สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
สู่ความเป็นสากล
ระพี สาคริก
สัจธรรมได้ชี้ไว้อย่างชัดเจนว่า ทุกสิ่งมองได้สองด้าน
และรู้ได้ว่าด้านไหนคือพื้นฐานของอีกด้านหนึ่ง หากบุคคลใดมุ่งมองด้านเดียว
โดยมองข้ามด้านที่เป็นพื้นฐาน ย่อมรู้ได้ว่า
บุคคลผู้มองเป็นผู้ที่มีจิตใจคับแคบและเห็นแก่ตัว
การนำเอาเรื่อง การก้าวไปสู่ความเป็นสากล
มาพิจารณาค้นหาความจริงจึงควรเดินทางสายกลาง จึงจะสามารถมองได้สองด้าน
อีกทั้งหวนกลับมาถามตนเองก่อนว่า ก้าวไปทำไม ? และ
ก้าวไปแล้วได้รับผลได้ผลเสียอย่างไร ? ซึ่งแน่นอนที่สุด
ทุกคนผู้ที่มีใจกว้างย่อมเลือกที่จะก้าวไปสู่เส้นทางที่ก่อให้เกิดผลดีแก่ตนเองและสังคมร่วมกัน
มนุษย์ทุกคนที่เกิดมาสู่โลก ย่อมยืนอยู่บนแผ่นดินของโลกใบเดียวกัน
อีกทั้งยังใช้พื้นดินเป็นสื่อความรักและความรับผิดชอบร่วมกัน
ไม่ว่าจะต่างชาติต่างภาษาหรือต่างศาสนา และไม่ว่าความคิดจะแตกต่างกันอย่างไร
คนเห็นแก่ตัวหรือคนลืมตัว คนประเภทนี้อ่านความจริงที่อยู่ในใจได้จาก
การรู้สึกรังเกียจพื้นดิน และหลงอยู่กับความสบายในด้านวัตถุเป็นนิสัย
นอกจากนั้นหลังจากมีใครชี้แนะให้ชีวิตเดินไปสู่ทิศทางซึ่งจำต้องเผชิญกับความยากลำบาก
เพื่อฝึกฝนจิตใจให้เป็นคนรู้จักต่อสู้ หรือจำเป็นจะต้องสูญเสีย
เพื่อให้ได้รับสิ่งที่ดีมีคุณค่ามากกว่า มักมีข้ออ้างต่างๆ นาๆ ที่จะปฏิเสธ
ปรากฏให้อ่านใจได้ไม่ยาก แทนที่จะคิดต่อสู้กับใจตนเองเพื่อนำไปสู่การรู้สัจธรรม
คนลักษณะดังกล่าว มักหวนกลับมาทบทวนตัวเองได้ยาก
คงเน้นความสำคัญอยู่ที่ความเจริญก้าวหน้าด้านเดียว
และมักนำตนไปเปรียบเทียบกับคนอื่นในด้านที่คิดว่าตนพึงได้รับ
แทนที่จะมั่นคงอยู่กับความจริงซึ่งอยู่ในรากฐานจิตใจ
และถือปฏิบัติจากรากฐานตัวเองอย่างอิสระ
เมื่อกล่าวถึง ก้าวไปสู่ความเป็นสากล ยุคหลังๆ
เรามักพูดกันถึงเรื่อง โลกาภิวัตน์ ซึ่งคนส่วนใหญ่มักมุ่งเน้นความเข้าใจ
ไปยังการที่มนุษย์ที่เดินทางถึงกันทั่วโลก
อีกทั้งเข้าใจว่าการก้าวไปสู่ความเป็นสากลควรเอื้ออำนวยให้แก่การสร้างความรู้ความเข้าใจซึ่งกันและกันอย่างกว้างขวางเพียงด้านเดียว
โดยมองไม่เห็นว่าธรรมชาติของมนุษย์ย่อมมีความเห็นแก่ตัว
น่าจะมุ่งเอารัดเอาเปรียบซึ่งกันและกันด้วยวิธีการต่างๆมากกว่า
ดังที่กล่าวแล้วว่า คนเห็นแก่ตัว
มักมองเห็นความจริงที่อยู่ในรากฐานจิตใจตัวเองได้ยาก
คงมุ่งมองออกไปสู่ด้านนอกด้านเดียวเป็นส่วนใหญ่
ซึ่งคนประเภทนี้มักมีแนวโน้มขาดความรักแผ่นดินอันเป็นถิ่นเกิดของตัวเอง
คงเอาแต่สร้างวัตถุ จนกระทั่งบางครั้งพูดถึงความรักแผ่นดินมักไม่เข้าใจ
กระจกเงาบานใหญ่ ที่สะท้อนให้อ่านได้ถึงความจริงเรื่องนี้
น่าจะได้แก่การเกษตร ซึ่งเป็นงานที่ต้องพึ่งพาพื้นดินโดยตรง
สังคมใดคนตกอยู่ในสภาพที่เห็นพื้นดินเป็นเพียงพื้นฐานการประกอบอาชีพ
หรือเห็นพื้นดินเป็นวัตถุที่ซื้อขายกันในราคาแพง
แทนที่จะเห็นความสำคัญอีกด้านหนึ่งโดยการระลึกถึงคุณค่าของพื้นดิน
ย่อมสะท้อนให้เห็นถึงความล้มเหลวในการพัฒนาเกษตรกรรม
เหตุการณ์ดังกล่าว หากเกิดขึ้นในยุคใด คนรุ่นหลัง
ผู้ได้รับมรดกตกทอดย่อมนำพื้นดินไปขายและทิ้งถิ่นฐานบ้านช่องหนีเข้าเมือง
อีกทั้งยังเปิดโอกาสให้คนมีเงินกว้านซื้อที่ดินไปใช้เป็นเครื่องมือผลิตวัตถุ
โดยเข้าใจความหมายการเกษตรได้เพียงแต่ว่าเป็นวัตถุลักษณะหนึ่ง
จึงละทิ้งไปแสวงหาสิ่งที่สะดวกสบายกว่า
คนเหล่านี้ยากที่จะเห็นได้ลึกซึ้งว่าการเกษตรสร้างบรรยากาศที่หล่อหลอมจิตใจคน
ให้รักพื้นดินซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของชีวิตทั้งในด้านร่างกายและจิตใจ
ส่วนคนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเกษตรมักใช้ชีวิตแบบรังเกียจพื้นดิน
สังคมดังกล่าวมีผลทำให้การปฏิรูปที่ดินเพื่อการเกษตร
จำต้องประสบกับความล้มเหลว
เพราะคนมีนิสัยมองเห็นความสำคัญของที่ดินเพียงด้านวัตถุจึงคิดเอาไปใช้รองรับวัตถุสิ่งก่อสร้าง
โดยที่คิดว่าจะได้เงินมากกว่า
สังคมที่ตกอยู่ในสภาพดังกล่าวจำต้องพบกับความสูญเสียอย่างหนัก
มนุษย์มีจิตใจเป็นพื้นฐานสำคัญที่สุดของชีวิต
ส่วนกายเป็นเพียงสื่อระหว่างสิ่งแวดล้อมภายนอกกับจิตใจเท่านั้น
ร่างกายจึงทำหน้าที่ให้โอกาสมนุษย์ได้เรียนรู้ความจริงจากภายนอก
ดังนั้นวิญญาณความรักพื้นดินควรถือเป็นคุณสมบัติอันสำคัญที่สุดของชีวิตมนุษย์ทุกคน
ส่วนร่างกายเป็นเพียงวัตถุ
มนุษย์จึงไม่ควรนำเอาความสะดวกสบายของร่างกายมาเสพโดยที่คิดว่าคือความสุขพื้นฐานของชีวิต
สังคมใดคนในสังคมนั้นนำเอาร่างกายมาเสพความสุขจากความสะดวกสบายเป็นส่วนใหญ่
สังคมนั้นย่อมมุ่งไปสู่ความหายนะได้ไม่ยาก
เมื่อกล่าวถึงโลกาภิวัตน์
แทนที่จะมุ่งให้ความสำคัญแก่โลกภายนอกซึ่งมนุษย์จะเดินทางถึงกันโดยอาศัยวัตถุเป็นเครื่องมือ
หากมนุษย์มีความรับผิดชอบต่อความสงบสุขของโลกภายนอกจริง
ย่อมนึกถึงโลกที่อยู่ภายในรากฐานจิตใจตนเอง และใช้สิ่งนี้เป็นพื้นฐาน
การดำเนินชีวิต
การศึกษาเป็นพื้นฐานสำคัญในการพัฒนารากฐานจิตใจคน
ให้เป็นผู้รู้จักรับผิดชอบต่อโลกที่ตนอยู่ ร่วมกับความสงบสุขของเพื่อนมนุษย์ทุกคน
แต่การจัดการศึกษาทุกวันนี้กลับหล่อหลอมจิตใจคนให้มุ่งทิศทางสู่โลกภายนอกด้านเดียว
ดังจะพบความจริงว่า แต่ละคนต่างเบ่งตัวเองให้เป็นคนระดับโลก
แทนที่จะเป็นไปตามธรรมชาติ
มนุษย์จึงเกิดโรคร้ายที่สุด และแพร่ระบาดไปทั่ว
โรคนี้ไม่ใช่โรคที่ผู้มีนิสัยมองออกนอกตนเองแล้วเห็นได้เข้าใจกัน
แต่เป็นโรคที่เกิดขึ้นในจิตใจ สามารถแพร่ระบาดไปทั่ว
เครื่องมือชนิดใดก็ตามแม้กล้องจุลทรรศน์ที่เรียกว่ามีพลังขยายแรงที่สุดก็ไม่สามารถขยายให้เห็นได้
โรคนี้เป็นโรคการเอาแบบอย่างกันและกันในด้านการทำลายล้าง
สำหรับคนที่หลงอยู่กับความสบายทางกาย สามารถแพร่ระบาดไปได้อย่างรวดเร็ว
ระบบอะไรก็ควบคุมไม่ได้
ถ้ามนุษย์ไม่สามารถควบคุมจิตใจตนเองให้เข้มแข็งอยู่กับความจริง
สิ่งที่แพร่กระจายอยู่ในการจัดการศึกษาก็คือการเผยแพร่ระบบการสอนภาษาไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ
ฝรั่งเศส เยอรมัน ญี่ปุ่น จีน ฯลฯ โดยที่เชื่อว่าจะนำไปสู่ความเป็นสากล
ดังที่ปรากฎความจริงอยู่ในสถาบันการศึกษาทุกวันนี้ ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือ
ภาวะครอบงำโดยวัฒนธรรมทางภาษา
ซึ่งแพร่ระบาดอยู่ในชาติที่ด้อยความเจริญทางวัตถุกว่า
แทนที่จะใช้ภาษาจากใจที่เป็นรากฐานของตัวเอง
คำว่านานาชาติก็มองได้สองด้านเช่นกัน
ด้านหนึ่งมุ่งไปสู่ความเป็นนานาชาติบนพื้นฐานที่อิสระ
อีกด้านหนึ่งมุ่งไปสู่ความเป็นทาสของคนหลายชาติหลายภาษา
ดูเหมือนสังคมไทยกำลังมุ่งไปสู่ความเป็นทาสนานาชาติมากกว่า โดยเหตุที่
เราตกอยู่ภายใต้อิทธิพลวัฒนธรรมต่างชาติ
ดังเช่นสถาบันอุดมศึกษาต่างๆที่มีนโยบายมุ่งเน้นไปสู่ความเป็นนานาชาติ
โดยเอาภาษาต่างชาติหลายชาติมาทำการสอนเยาวชน หากมองอีกด้านหนึ่งจะพบความจริงว่า
ภาษาของชาติต่างๆ คือวัฒนธรรมของชาติเหล่านั้น
ดังนั้นคนที่เราผลิตออกไปจึงมุ่งออกไปทำงานรับใช้กลุ่มบุคคลซึ่งพูดภาษาที่ตนเรียนมา
แม้สื่อโทรทัศน์ซึ่งเป็นของราชการ มีการเปิดรายการภาคภาษาต่างประเทศ
โดยเอาคนไทยมาพูดภาษาอังกฤษกัน สิ่งที่เห็นได้ชัด ได้แก่
คนไทยด้วยกันเองแทนที่จะพูดภาษาไทยกันกลับเอาภาษาต่างชาติมาพูดกัน
ซึ่งบุคคลยุคก่อนเรียกกันว่า ดัดจริต
ครั้งหนึ่งคนจัดรายการดังกล่าวมาขอสัมภาษณ์ผู้เขียนโดยขอให้พูดเป็นภาษาอังกฤษ
ซึ่งตนพูดได้แต่ไม่พูดเพราะขัดกับความเป็นจริงที่มีอยู่ในใจ
ผู้เขียนไม่ใช่คนชาตินิยม โดยที่ตนรู้ดีว่าในใจไม่นิยมเงื่อนไขอะไรทั้งนั้น
รู้แต่เพียงว่าตนเป็นใครจึงไม่ยอมทำในสิ่งที่ขัดกับความจริง
อนึ่ง หากมองโรงเรียนนานาชาติที่เข้ามาเปิดสอนในเมืองไทย
ผู้ที่มองได้ลึกซึ้งรู้ความจริงได้ว่า
โรงเรียนเหล่านี้ให้บริการแก่ลูกหลานคนต่างชาติที่เข้ามาทำงานในเมืองไทย
และมีเจตนารมณ์เผยแพร่วัฒนธรรมต่างชาติร่วมด้วย หรือไม่ก็คนไทยที่นิยมต่างชาติ
ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือการแพร่อิทธิพลวัฒนธรรมต่างชาติเข้ามาถือครองจิตใจคนไทย
หากมองนานาชาติเป็นสากลในภาพรวมของโลกได้อย่างลึกซึ้ง น่าจะรู้ความจริงว่า
อยู่บนพื้นฐานความหลากหลาย
ถ้าต้องการพัฒนาคนในชาติให้เป็นสากลจริงๆควรเน้นพัฒนาคนให้รากฐานจิตใจอิสระ
ทำให้เปิดกว้าง
ครอบคลุมความหลากหลายเอาไว้ทั้งหมดด้วยการยอมรับและเข้าใจได้ถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรม
อีกทั้งรู้เท่าทันคนทุกชาติภาษา
และให้ความสำคัญแก่ภาษาประจำชาติเพื่อรักษาความซื่อสัตย์ต่อตนเองเอาไว้ให้มั่นคงอยู่ได้
สิ่งนี้น่าจะเป็นวิถีทางที่เป็นนานาชาติได้อย่างเท่าเทียมกันหมด
ตามหลักความจริงแล้วบุคคลใดก็ตามที่มีรากฐานจิตใจเปิดกว้าง
การปฏิบัติของบุคคลผู้นั้น
ย่อมได้รับการยอมรับและศรัทธาจากคนทุกชาติทุกภาษาได้ไม่ยาก แม้จะพูดภาษาไม่ได้
หากพฤติกรรมการปฏิบัติให้ใจแก่กันและกัน ย่อมสามารถสื่อถึงกันได้ไม่ยาก
มนุษย์ที่เกิดมาสู่โลก ควรอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข
การสื่อถึงกันทางใจจึงเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใดทั้งหมด ช่วงหลังๆ
ทิศทางการปฏิบัติของมนุษย์เริ่มห่างจากตัวเองมากขึ้น
จนกระทั่งหวนกลับมาสู่ธรรมชาติในใจตนเองได้ยาก
สภาพดังกล่าวทำให้มนุษย์ลืมตัวหรืออีกนัยหนึ่งคือลืมความจริงจากธรรมชาติที่อยู่ในจิตใจตนเอง
ทุกวันนี้มนุษย์ยึดติดอยู่กับสื่อที่เป็นเพียงสิ่งประดิษฐ์
แม้กระทั่งภาษาซึ่งลึกๆก็คือสิ่งที่มนุษย์แต่ละชาติประดิษฐ์ขึ้นมาเพื่อความเข้าใจกัน
ไม่ว่าจะมีความเป็นมายาวนานแค่ไหน
ก็ยังยึดติดอยู่กับภาษาพูดและตัวหนังสือจนกระทั่งลืมภาษาที่อยู่ในใจตนเอง
มนุษย์ผู้ลืมภาษาซึ่งเป็นธรรมชาติ
อันหมายถึงการแสดงออกจากใจที่ละเอียดอ่อนให้สามารถรู้ได้สัมผัสจากใจของแต่ละคน
ซึ่งภาษาที่กล่าวถึงนี้ไม่เพียงเป็นสื่อข้อมูลเท่านั้น
หากยังเป็นสื่อที่สร้างความรักความเข้าใจและความศรัทธาให้เกิดขึ้นแก่ใจผู้ที่มีโอกาสสัมผัสให้รู้สึกได้
หากบุคคลใดมีคุณสมบัติดังที่กล่าวมาแล้ว
ไม่ว่าจะสัมผัสกับคนชาติไหนภาษาไหนย่อมได้รับการยอมรับได้ไม่ยาก
ประเด็นนี้ผู้เขียนสามารถกล่าวได้ด้วยความมั่นใจ
เพราะเรียนมาจากประสบการณ์ชีวิตจริงทั้งหมด
มาถึงช่วงนี้ มองดูคนในสังคมไทยครั้งใด ทำให้รู้สึกได้ถึงความจริงว่า
เราไม่ได้เป็นนานาชาติแต่ตกเป็นทาสคนต่างชาติ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2546
รายการโทรทัศน์เสนอข่าวอย่างชัดเจนโดยรายงานว่า
รองนายกรัฐมนตรีของไทยคนหนึ่งชี้แจงว่า
จะเร่งให้สถาบันอุดมศึกษาผลิตคนออกมาให้ทันรองรับการมาลงทุนของต่างชาติในอนาคต
จึงขอแถมท้ายด้วยคำถามว่า ถ้าต้องการแก้ปัญหาเศรษฐกิจให้ดีขึ้น
แต่ชีวิตคนไทย้องตกเป็นทาสต่างชาติ เราจะเลือกเอาด้านไหน แต่ก็ไม่แน่
เพราะทุกวันนี้คนที่รักศักดิ์ศรีความเป็นไทแก่ตนเอง ยังคงมีอยู่ไม่มากนัก
ดังจะเห็นได้จากคำปรารภซึ่งได้ยินกันบ่อยๆว่า ทุกวันนี้เงินซื้อได้ทุกอย่าง
สิ่งที่กล่าวมานี้เป็นประจักษ์พยานอย่างดีว่า
นโยบายการบริหารประเทศในด้านการศึกษา
เราผลิตคนออกมาเป็นทาสรับใช้คนต่างชาติอย่างชัดเจนแล้ว
จึงไม่แปลกอะไรที่กำลังคิดว่า
คนไทยซึ่งรากฐานจิตใจยังเป็นไทแก่ตนเองจะมีหลงเหลืออยู่บนแผ่นดินผืนนี้อีกมากน้อยแค่ไหน
30 พฤษภาคม 2546