สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยจีน
รังสรรค์ หลิง นักศึกษาจีน เอกภาษาไทย ปีที่ 3
ณ.
มหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่ง
30 มิถุนายน 2543
แถลงการณ์ร่วมว่าด้วยแผนงานความร่วมมือในศตวรรษที่ 21
ระหว่างราชอาณาจักรไทย กับสาธารณรัฐประชาชนจีน
นับตั้งแต่ราชอาณาจักรไทยกับสาธารณรัฐประชาชนจีน
ได้สถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกันอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม
ค.ศ.1975 เป็นต้นมา ทั้งสองฝ่ายได้ร่วมมือกันอย่างราบรื่นทั้งในด้านการเมือง
เศรษฐกิจ การค้า การทหาร การศึกษา วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และด้านอื่น ๆ
บนพื้นฐานของ มิตรภาพ ความเสมอภาค การเอื้อประโยชน์และการเกื้อกูลซึ่งกันและกัน
ผู้นำระดับสูงสุด ผู้นำรัฐบาล
และประชาชนของทั้งสองประเทศได้แสดงบทบาทอย่างสำคัญต่อการสืบสานและ
พัฒนาความสัมพันธ์นี้โดยไม่หยุดยั้ง
จนกลายเป็นแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันอย่างกลมเกลียว
และสมานฉันท์ระหว่างประเทศที่มีระบอบสังคมที่แตกต่างกัน
ความร่วมมืออันดีระหว่างสองฝ่าย
ไม่เพียงแต่จะเกื้อกูลต่อผลประโยชน์โดยพื้นฐานของประเทศทั้งสองเท่านั้น
แต่ยังเป็นประโยชน์ ต่อสันติภาพและการพัฒนาของเอเชียและของโลกด้วย
ในขณะที่ศตวรรษที่ 21 กำลังใกล้จะมาถึงนี้
ทั้งสองฝ่ายมีความเห็นพ้องกันว่า ควรจะขยายความสัมพันธ์และความร่วมมือโดยรอบด้าน
ในฐานะประเทศเพื่อนบ้านที่ไว้ใจซึ่งกันและกันให้ก้าวหน้าต่อไป
บนพื้นฐานของผลประโยชน์ร่วมกันและความสัมพันธ์ฉันมิตรที่พัฒนามากว่า 20 ปี
เพื่อให้ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-จีน พัฒนาไปสู่ระดับใหม่ ในการนี้ ทั้งสองฝ่ายจึง
ออกแถลงการณ์เพื่อให้เป็นกรอบและแนวทาง
สำหรับการดำเนินการปฏิบัติตามของทั้งฝ่ายดังนี้
1. ทั้งสองฝ่ายยึดถือหลักการตามกฎบัตรสหประชาชาติ หลักการ 5
ประการแห่งการอยู่ร่วมกัน อย่างสันติ
สนธิสัญญามิตรภาพและความร่วมมือในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ
หลักกฎหมายระหว่างประเที่ศอันเป็นที่ยอมรับในสากล
เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองประเทศ
2. ทั้งสองฝ่ายจะรักษาไว้ซึ่งการติดต่อ
และการไปมาหาสู่ที่ใกล้ชิดระหว่างผู้นำของประเทศทั้งสอง
ส่งเสริมการติดต่อแลกเปลี่ยนอย่างสม่ำเสมอระหว่างข้าราชการทุกระดับ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้าราชการระดับสูงของฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการ
เพื่อผลักดันให้ความสัมพันธ์ระหว่าง ไทย-จีน พัฒนาไปโดยรอบด้านอย่างมั่นคง
และยั่งยืน
3.
ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะรักษาไว้ซึ่งกลไกการปรึกษาหารือประจำปี
ระหว่างข้าราชการระดับสูง ของกระทรวงการต่างประเทศของประเทศทั้งสอง
เพื่อแลกเปลี่ยนข้อคิดเห็นระหว่างกัน ในประเด็นทางการเมือง
ทั้งในกรอบทวิภาคีและพหุภาคี โดยจะผลัดเปลี่ยนกันเป็นเจ้าภาพ โดย
จะติดตามการดำเนินการตามแผนงานนี้ในระดับนโยบาย และหน่วยงานทางการทูตของทั้งสอง
ประเทศจะใช้โอกาสต่าง ๆ อย่างเต็มที่ในการติดต่อและหารือกันอย่างสม่ำเสมอ
4. ทั้งสองฝ่ายตกลงกันที่จะกระชับความร่วมมือด้านความมั่นคง
โดยอาศัยมาตรการเพื่อการสร้าง ความไว้เนื้อเชื่อใจกันต่าง ๆ เช่น
ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างหน่วยงานศึกษาวิจัยด้านยุทธศาสตร์ และความมั่งคง
ส่งเสริมให้ฝ่ายทหารและเจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศ มีการปรึกษา
หารือกันมากขึ้นในกิจการด้านความมั่นคง
การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ระหว่างทหารของทั้งสองฝ่ายในการช่วยเหลือและกู้ภัยเพื่อนมนุษย์
และการลดโอกาสของภัยพิบัติ รวมทั้งการแลกเปลี่ยน
ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีทางการทหาร ตลอดจนการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านต่าง ๆ
5.
ทั้งสองฝ่ายจะขยายความร่วมมือฉันมิตรบนพื้นฐานที่เท่าเทียมกันและการเอื้อประโยชน์
ซึ่งกันและกันในด้านการค้า การลงทุน เกษตรกรรม อุตสาหกรรม การพาณิชย์นาวี
วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี
- ทั้งสองฝ่ายเห็นความจำเป็นที่จะต้องประสานซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิด
ในด้านนโยบายเศรษฐกิจมหภาค โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ด้านนโยบายการเงิน
ผ่านการปรึกษาหารือกันและการร่วมมือทางด้านวิชาการอย่างใกล้ชิด
- ทั้งสองฝ่ายจะร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด ในการส่งเสริมและขยายการค้าระหว่างกัน
การขจัดข้อกีดกันทางการค้า การป้องกันการทุ่มตลาดซึ่งจะส่งผลเสียหายอย่างมาก
ให้กับเศรษฐกิจของอีกฝ่ายหนึ่ง ปรับปรุงกระบวนการทางการผลิตและมาตรฐาน การผลิต
และจะให้การพิจารณาต่อสินค้าส่งออกของอีกฝ่ายหนึ่งเป็นพิเศษเท่าที่จะ กระทำได้
- ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมและสนับสนุนการลงทุนระหว่างกันให้มากขึ้น
และจะปฏิบัติ ตามพันธกรณีตามความตกลงที่เกี่ยวกับการลงทุนที่มีอยู่
- ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมและขยายการแลกเปลี่ยนด้านเทคนิคและเทคโนโลยี เพื่อ
ยกระดับคุณภาพ มาตรฐานการผลิต และการเพิ่มมูลค่าแก่สินค้าเกษตร รวมทั้งทำให้
กฏระเบียบ และกระบวนการตรวจสอบคุณภาพให้ได้มาตรฐาน เพื่อส่งเสริมการส่งออก
ระหว่างกัน
- ในด้านอุตสาหกรรม ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมความร่วมมืออย่างใกล้ชิดในด้าน
ความรู้ทางเทคโนโลยี การใช้วัตถุดิบและเทคโนโลยี ที่ทั้งสองฝ่ายมีอยู่
เพื่อการผลิตร่วม การพัฒนานิคมอุตสาหกรรม การพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรม
ตลอดจนการพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์
โดยจะให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม
- ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง
จะสนับสนุนความร่วมมือด้าน การพัฒนากองเรือพาณิชย์นาวี และกิจกรรมอื่น ๆ
ที่เกี่ยวข้อง โดยร่วมมือกัน ในด้านวิชาการและการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
- ในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมการแลกเปลี่ยน ทางด้านวิชาการและเทคนิค โดยจะทำการวิจัยและพัฒนาร่วมเพื่อนำผลงาน ทางวิทยาศาสตร์ที่ประสบความสำเร็จไปใช้ในเชิงพาณิชย์
ในการนี้ ทั้งสองฝ่ายจะให้การสนับสนุนกลไกคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือ ด้านวิทยาศาสตร์และวิชาการ และคณะกรรมการร่วมว่าด้วยความร่วมมือทางด้านเศรษฐกิจการค้า เพื่อการประสานความสัมพันธ์และความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้า และด้านวิทยาศาสตร์ และวิชาการในการขยายมิติของความร่วมมือด้านใหม่ ๆ และการแก้ไขปัญหาอันอาจเกิดขึ้นจาก การดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือระหว่างกัน พร้อมทั้งจะสนับสนุนและส่งเสริมการแลกเปลี่ยน ด้านเศรษฐกิจ และการค้าระหว่างภาคธุรกิจของประเทศทั้งสอง และความร่วมมือด้านนี้ระหว่าง สองฝ่ายในประเทศที่สาม รวมทั้งอำนวยความสะดวกแก่วิสาหกิจที่เกี่ยวข้อง
6.
ทั้งสองฝ่ายจะให้ความสำคัญและสนับสนุนมากยิ่งขึ้นต่อความร่วมมือสี่เหลี่ยมเศรษฐกิจ
(ไทย จีน ลาว และพม่า)
รวมทั้งความร่วมมือในอนุภูมิภาคภายใต้กรอบความร่วมมือทางเศรษฐกิจ ในลุ่มแม่น้ำโขง
(ไทย จีน ลาว พม่า เวียดนาม และกัมพูชา) ซึ่งเป็นผลประโยชน์ร่วมกันของ
ทั้งสองประเทศตลอดจนประเทศอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องในภูมิภาคในระยะยาว
ทั้งสองฝ่ายให้ความสำคัญ อย่างมากต่อการเปิดเส้นทางทางน้ำ ทางบก และทางอากาศ
ซึ่งเชื่อมต่อระหว่างจีนกับไทย โดยจะอำนวยความสะดวกซึ่งกันและกัน
และแก่ประเทศที่เกี่ยวข้องในการใช้เส้นทางดังกล่าว
เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน การขนส่ง การบริการ การพลังงาน
การสื่อสาร และการท่องเที่ยว
7. ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมความร่วมมือด้านการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรม
การศึกษา การสาธารณสุข การกีฬา การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
และจะกระชับความร่วมมือตลอดจนการประสานงานภายใต้ กรอบความร่วมมือขององค์กรการศึกษา
วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO)
กองทุนสงเคราะห์เด็กแห่งสหประชาชาติ (UNICEF) และองค์การความร่วมมือ
ทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก (APEC) ตลอดจนองค์กรความร่วมมืออื่น ๆ
ทั้งในระดับ ภูมิภาคและโลก ในด้านสาธารณสุขนั้น
ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมความร่วมมือด้านการวิจัย ทางการแพทย์ การผลิตเวชภัณฑ์
การคุ้มครองผู้บริโภค การป้องกันและควบคุมโรงติดต่อ
8.
ทั้งสองฝ่ายจะส่งเสริมความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวอย่างแข็งขัน
และขจัดปัญหาอันเกิดจาก การท่องเที่ยว นอกจากนั้น
ทั้งสองฝ่ายจะร่วมกันส่งเสริมให้นักท่องเที่ยวจากประเทศที่สาม
เดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศทั้งสองด้วย
9.
ทั้งสองฝ่ายพร้อมจะร่วมมือกันเพื่อเสริมสร้างการติดต่อด้านตุลาการอย่างใกล้ชิด
โดยการ แลกเปลี่ยนข้อมูลและข่าวสารซึ่งกันและกัน
จะกระชับความร่วมมือในด้านการบังคับใช้กฎหมาย ให้มากยิ่งขึ้น
เพื่อปราบปรามกระบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ การค้ายาเสพติด การลักลอบ ขนสินค้าหนีภาษี
การก่ออาชญากรรมทางเศรษฐกิจ และการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย
ตลอดจนการก่ออาชญากรรมประเภทอื่น ๆ
10. ทั้งสองฝ่ายจะให้การเคารพต่อระบบกฎหมายของอีกฝ่ายหนึ่ง
และจะให้หลักประกันว่า
เมื่อมีเรื่องเกี่ยวพันถึงการฟ้องร้องโดยคนชาติของอีกฝ่ายหนึ่ง ควรให้หลักประกันว่า
ปัญหาดังกล่าวจะได้รับการแก้ไขอย่างเป็นธรรมตามครรลองของกระบวนการยุติธรรมที่เหมาะสม
11.
ทั้งสองฝ่ายจะกระชับความร่วมมือและการปรึกษาหารือระหว่างกันในเรื่องของภูมิภาค
และประเด็นระหว่างประเทศที่เป็นที่สนใจร่วมกันในเวทีพหุภาคี เช่น ASEAN, ARF, APEC,
ASEM รวมทั้ง UN และ WTO เป็นต้น เพื่อส่งเสริมสันติภาพและการพัฒนาของภูมิภาคและโลก
12. ฝ่ายจีนให้การเคารพต่ออิสรภาพ อธิปไตย
และบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทย ฝ่ายไทย
ยืนยันการยอมรับรัฐบาลสาธารณรัฐประชาชนจีนว่า จีนมีเพียงจีนเดียว
และไต้หวันเป็นดินแดน ส่วนหนึ่งของจีนที่มิอาจแบ่งแยกได้
13.
ทั้งสองฝ่ายมีความพอใจต่อพัฒนาการของความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างจีนกับองค์กรอาเซียน
และกับประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศ และเชื่อว่า ความร่วมมือระหว่างไทยกับจีน
เป็นปัจจัย ที่ ส่งเสริมความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับอาเซียนในทุกด้าน
ฝ่ายจีนชื่นชมต่อบทบาทของฝ่ายไทย
ในการกระชับความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดระหว่างจีนกับอาเซียน
ฝ่ายไทยยืนยันที่จะแสดงบทบาทอย่างแข็งขัน
ในการส่งเสริมความสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างจีนกับอาเซียนให้พัฒนาต่อไป
14. ทั้งสองฝ่ายเห็นว่า
แม้จะยังคงมีภาวะเสี่ยงภัยและสิ่งท้าทายต่าง ๆ ดำรงอยู่ แต่การแสวงหา สันติภาพ
ความมั่นคง เสถียรภาพ และความร่วมมือ ยังคงเป็นกระแสหลักของสถานการณ์ต่าง ๆ
ในภูมิภาคของตนในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะประเทศในเอเชียตะวันออกนั้น
ภายหลังจากการปรับตัวตามความจำเป็นแล้ว จะสามารถเอาชนะความยากลำบากชั่วคราว
อันเกิดจากกระแสวิกฤตทางการเงินได้อย่างค่อยเป็นค่อยไป
และจะกลายเป็นภูมิภาคที่มีพลวัตรและมีความหวังทางเศรษฐกิจสูงสุดแห่งหนึ่งในโลกต่อไป
15. ทั้งสองฝ่ายได้ตระหนักว่า
ระบบหลายขั้วอำนาจกำลังเป็นแนวโน้มและกระแสของโลกและ
พลังแห่งสันติภาพก็กำลังเข้มแข็งยิ่งขึ้น ดังนั้น จึงเป็นความจำเป็นของยุคสมัยนี้
และ กระแสทางประวัติศาสตร์ที่ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงได้
ที่จะต้องสถาปนาระเบียบความสัมพันธ์ของโลกใหม่ทั้งด้านการเมืองและเศรษฐกิจ
ที่มีสันติภาพ เสถียรภาพ ความยุติธรรม และสมเหตุสมผล
และทั้งสองฝ่ายพร้อมที่จะใช้ความพยายามร่วมกันอย่างแข็งขัน
เพื่อพัฒนาส่งเสริมความสัมพันธ์ ทวิภาคีต่อไปโดยไม่หยุดยั้ง
และเพื่อส่งเสริมเสถียรภาพ และความเจริญรุ่งเรืองของภูมิภาค และของโลกโดยส่วนรวม
แผนงานข้างต้นจะได้รับการทบทวนร่วมกันโดย
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ของประเทศทั้งสองต่อไป
ที่กรุงเทพฯ วันที่ 5 เดือนกุมภาพันธ์ พุทธศักราช 2542
ผู้แทนราชอาณาจักรไทย
สุรินทร์ พิศสุวรรณ
(นายสุรินทร์ พิศสุวรรณ)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้แทนสาธารณรัฐประชาชนจีน
ถัง เจียสวน
(นายถัง เจียสวน)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ
ความสัมพันธ์ด้านการเมืองระหว่างไทยกับจีน
การแลกเปลี่ยนการเยือนระดับสูง
ความร่วมมือไทย-จีนในศตวรรษที่ 21
ความร่วมมือไทย-จีนว่าด้วยด้านยาเสพติด
สัมพันธภาพระหว่างประเทศไทยกับประเทศจีนในด้านอื่นๆ
บทสุนทรพจน์ในวาระการครบรอบ 25 ปี
แห่งการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างจีน-ไทย
อ้างอิง : ศูนย์จีนศึกษา.2546. ความสัมพันธ์ระหว่างไทยจีนตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน