เทคโนโลยี นวัตกรรม สิ่งประดิษฐ์ วิศวกรรม เกษตรศาสตร์ >>
การปลูกปทุมมาและกระเจียว
กรมส่งเสริมการเกษตร กองส่งเสริมพืชสวน
ลักษณะทั่วไปเกี่ยวกับปทุมมาและกระเจียว
ลักษณะทั่วไปเกี่ยวกับปทุมมาและกระเจียว ปทุมมาและกระเจียวเป็นไม้หัวล้มลุกอายุหลายปี มีลำต้นใต้ดินแบบเหง้าอยู่ในสกุลขมิ้น (Curcuma) ของวงศ์ขิง (Zingiberaceae) พืชในสกุลนี้มีอยู่ไม่น้อยกว่า 70 ชนิด โดยมีอยู่ใน ประเทศไทยราว 30 ชนิด กระจายพันธุ์อยู่ทั่วประเทศ พืชสกุลนี้แบ่งเป็น 2 สกุลย่อยคือ Eucurcuma ซึ่งมีกระเจียวเป็นตัวแทนที่รู้จักกันดีในด้านไม้ดอก จึงเรียกเป็นกลุ่มกระเจียว และ Paracurcuma ซึ่งมีปทุมมาเป็นตัวแทนที่รู้จักกันดี ในด้านไม้ดอก จึงเรียกเป็นกลุ่มปทุมมา การ จำแนกพืชสกุลขมิ้นนั้นปัจจุบันมีการศึกษาด้านอนุกรมวิธานน้อยมาก การกล่าวถึงไม้ดอกสกุลนี้ หลายชนิดจึงไม่สามารถระบุชื่อวิทยาศาสตร์ได้อย่างถูกต้อง
พืชในสกุลนี้มีลำต้นเทียม (pseudostem)
ซึ่งเกิดจากการอัดตัวกันของกาบใบลำต้นเทียมนี้เกิดจากตาข้างของเหง้า
ใบเป็นใบเดี่ยวอาจรูปหอกหรือรูปไข่ โดยอาจเห็นเส้นใบได้ชัดเจนในชนิดที่ใบเป็นคลื่น
รากเป็นฝอยโดยมีรากจำนวนหนึ่งสะสมอาหารใกล้ปลายรากทำให้รากบวมเป็นตุ้มขนาดใหญ่สีขาวซึ่งบางคนเรียก
milk stalk การออกดอกนั้นช่อดอกอาจเกิดโดยตรงจากเหง้าก่อนที่ลำต้นเทียมจะงอกขึ้นมา
บางชนิดมีดอกและลำต้นเทียมงอกขึ้นมาพร้อม ๆ กัน
และบางชนิดเกิดดอกที่ปลายยอดของลำต้นเทียม การออกดอกทั้ง 3 แบบ
พบในพืชกลุ่มกระเจียว ส่วนพืชกลุ่มปทุมมาจะมีการออกดอกแบบหลังเท่านั้น
ช่อดอกของพืชสกุลนี้เป็นแบบช่อแน่น (compact spike) ประกอบด้วยกลีบของใบประดับ
(bract) จะเวียนซ้อนกันเกิดเป็นช่อทรงกระบอก
โดยอาจเวียนแบบตามหรือทวนเข็มนาฬิกาก็ได้
ทั้งนี้โคนใบประดับจะเชื่อมกันเกิดเป็นถ้วยขึ้น
ใบประดับอาจมีสีเขียวทั้งช่อหรืออาจมีสีเขียวเฉพาะส่วนล่างของช่อและมีสีอื่นในส่วนบนของช่อ
หรืออาจมีสีอื่นทั้งช่อ ต่างกันไปตามชนิด และพันธุ์ สำหรับใบประดับส่วนบนของช่อนั้น
มักจะยาวกว่าใบประดับส่วนล่างเล็กน้อย
และไม่มีดอกจริงที่ซอกใบประดับเหมือนกับใบประดับส่วนล่างของช่อ
ใบประดับส่วนบนนี้จึงถูกเรียกชื่อว่า coma bract หรือใบประดับชนิด coma
ดอกจริงของพืชสกุลขมิ้นเป็นดอกที่ไม่มีก้านดอกมีกลีบเลี้ยง 3 กลีบ กลีบดอก 3 กลีบ
โดยกลีบดอก 1 กลีบเปลี่ยนรูปเป็นปาก โคนกลีบดอกและกลีบเลี้ยงเชื่อมกันเป็นรูปกรวย
หรือรูปหลอด โดยอาจมีกลีบรองดอกด้วย ในบางชนิดดอกเป็นดอกสมบูรณ์
มีเรณูซึ่งมีลักษณะคล้ายแป้ง อยู่ในอับเรณูดันที่แตกตามยาว
อับเรณูติดอยู่ที่ปลายก้านชูเกสรตัวผู้เล็กน้อย
รังไข่ของดอกไม้สกุลนี้อยู่ใต้กลีบเลี้ยง
ดอกของพืชสกุลขมิ้นจะอยู่ในซอกของใบประดับส่วนล่างของช่อดอก ซึ่งมีลักษณะคล้ายถ้วย
โดยแต่ละใบประดับจะรองรับช่อดอกย่อย ๆ สั้น ๆ ซึ่งมีดอก 2 - 7 ดอก
ดอกในช่อย่อยเดียวกันจะบานห่างกัน 4 - 6 วัน
ทั้งนี้ดอกในใบประดับบริเวณโคนช่อจะบานก่อนดอกในใบประดับบริเวณปลายช่อ
จำนวนดอกที่บานในแต่ละช่ออาจมีเพียงดอกเดียวหรือมีหลายดอกต่อวันก็ได้
อนึ่งในกรณีที่ต้นไม่ได้รับสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมดอกอาจฝ่อไปตั้งแต่ยังมีขนาดเล็ก
จนดูเหมือนว่าดอกมีแต่ใบประดับชนิด coma เพียงชนิดเดียว
ดอกจะเริ่มบานราว 6 นาฬิกา หรือช่วงที่ต้นพืชได้รับแสงแดดในตอนเช้า
และพร้อมที่จะรับการถ่ายละอองเกสรในเวลา 8 - 10 นาฬิกา เป็นส่วนใหญ่
มีเพียงบางชนิดเท่านั้นที่ดอกบานในช่วงบ่ายและพร้อมที่จะรับการถ่ายละอองเกสรในเวลาราว
16 นาฬิกา ปกติดอกในแต่ละซอกของใบประดับจะพัฒนาเป็นผลที่สมบูรณ์ได้เพียง 2 ผล
เนื่องจากผลที่สมบูรณ์จะมีขนาดใหญ่เกือบเต็มถ้วยซึ่งเกิดจากการเชื่อมกันของใบประดับทำให้ผลสามารถเบียดกันอยู่ได้เพียง
2 ผล ผลมีทรงกลมขนาดต่างกันขึ้นกับชนิดและความสมบูรณ์ผลมี 3 ช่อง
ภายในมีเมล็ดรูปร่างและขนาดคล้ายเมล็ดองุ่น
ด้านปลายแหลมของเมล็ดมีเยื่อบางสีขาวมีลักษณะเป็นแฉกหลายแฉกติดอยู่
เมล็ดมักมีการพักตัวเหมือนกับการพักตัวของเหง้า
สำหรับไม้ดอกกลุ่มปทุมมา ได้แก่ ปทุมมา (patumma) ทั้ง 2 ชนิดคือ Curcuma
alismatifolia และ C. sparganifolia บัวลาย บัวขาว และเทพรำลึก
นั้นมีกลีบดอกและกลีบเลี้ยงสีขาว
แต่ปากมีสีม่วงน้ำเงินซึ่งเป็นข้อแตกต่างอย่างเด่นชัดกับไม้ดอกกลุ่มกระเจียว
อันได้แก่กระเจียวส้ม กระเจียวชมพู กระเจียวโคม และกระเจียวชมพูช่อยาว
เนื่องจากไม้ดอกกลุ่มกระเจียวมีกลีบเลี้ยงและกลีบดอกสีขาวหรือเหลือง
โดยปากมีสีขาวหรือสีเหลือง นอกจากนี้ดอกของกลุ่มกระเจียวยังบานไม่ผึ่งผาย
กลีบดอกและกลีบเลี้ยงค่อนข้างกว้าง จึงทำให้ดอกบานมีลักษณะคล้ายถ้วย
ส่วนดอกของกลุ่มปทุมมานั้นบานผึ่งผาย กลีบดอกและกลีบเลี้ยงแคบ ดอกจึงบานได้เต็มที่
ดังนั้นลักษณะการบานของดอกและสีของปากจึงเป็นสิ่งที่ใช้แยกไม้ดอก 2
กลุ่มนี้ได้เป็นอย่างดี
ในกรณีของปทุมมาซึ่งมีอยู่ 2 ชนิด ซึ่งมีลักษณะคล้ายกันมากนั้น C. alismatifolia
มีสันนูนหรือครีบสีเหลือง 1 คู่ ตามความยาวของปาก ซึ่ง C. sparganitolia ไม่มี
ลักษณะของปทุมมาโดยทั่วไปคือ ก้านช่อดอกยาวกว่าความสูงของทรงพุ่ม
ใบประดับด้านล่างจำนวน 7 - 10 ใบ มีสีเขียว
โดยอาจมีสีชมพูแต้มบริเวณด้านข้างเล็กน้อย
ดอกจริงมีในซอกของใบประดับส่วนล่างของช่อเท่านั้น ใบประดับชนิด coma ซึ่งมีจำนวน 6
- 15 กลีบ มีสีขาว ชมพู ม่วงแดง หรือ ม่วงน้ำเงิน ปลายใบประดับชนิด coma
มักมีสีเขียว และอาจจะปลายโค้งเข้าสู่แกนก้านช่อหรือปลายโค้งออก อนึ่ง C.
alismatifolia ซึ่งปทุมมาที่นิยมปลูกกันนั้นได้ถูกนำไปตั้งชื่อว่า C. sharome
ในบางประเทศนัยว่าเพื่ออำพรางแหล่งกำเหนิด
บัวลาย บัวขาว และเทพรำลึกเป็นพืชขนาดเล็ก มีพุ่มสูงราว 30 - 40 เซนติเมตร
ช่อดอกยาว ใกล้เคียงกับความสูงของทรงพุ่ม บัวลายมีใบประดับที่มีสีทั้งช่อ
โดยกลีบมีสีชมพูและมีลายสีน้ำตาลเป็นแถบตามแนวยาว บัวขาวมีใบประดับชนิด coma
สีขาวล้วนเรียงกันแน่นบริเวณปลายช่อ ขณะที่ใบประดับมีสีเขียวล้วน
ส่วนเทพรำลึกมีใบประดับสีเขียวโดยอาจมีแต้มสีชมพูถึงแดงด้านข้างและใบประดับชนิด
coma ของเทพรำลึกมีสีขาวโดยมีแต้มสีเขียวที่ปลายกลีบ ทั้งนี้ใบประดับของบัวลาย
และเทพรำลึกมักเรียงเป็นแถวชัดเจน 5 - 6 แถว
ขณะที่ใบประดับของปทุมมาและบัวขาวเรียงวนไม่เป็นแถวชัดเจน
สำหรับไม้ดอกกลุ่มกระเจียวนั้นใบประดับมีสีทั้งช่อ โดยใบประดับของกระเจียวส้มนั้นมีสีส้มแดง โดยโคนกลีบอาจมีสีขาวหรือสีเหลืองออมเขียวหรืออาจมีสีเดียว กันทั้งกลีบก็ได้ ใบประดับของกระเจียวชมพูและกระเจียวชมพูช่อยาว รวมทั้งชมพูอมม่วง ทั้งนี้กระเจียวชมพูช่อยาวเป็นกระเจียวที่มีพุ่มช่อยาวได้ถึง 60 เซนติเมตร ส่วนใบประดับของกระเจียวโคนซึ่งเป็นกระเจียวที่มีพุ่มช่อขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลางราว 13 เซนติเมตร นั้นมีสีแดงเลือดนก ก้านช่อดอกของไม้ดอกกลุ่มกระเจียวเหล่านี้จะสั้นจนทำให้ช่อดอกอยู่ในทรงพุ่มเห็นได้ไม่เด่นชัดจากระยะไกลเมื่อปลูกเป็นแปลง
» ลักษณะทั่วไปเกี่ยวกับปทุมมาและกระเจียว
» พันธุ์และการขยายพันธุ์ปทุมมาและกระเจียว
» การขยายพันธุ์
» การแยกเหง้า
» การขยายพันธุ์ด้วยชิ้นส่วนขนาดจิ๋ว
» การดูแลรักษา
» การให้น้ำ
» การพรางแสง
» การให้ปุ๋ย
» การตัดดอก
» การปฏิบัติหลังการเก็บเกี่ยว
» การผลิตดอกนอกฤดู
» การเก็บเหง้า
» ศัตรูและการป้องกันกำจัด