สุขภาพ ความงาม อาหารและยา สมุนไพร สาระน่ารู้ >>
อาหารเข้าข่ายทารุณสัตว์
1. ล็อบสเตอร์ : ความอร่อยที่ต้องต้มเป็น ๆ ในน้ำเดือด
ล็อบสเตอร์ส่วนใหญ่ที่นำมาทำอาหาร จะถูกต้มทั้งที่ยังไม่ถูกฆ่าให้ตายในหม้อน้ำเดือด
ๆ เพราะเชื่อว่าจะทำให้เนื้อของล็อบสเตอร์หวานสด อร่อยเป็นพิเศษ แต่คำถามคือ
เจ้าสัตว์ตัวใหญ่ ก้ามใหญ่แถมยังมีแรงเยอะอย่างล็อบสเตอร์
ต้องต้มทั้งเป็นให้ดิ้นกันสุดฤทธิ์ สุดเดชในน้ำร้อนนานเท่าไหร่จึงจะตาย
ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่แค่ สองหรือสาม วินาที อย่างกุ้งตัวเล็ก ๆ ทั่วไป
โดย Audrey Eyton เขียนไว้ในหนังสือ The Kind Food Guide ว่า แม้จะเร่งเวลาในการต้มล็อบสเตอร์ให้เร็วขึ้น แต่อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาสัก 20 วินาทีอยู่ดี Audrey ยังอ้างถึงการทดลองทางวิทยาศาสตร์ ในมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด ที่สันนิษฐานว่า เจ้าก้ามใหญ่ผู้น่าสงสาร อาจต้องทนทรมานในน้ำเดือดปุด ๆ นานราว 2 นาที หรือมากกว่านั้นก็เป็นได้
ปัจจุบัน องค์กรสัตว์ทั้งหลายต่างออกมาต่อต้านการฆ่าล็อบสเตอร์อย่างทารุณ โดยให้เหตุผลว่า แม้ล็อบสเตอร์จะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับ หมู แกะ หรือวัว แต่ความทารุณก็คือความทารุณ พร้อมเรียกร้องให้ผู้บริโภคบอยคอตร้านอาหารที่ยังฆ่าล็อบสเตอร์ทั้งเป็น โดยวิธีการต้มในน้ำร้อนเดือด ๆ ทั้งนี้ทางเลือกที่เลี่ยงที่จะทรมานล็อบสเตอร์ให้น้อยที่สุด มีคำแนะนำให้นำล็อบสเตอร์ใส่ถุงพลาสติก แล้วแช่ตู้เย็นในช่องแข็งประมาณ 2 ชั่วโมง เจ้าก้ามโตก็จะค่อย ๆ สลบและตาย จากนั้นจึงค่อยนำไปทำอาหาร
2. ฟัวกราส์ : อาหารเลิศรสที่มาพร้อมข้อกังขา
ฟัวกราส์ (Foie gras) คือ ตับห่านหรือเป็ด ที่ถูกเลี้ยงด้วยการขุนให้อ้วน ถือเป็นอาหารเลิศรสของฝรั่งเศส ตับที่ได้นิยมนำมาทอดกินรวมกับซอสผลไม้ หรือทำเป็นเธอร์รีน (Terrine) ความโอชะของฟัวกราส์อยู่ที่ รสนุ่มมัน แทบจะละลายในปาก แต่ทว่า อาหารเลิศรสนี้ถูกต่อต้านโดยกลุ่มองค์กรสิทธิสัตว์ทั้งหลานย เหตุผลเป็นเพราะว่า กว่าที่จะได้ตับห่านหรือเป็ด ซึ่งมีคุณภาพและมีขนาดโตพอ เจ้าห่านหรือเป็ดเหล่านี้ ต้องถูกกรอกอาหารเข้าไปในลำคออย่างโหดร้ายทารุณ เพื่อให้อ้วนหมีพีมัน และตับมีขนาดโตกว่าปกติ จนบางประเทศถึงขนาดออกตัวบทกฎหมายห้ามขายฟัวกราส์กันแล้ว
วิธีการเลี้ยงด้วยการกรอกอาหารเข้าปากเช่นนี้ เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 ปีก่อนคริสตกาล โดยชาวอียิปต์ที่ใช้มือจับคอห่านให้อ้าปาก แล้วกรอกอาหารเข้าไป หลังจากนั้น ชาวโรมันได้นำวิธีการนี้ไปใช้ เมื่อหมดยุครุ่งเรืองของโรมัน ฟัวกราส์ไม่เป็นที่จดจำนัก กระทั่งเวลาล่วงไปกว่า 100 ปี ฟัวกราส์จึงกลับมาเป็นที่รู้จักอีกครั้ง โดยชาวยิวและแพร่หลายในครัวยุโรป แม้จะได้รับความนิยม แต่ยังมีข้อถกเถียงถึงความถูกต้องว่า ควรบริโภคดีหรือไม่
3. ปลาสองแผ่นดิน : สุกครึ่งไม่สุกครึ่งทั้งเป็น
ปลาสองแผ่นดินที่ว่านี้ เป็นอาหารจานหนี่งที่เคยตกเป็นข่าวฮือฮาในหน้าหนังสือพิมพ์ ด้วยว่ามีร้านอาหารแห่งหนึ่งริมชายทะเลระยอง นำปลาเก๋าทั้งเป็นมาทอดให้สุกแค่ครึ่งล่าง ส่วนท่อนบนอีกครึ่ง ยังดิ้นอ้าปาพะงาบ ๆ ทางร้านตั้งชื่ออาหารว่า “ปลาสองแผ่นดิน” เสริ์ฟให้กินกับน้ำจิ้มซีฟู้ดและซอสเปรี้ยว สร้างความสยดสยองให้กับผู้พบเห็นโดยทั่ว มีคนสืบถามความเป็นมา เจ้าของร้านบอกว่าเป็นสูตรเก่าแก่ของปู่ ซึ่งเป็นคนจีนที่อพยพเข้ามาอยู่ในเมืองไทย 100 ปี เชื่อว่ากินแล้วจะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ
แม้ไม่มีหลักฐานความเป็นมาที่แน่ชัด แต่พบว่าที่ไต้หวันก็มีอาหารลักษณะคล้ายกันนี้ เรียกว่า “ถัง ชู่ หัว หวี” (Tang Cu Huo Yu) ซึ่งน่าจะมีคนบางกลุ่มนิยมกินกันมานานเป็นสิบ ๆ ปี โดย Lian Shiqiu นักเขียนชื่อดังชาวไต้หวัน ซึ่งเสียชีวิตเมื่อปี ค.ศ. 1987 เคยวิจารณ์ในเชิงลบต่อการกินดังกล่าว
วิธีการทำ “ถัง ชู่ หัว หวี” เหมือนกับปลาสองแผ่นดิน โดยนำ ปลาหลี่ฮื้อ
ทั้งเป็นมาขอดเกล็ดแล้วบั้งเฉพาะเนื้อส่วนล่าง
จากนั้นใช้ผ้าเย็นห่อส่วนหัวถึงพุงปลา แล้วจุ่มส่วนหางที่บั้งลงทอดในน้ำมัน
ที่ร้อนจัดโดยรวดเร็ว ทั้งที่ส่วนหัวยังดิ้นอยู่ บางตัวอาจทรมานกว่านั้น
โดยถูกทอดเฉพาะส่วนล่างที่บั้งปล่อยให้ส่วนหัวและครีบหางยังดิ้นอย่างเจ็บปวด
พอสุกแล้วจัดใส่จานราดด้วยน้ำราดเปรี้ยวหวาน
แล้วใช้ตะเกียบคีบกินเฉพาะเนื้อปลาที่สุก พอกินหมด ส่วนหัวปลาที่ยังไม่ตาย
บางครั้งก็จะนำไปต้มน้ำแกงหัวปลา
ที่มา : นิตยสารครัว ปีที่ 15 ฉบับที่ 180 (มิถุนายน 2552) หน้า 10 – 11.