรีไทยปฏิเสธการประกาศสงครามของรัฐบาลไทย ซึ่งทำให้สหรัฐอเมริกา ประกาศรับรองฐานะของเสรีไทย
ส่วนทางด้านประเทศอังกฤษ ปรากฏว่าอัครราชทูตไทยยอมเดินทางกลับประเทศตามคำสั่งของรัฐบาล แต่ป๋วย และคนไทยจำนวนหนึ่งไม่ยอมกลับประเทศ ได้ร่วมกันก่อตั้งคณะเสรีไทยขึ้นในประเทศอังกฤษเพื่อประกาศ ไม่ยอม อยู่ใต้อาณัติรัฐบาลไทยที่ยอมเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น เสรีไทยจำนวน 36 คนสมัครเข้าเป็นทหารในกองทัพบก อังกฤษ เสรีไทยกลุ่มนี้มีฉายาว่า "ช้างเผือก"(White Elephants) ในช่วงแรกป๋วยได้รับยศเป็นร้อยเอกแห่งกองทัพบก อังกฤษ มีชื่อจัดตั้งว่า "นายเข้ม เย็นยิ่ง"
นายเข้ม เย็นยิ่งต่อมาได้รับคำสั่งให้ลงเรือบรรทุกทหารจากลิเวอร์พูล เล่นเรืออ้อมทวีปแอฟริกามาขึ้นฝั่ง ที่ประเทศอินเดีย ได้มาฝึกหลักสูตรนักรบแบบกองโจรและการจารกรรมที่เมืองปูนา มีการฝึกการใช้อาวุธและวิธีการ ต่อสู้ต่างๆเป็นเวลาครึ่งปี ในเดือนกันยายน พ.ศ.2486 นายเข้มเป็นทหารฝ่ายสัมพันธมิตรชุดแรกที่ได้รับคำสั่งให้ เข้ามาติดต่อกับขบวนการเสรีไทยในประเทศไทย ที่มี "รูธ" หรือนายปรีดี พนมยงค์เป็นหัวหน้า เพื่อหาทางตั้งสถานี วิทยุติดต่อระหว่างกองทัพอังกฤษในอินเดียกับคณะเสรีไทย
พฤศจิกายน พ.ศ.2486 ร้อยตรีเข้มได้เดินทางด้วยเรือดำน้ำของราชนาวีอังกฤษพร้อมสหายอีกสองคนจาก ลังกา โดยมีเป้าหมายจะขึ้นฝั่งที่ตะกั่วป่า จังหวัดพังงาเมื่อมาถึงที่หมายเรือดำน้ำจอดซุ่มรอนอกฝั่งหนึ่งสัปดาห์ แต่ไม่มีคนมารับจึงยกเลิกภาระกิจ จึงกลับสู่ศรีลังกา ต่อมาอีกหนึ่งสัปดาห์ร้อยตรีเข้มได้รับมอบภาระกิจอีกครั้ง ให้ลักลอบเข้าแผ่นดินไทย โดยการกระโดดร่มพร้อมอุปกรณ์เครื่องรับส่งวิทยุ จึงได้เดินทางไปฝึกซ้อมกระโดดร่ม ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2487 ที่แคว้นปัญจาบ พอวันที่ 6 มีนาคม ร.ต.เข้มและเสรีไทยอีกสองคนมาขึ้นเครื่อง บินบี 24 ที่กัลตัตตา ประเทศอินเดีย มุ่งมาสู่แผ่นดินไทย เป็นการกระโดดร่มแบบสุ่ม ไม่มีคนมารับที่ภาคพื้นดิน แต่สภาพอากาศไม่อำนวยเครื่องบินจึงเดินทางกลับไปกัลกัตตา อีกหนึ่งสัปดาห์ต่อมาเสรีไทยทั้งสามคนก็ขึ้น เครื่องบินอีก เพื่อปฏิบัติภาระกิจเดิม โดยเข้ามาทางจังหวัดชัยนาท เสรีไทยทั้งสามคนกระโดดร่มลง แต่ร.ต.เข้มถูก เจ้าหน้าที่ไทยและชาวบ้านช่วยกันล้อมจับกุมตัวไว้ได้ ถูกตั้งข้อหาว่าทรยศต่อชาติและทำจารกรรม ถูกซ้อม และผลักเข้าสู่กอหนามโดยมีเจ้าหน้าที่เอาปืนจ่อข้างหลัง และถูกนำมาขังล่ามโซ่ไว้บนศาลาวัดวังน้ำขาว อำเภอ วัดสิงห์เป็นเวลาหลายวันจึงถูกส่งตัวมาลงเรือยนต์ล่องลำน้ำเจ้าพระยาเข้ามาที่ตึกสันติบาลในกรุงเทพฯ
ด้วยความช่วยเหลือของตำรวจที่เป็นเสรีไทย ร.ต.เข้มจึงมีโอกาสเข้าพบกับนายปรีดี พนมยงค์ ทำให้ฝ่าย เสรีไทยเริ่มเริ่มส่งวิทยุไปยังกองทัพอังกฤษที่อินเดียได้สำเร็จเป็นครั้งแรก ทำให้หน่วยทหารจากอังกฤษและสหรัฐฯ สามารถเล็ดลอดเข้ามาปฏิบัติงานในแผ่นดินไทยได้สะดวกขึ้น ในการทิ้งระเบิดของอังกฤษนายป๋วยได้ประสานติดต่อ กับอังกฤษแจ้งพิกัดไม่ให้เครื่องบินมาทิ้งระเบิดรพระบรมมหาราชวัง ตลอดจนวังต่างๆ ทางอังกฤษก็ได้ตอบรับ ทำให้สถานที่สำคัญเหล่านี้สามารถอยู่รอดปลอดภัยมาจนทุกวันนี้
ปลายสงครามโลกครั้งที่สองนายปรีดีส่งนายป๋วยกลับไปอังกฤษอีกครั้งหนึ่งเพื่อไปเจรจาให้รัฐบาลอังกฤษ ยอมรับว่าขบวนการเสรีไทยเป็นรัฐบาลอันชอบธรรมของไทย ทำนองเดียวกับที่สหรัฐได้รับรองมาก่อนแล้ว และ เจรจาให้อังกฤษยอมปล่อยเงินตราสำรองที่รัฐบาลไทยฝากไว้ที่ธนาคารกลางอังกฤษ
เมื่อสงครามโลกยุติ นายป๋วยได้รับยศพันตรีแห่งกองทัพบกอังกฤษ ได้เป็นหนึ่งในผู้แทนไทยเดินทางไป เจรจาทางการทหารและการเมืองกับ ฝ่ายอังกฤษที่นครแคนดี ประเทศศรีลังกา ได้ร่วมกับเสรีไทยจากอเมริกาอารักขา แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลและพระอนุชาที่กัลกัตตา จากนั้น นายป๋วยก็คืนยศทหารแก่กองทัพ อังกฤษ แล้วกลับไปแต่งงานกับมาร์กาเร็ต สมิทในปี พ.ศ.2489 และเรียนต่อระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยลอนดอน
ปี พ.ศ.2491 ป๋วยได้เรียนสำเร็จปริญญาเอกโดยใช้เวลาสามปีทำวิทยานิพนธ์ "เศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการ ควบคุมดีบุก" แต่เนื่องจากสถานการณ์ภายในประเทศไทย นายปรีดี พนมยงค์ถูกทหารทำรัฐประหาร ทำให้ สถานการณ์ไม่ปลอดภัย ทางญาติของให้ป๋วยยังไม่ต้องรีบกลับมา
ปี พ.ศ.2492 ดร.ป๋วยก็เดินทางกลับประเทศไทย บริษัทห้างร้านต่างๆจำนวนมากทั้งในและนอกประเทศ ต้องการตัวดร.ป๋วยไปทำงานโดยเสนอให้เงินเดือนสูงๆ แต่ในที่สุด ด.ร.ป๋วยก็เลือกที่จะรับราชการ เนื่องจากถือว่า ตนเองนอกจากจะเกิดเมืองไทย กินข้าวไทยแล้ว ยังได้รับทุนเล่าเรียนรัฐบาลไทย คือเงินของชาวนาชาวเมืองไทย ไปเมืองนอกแล้วผูกพันใจว่าจะรับราชการไทยด้วย
ดร.ป๋วยเข้ารับราชการครั้งแรกในตำแหน่งเศรษฐกร กรมบัญชีกลาง กระทรวงการคลัง ได้รับเงินเดือน ประมาณ 1,600 บาท สภาพเศรษฐกิจของประเทศไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังอยู่ในสภาพฟื้นตัว ต่อมาในปี พ.ศ.2495 ดร.ป๋วยได้รับแต่งตั้งให้เป็นผู้ช่วยฝ่ายวิชาการของปลัดกระทรวงการคลัง และกรรมการธนาคารแห่ง ประเทศไทย จนถึงปี พ.ศ.2496 ดร.ป๋วยก็ได้รับแต่งตั้งให้ดำรง ตำแหน่งรองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ได้มีส่วนทำให้อัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ต่างประเทศซึ่งมีปัญหามากในสมัยนั้น กลับมีเสถียรภาพมากขึ้น นักธุรกิจ มั่นใจค่าของ เงินบาทเมื่อเทียบกับเงินตราต่างประเทศ ทำให้ราคาสินค้าลดลงและเงินสำรอง ระหว่างประเทศก็ขยาย ตัวเพิ่มมากขึ้น
วันที่ 25 ธันวาคม ปี พ.ศ.2496 คณะรัฐมนตรีมีมติให้ดร.ป๋วยพ้นจากตำแหน่ง รองผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศ ไทยไปรับราชการเป็นผู้เชียวชาญการคลัง กระทรวง การคลังเนื่องจากดร.ป๋วยปฏิเสธการที่จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ต้องการซื้อสหธนาคาร กรุงเทพจำกัด แต่เนื่องจากธนาคารแห่งนั้นกระทำผิดระเบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย และกำลังถูกปรับเป็นเงินหลายล้านบาท จอมพลสฤษดิ์ขอให้ดร.ป๋วยยกเลิกการปรับ แต่ดร.ป๋วยปฏิเสธและยืนกราน ให้คณะรัฐมนตรีปรับธนาคารแห่งนั้น ในที่สุดคณะรัฐมนตรีก็ปฏิบัติตามข้อเสนอของดร.ป๋วย
ต่อมาพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์อธิบดีกรมตำรวจและรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ก็พยายาม เสนอให้บริษัทแห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกาซึ่งตนเองมีผลประโยชน์อยู่ด้วย เป็นผู้จัดพิมพ์ธนบัตรไทยแทนบริษัทโทมัส เดอลารู คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งให้ดร.ป๋วยเป็นผู้พิจารณาเรื่องนี้ ดร.ป๋วยตรวจพบว่าา บริษัทดังกล่าวฝีมือไม่ดี ปลอมง่ายและมีชื่อเสียงในการวิ่งเต้น จึงไม่มีความน่าเชื่อถือเพียงพอให้เป็นผู้จัดพิมพ์ธนบัตร จึงทำรายงานเสนอ ให้ใช้บริษัทโทมัส เดอลารูตามเดิม แต่ถ้าหากจะตัดสินใจให้บริษัทอเมริกันเป็นผู้พิมพ์ธนบัตรก็จะออกจากราชการ คณะรัฐมนตรีก็มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของดร.ป๋วย เหตุการณ์ครั้งนี้สร้างความไม่พอใจให้แก่พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์เป็นอย่างมาก ผู้มีอำนาจในประเทศขณะนั้นต่างไม่พอใจดร.ป๋วย เพื่อความปลอดภัยพระบริภัณฑ์ยุทธกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังจึงได้ให้ดร.ป๋วยไปดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจการคลังประจำสถานเอกอัคร ราชทูตไทยในอังกฤษ ในปี พ.ศ.2499 และยังได้เป็นผู้แทนไทยประจำคณะมนตรีดีบุกระหว่างประเทศ มีผลทำให้ ไทยสามารถขายแร่ดีบุกเป็นสินค้าออกสำคัญของประเทศได้มากขึ้น
ปี พ.ศ.2502 จอมพลสฤษดิ์ทำรัฐประหารยึดอำนาจการปกครอง จอมพลสฤษดิ์มีชื่อเสียไม่ดีหลายด้านแต่ ข้อเด่นคือ การเลือกใช้คน จอมพลสฤษดิ์ได้ให้ดร.ป๋วยกลับเมืองไทยเข้ามาช่วยงาน ต่อมาเมื่อนายโชติ คุณะเกษม ลาอกจากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จอมพลสฤษดิ์ได้โทรเลขไปถึง ดร.ป๋วยซึ่งกำลัง ประชุมคณะรัฐมนตรีดีบุก โลกที่กรุงลอนดอน เสนอให้รับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวง การคลัง แต่ดร.ป๋วยปฏิเสธไปว่า ไม่ขอรับตำแหน่งนี้ เพราะเมื่อตอนเข้าเป็นเสรีไทย ได้สาบานไว้ว่า จะไม่รับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ จนกว่าจะเกษียณอายุราชการ เพื่อ พิสูจน์ว่าไม่ได้หวังแสวงหาผลประโยชน์จากการเป็นเสรีไทย เมื่อดร.ป๋วยกลับจากอังกฤษ จอมพลสฤษดิ์ก็แต่งตั้ง ให้ดร.ป๋วยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ต่อมาได้รับ แต่งตั้งให้เป็นผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง อีกตำแหน่งหนึ่ง ดร.ป๋วยจึง ควบคุมทั้งนโยบายด้านการเงิน การคลังและงบประมาณของประเทศ ในขณะที่อายุได้ เพียง 43 ปี นอกจากนั้นดร.ป๋วยยังมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ เป็นกรรมการสภาพัฒน์ เป็นกรรมการสภาการศึกษาแห่งชาติ
แม้ว่าดร.ป๋วยจะมีตำแหน่งที่สูง แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย ชอบนุ่งกางเกงเวสต์ปอยต์มาทำงาน ไม่มีชุดดินเนอร์แจ็กเกตเป็นของตนเอง ชอบกินก๋วยเตี๋ยว ข้าวต้มกุ๊ย และเต้าฮวย
ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์ดำรงตำแหน่งงผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นเวลา 12 ปี นับเป็นผู้ว่าการที่อยู่ใน ตำแหน่งนานที่สุด ตลอดสมัยที่ดร.ป๋วยเป็นผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยถือได้ว่าเป็นสมัยที่ธนาคารแห่ง ประเทศไทยปลอดจากการเมืองมากที่สุด และเป็นยุคที่สามารถรักษาเสถียรภาพเงินตราไว้ได้อย่างแข็งแกร่ง เงินบาท ได้รับได้รับความเชื่อมั่นจากทั้งในและนอกประเทศ ทำให้มีการค้าขายและการลงทุนเพิ่มขึ้น นอกจากนั้นเงินทุน สำรองระหว่างประเทศก็เพิ่มมากขึ้นเป็นประวัติการณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มขยายสาขาออกไปสู่ภูมิภาค สามารถจัดตั้งโรงพิมพ์ธนบัตรได้สำเร็จ ไม่จำเป็นต้องไปพิมพ์ธนบัตรในต่างประเทศ มีการอออกพระราชบัญญัติ ธนาคารพาณิชย์ปี พ.ศ.2505 ซึงถือเป็นแม่บทของธนาคารพาณิชย์ตลอดจนนำเทคนิคนโยบายทางการเงินที่ สำคัญๆ เช่น อัตราเงินสดสำรองอัตราส่วนลดมาใช้ และชักจูงให้ธนาคารปฏิบัติตามกฎระเบียบ อันจำเป็นต่อการ เสริมสร้างความมั่นคงในระบบการธนาคาร และอนุมัติให้ธนาคารพาณิชย์เปิดสาขามากขึ้นและขยายไปทั่ว ราชอาณาจักร ทำให้กิจการธนาคารพาณิชย์ต่างๆเจริญรุดหน้าอย่างรวดเร็ว
ปี พ.ศ.2507 ดร.ป๋วยเข้ารับตำแหน่งคณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง และจะลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยแต่ถูกนายกรัฐมนตรียับยั้งไว้ ขณะนั้นคณะเศรษฐศาสตร์ มีอาจารย์ประจำเพียงสี่คน อาจารย์ป๋วยจึงเร่งผลิตอาจารย์โดยประกาศรับสมัครคนรุ่นใหม่ แล้วหาทุนส่งไปเรียน ต่างประเทศ ทำให้คณะเศรษฐศาสตร์เติบโตขึ้น ภายในเวลาเพียงสิบปี มีอาจารย์เพิ่มนับร้อยคน ส่วนใหญ่จบ การศึกษาระดับปริญญาโทและเอก
สิงหาคม พ.ศ.2508 ดร.ป๋วยได้รับรางวัลแมกไซไซ สาขาบริการสาธารณะ ในคำประกาศเกียรติประวัติ มีข้อความตอนหนึ่งว่า "บุคคลสำคัญผู้แสดงบทบาทอยู่เบื้องหลังความสำเร็จของธนาคารแห่งประเทศไทยในการ ขยายตัวทางเศรษฐกิจ โดยมีเสถียรภาพการเงินควบคู่กันไป นายธนาคารระหว่างประเทศยกย่องว่านายป๋วยเป็น ผู้ว่าการธนาคารกลางที่มีความสามารถดีเด่นคนหนึ่งของโลก ... การกระทำของนายป๋วยยังเป็นแรงบันดาลใจ สำหรับข้าราชการผู้ขยันขันแข็ง นายป๋วยผู้ถือได้ว่า ความเรียบง่ายคือความงามและความชื่อสัตย์สุจริต คือคุณความดีสูงสุดของชีวิตข้าราชการ เป็นหลักรประจำในซึ่งยึดถือมาช้านาน และได้เผยแพร่กับเพื่อนร่วมงาน ด้วยว่า ในฐานะนักเศรษฐศาสตร์ผู้แสวงหาความจริงและผู้ใช้วิชาชีพ จะต้องไม่เป็นเพียงผู้ที่คอยเรียนรู้อยู่เสมอและ ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพเท่านั้น หากยังต้องมีความชื่อสัตย์สุจริต และต้องแสดงให้ปรากฏออกมาถึง ความชื่อสัตย์สุจริตนั้นอย่างเพียงพอที่จะเรียกร้องให้ผู้อื่นมีความชื่อสัตย์สุจริตด้วย