สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
ศ.ดร.ลิขิต ธีรเวคิน, ราชบัณฑิต
ผู้อำนวยการโครงการปริญญาเอก วิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก
กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง ใกล้เคียงกับภาษาอังกฤษที่ว่า winds of change
กำลังพัดสะบัดไปทั่ว
ซึ่งเห็นได้จากการลุกฮือขึ้นเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตย
ในกรณีของจัตุรัสเทียนอันเหมิน เมียนมาร์ ประเทศไทย เป็นต้น
แต่ที่เป็นรูปธรรมและเห็นชัดที่สุดคือ
กรณีการลุกฮือของประชาชนเรียกร้องให้รัฐบาลเผด็จการที่ครองอำนาจอยู่เป็นทศวรรษลงจากตำแหน่งอำนาจ
ตูนิเซียและอียิปต์เป็นตัวอย่างของปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้
นอกเหนือจากเหตุการณ์ในตูนิเซียและอียิปต์
ขณะนี้การประท้วงของประชาชนเพื่อเรียกร้องให้มีระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย
เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการต่อต้านรัฐบาลที่ละเมิดหลักนิติธรรมและฉ้อราษฎร์บังหลวงได้เกิดขึ้นที่เยเมน
อัลจีเรีย อิหร่าน ซีเรีย คูเวต และมีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในที่อื่นๆ
ในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ
การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและประชาธิปไตยนี้เป็นปรากฏการณ์ที่คงจะหยุดยั้งไม่ได้
เสมือนหนึ่งกระแสของการเปลี่ยนแปลงที่เคยเกิดขึ้นในอดีต อันได้แก่
ในยุคต้นศตวรรษที่ 20 มีกระแสของการเรียกร้องให้มีการปกครองแบบสาธารณรัฐ
หรือกษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ
จากการเรียกร้องดังกล่าวนั้นก็ได้ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองในหลายประเทศรวมทั้งประเทศไทยด้วย
ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองได้เกิดกระแสของระบบฟาสซิสต์ซึ่งเข่นเขี้ยวกับระบบประชาธิปไตยและสังคมนิยม
จนหลังสงครามโลกระบบฟาสซิสต์ก็ได้ถูกทำลายลงในเยอรมัน อิตาลี ญี่ปุ่น
และอาจจะกล่าวได้ว่ารวมทั้งประเทศไทยด้วย
การล่มสลายของระบบฟาสซิตส์นำไปสู่การประจันหน้าระหว่างระบบสังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์
กับทุนนิยมและเสรีประชาธิปไตย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขยายตัวของระบบคอมมิวนิสต์และเศรษฐกิจรวมศูนย์แบบสังคมนิยมในยุคที่เรียกว่าสงครามเย็น
ซึ่งเป็นคำกล่าวที่ไม่ถูกต้องสอดคล้องกับความเป็นจริง สงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม
สงครามในอัฟกานิสถาน ต่างเป็นสงครามร้อนทั้งสิ้น กล่าวคือ
มีการใช้อาวุธเข้าเข่นฆ่ากัน และเสียชีวิตและเลือดเนื้อ
เป็นเพียงแต่ว่าไม่ได้ขยายวงจนกลายเป็นสงครามโลก
สงครามเย็นก็คือการพยายามต่อสู้กันด้วยลัทธิ อุดมการณ์ ระบบการปกครอง
และระบบเศรษฐกิจ
โดยโลกเสรีพยายามพิสูจน์ให้เห็นว่าจะอยู่คงทนกว่าประเทศในค่ายสังคมนิยม
และก็ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าโลกเสรีและทุนนิยมได้ชัยชนะ
ที่กล่าวมานี้คือกระแสของการเปลี่ยนแปลงซึ่งมาพร้อมกับอุดมการณ์ ระบบเศรษฐกิจ
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ฯลฯ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือขณะนี้
รวมทั้งที่จะเกิดขึ้นในที่อื่นๆ
เป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญยิ่งคือกระแสโลกาภิวัตน์
โดยได้มีการพัฒนาในเทคโนโลยีข่าวสารข้อมูลซึ่งนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทั้งในแง่การผลิตทางเศรษฐกิจ
รูปแบบของสินค้าและบริการที่มีมูลค่าสูงเท่าๆ หรือมากกว่าผลิตผลทางอุตสาหกรรม
และที่สำคัญที่สุดคือ การเปลี่ยนแปลงในแง่ข่าวสารข้อมูลและความรู้
ซึ่งส่งผลโดยตรงต่อทัศนคติของประชาชน
จนนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงในด้านวัฒนธรรมการเมืองและระบบการเมืองการปกครอง
ในยุคโลกาภิวัตน์โลกแคบลงจนบางครั้งถูกเรียกว่าเป็นหมู่บ้านโลก (global village)
เป็นโลกไร้พรมแดน
ข่าวสารข้อมูลข้ามพรมแดนซึ่งเป็นสิ่งสมมติที่มนุษย์สร้างขึ้นโดยผ่านสื่อที่ทันสมัย
ตั้งแต่โทรทัศน์ที่ส่งผ่านดาวเทียม เว็บไซต์
รวมตลอดทั้งการสื่อสารในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล อีเมล์ เฟสบุ๊ค
จากการเปลี่ยนแปลงและการพัฒนาในทางข่าวสารข้อมูลดังกล่าวนั้นนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคมที่สำคัญ
นั่นคือ การรับรู้ข่าวสารข้อมูล
การได้รับความรู้และความคิดจนนำไปสู่ทัศนคติทางการเมือง
โดยมีการเรียกร้องทางการเมืองมากขึ้น ซึ่งเดเนียล เลินเนอร์ (Daniel Lerner)
เรียกสิ่งนี้ว่า empathy ซึ่งหมายความว่า
ความสามารถในการที่จะสมมติให้ตนเองอยู่ในฐานะของผู้ปกครองบริหารประเทศว่าควรจะทำอะไรให้กับสังคม
หรือไม่ควรทำอะไร
เมื่อมีความสามารถเหล่านี้เกิดขึ้นก็ย่อมจะมีการเรียกร้องทางการเมือง
จากสภาวะที่สังคมโลกได้ก้าวสู่คลื่นลูกที่สามคือ
สังคมข่าวสารข้อมูลในยุคโลกาภิวัตน์ โดยอาจจะผสมผสานกับคลื่นลูกที่สองคือ
สังคมอุตสาหกรรม ขณะที่ในบางส่วนอยู่ในคลื่นลูกที่หนึ่งคือ สังคมเกษตร
แต่สิ่งที่มองข้ามไม่ได้คือ
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในสังคมแม้จะไม่อยู่ในระดับเท่ากันก็ตาม
ประชาชนในระดับรากหญ้าถึงแม้จะมีอาชีพอยู่ในคลื่นลูกที่หนึ่งคือเกษตร
หรือเป็นผู้ใช้แรงงานในคลื่นลูกที่สองคือโรงงานอตุสาหกรรม
แต่ก็สามารถใช้มือถือและสื่อสารกันด้วยเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่
ความคิดและทัศนคติทางการเมืองอาจข้ามมาสู่ในคลื่นลูกที่สาม
นั่นคือการเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีของความป็นมนุษย์
สภาวะดังกล่าวนั้นได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญยิ่งคือ
การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการเมือง จากวัฒนธรรมการเมืองแบบคับแคบ (parochial political
culture) และจากวัฒนธรรมการเมืองแบบไพร่ฟ้า (subject political culture)
ไปสู่วัฒนธรรมการเมืองแบบมีส่วนร่วม (participant political culture)
การเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมทางการเมืองนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในทางการเมือง
ขณะเดียวกันระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยที่อยู่ภายใต้กระแสคลื่นโลกาภิวัตน์ก็ได้แปรเปลี่ยนจากประชาธิปไตยแบบมีตัวแทน
(representative democracy) มาสู่ประชาธิปไตยแบบมีส่วนร่วม (participative
democracy) หรือการเมืองภาคประชาชนมากยิ่งขึ้น
การเปลี่ยนแปลงในหมู่ประชาชนทั้งในทางเทคโนโลยี ข่าวสารข้อมูล
เศรษฐกิจและวัฒนธรรมทางการเมืองนี้ เป็นสภาพของการปฏิวัติสังคม (social revolution)
ซึ่งถ้าระบบการเมืองการปกครองโดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้อยู่ในตำแหน่งอำนาจที่กุมอำนาจรัฐยังคงยึดติดอยู่ในคลื่นลูกที่หนึ่ง
และวัฒนธรรมการเมืองแบบไม่ใช่การมีส่วนร่วม
ย่อมจะนำไปสู่การไม่สอดคล้องกับสังคมยุคใหม่ การเรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ความเสมอภาค
ศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ของประชาชน
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เนื่องจากการแปรเปลี่ยนในสังคม
เศรษฐกิจ วัฒนธรรมทางการเมือง วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ตามที่ได้กล่าวมาแล้ว
จากที่กล่าวมาก็พอจะอธิบายได้ว่าปรากฏการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในหลายๆ
ประเทศขณะนี้มาจากสาเหตุอะไร กระแสแห่งการเปลี่ยนแปลง หรือ winds of change
ดังที่เกิดขึ้นนี้ยากที่จะกลับตาลปัตรทิศทาง
เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้ไม่ได้เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพ เช่น
ตึกรามบ้านช่อง หรือเครื่องไม้เครื่องมือ แต่เพียงอย่างเดียว
หากแต่เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ข่าวสารข้อมูล ความรู้ ความคิด ทัศนคติ ค่านิยม
ซึ่งส่งผลต่อปทัสถานทั้งในทางสังคมและในทางการเมือง
ความไม่สามารถในการปรับตัวของระบบการเมืองและของผู้นำทางการเมืองที่กุมอำนาจรัฐอยู่นี้
บ่งบอกถึงการตกยุคและจะเลี่ยงไม่ได้จากการนำไปสู่การผุกร่อนทางการเมือง หรือ
political decay
เนื่องจากความจำเริญทางการเมืองซึ่งวัดจากความตื่นตัวทางการเมืองอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและเศรษฐกิจเกิดขึ้นในอัตราที่เร็วกว่าการพัฒนาทางการเมืองหรือการพัฒนาสถาบันและกระบวนการที่จะตอบรับกับความตื่นตัวทางการเมืองและการเรียกร้องการมีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชน
กล่าวอีกนัยหนึ่ง
การเสียดุลระหว่างความจำเริญทางการเมืองและการพัฒนาทางการเมืองย่อมนำไปสู่สภาวะที่ไม่น่าพึงประสงค์ตามที่แซมมูเอล
ฮันติงตัน (Samuel Huntington) ได้กล่าวไว้ในหนังสือและบทความของตน
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะนี้สรุปได้ว่า
ในหลายประเทศสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นการบ่งบอกถึงการเรียกร้องของประชาชนที่ต้องการมีส่วนร่วมในทางการเมือง
และมีความเป็นเจ้าของประเทศ
ประชาชนต้องการพลังอำนาจ
ประชาชาติต้องการประชาธิปไตย
ประชาไทต้องการสมภาพและสิทธิเสรี
ประชาชีต้องการศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์
ที่มา : หนังสือพิมพ์สยามรัฐ ( วันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2554 )