ประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ บุคคลสำคัญ ประเทศและทวีป >>
4
เกรกอรี รัสปูติน
ในระหว่างนี้ได้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 1 และซาร์นิโคลัสที่ 2
เองทรงเห็นความสำคัญสงครามครั้งนี้ พระองค์จึงทรงออกบัญชาการรบด้วยพระองค์เอง
และให้ซารินาอเล็กซานดราสำเร็จราชการแทน ซารินานั้นทรงเชื่อถือรัสปูตินอย่างมาก
เมื่อเขาเอ่ยสิ่งใดพระนางก็จะปฏิบัติตาม
และเมื่อรัสปูตินแนะนำให้แต่งตั้งใครดำรงดำแหน่งสูงๆ
หรือให้ขับไล่ใครไปเสียจากวังพระนางก็จะทรงทำตามโดยทันที
เมื่อออกว่าราชการก็ฟังแต่รัสปูตินเป็นหลัก
เขาจึงกลายเป็นผู้มีอิทธิพลในราชสำนักรัสเซีย
และยิ่งนับวันการกระทำของรัสปูตินก็ยิ่งเหิมเกริมมากขึ้น
ด้วยคิดว่าตนเองนั้นมีพลังอำนาจ
จนเชื้อพระวงศ์และขุนนางข้าราชบริพารกลุ่มหนึ่งไม่พอใจ และหนึ่งในนั้นคือ
เจ้าชายยูสโซบอฟ
เจ้าชายยูสโซบอฟทรงเห็นว่าการที่ปล่อยให้รัสปูตินอยู่ในราชสำนักต่อไป
จะเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ และทำให้ชื่อเสียงของราชวงศ์โรมานอฟเสียหาย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งชื่อเสียงของซารินาอเล็กซานดรา
พระองค์จึงวางแผนกับผู้ใกล้ชิดและเหล่าขุนนาง
ลวงรัสปูตินไปยังห้องใต้ดินในวังของพระองค์
และให้เขาดื่มไวน์และเค้กที่มียาไซยาไนด์ผสมอยู่
ว่ากันว่าปริมาณของไซยาไนด์ที่ผสมอยู่นั้นสามารถฆ่าคนธรรมดาได้ถึงสิบคน!!!
แต่รัสปูตินที่กินจนหมดนั้นกลับไม่เป็นอะไรเลย
ซ้ำยังมีท่าทางปกติราวกับว่าไม่มีใครสามารถฆ่าเขาได้
เมื่อเห็นท่าทางเป็นปกติของรัสปูติน เจ้าชายยูสโซบอฟ ถึงกับตกใจและโกรธอย่างมาก
เจ้าชายจึงชักปืนขึ้นมายิงรัสปูตินจนล้มคว่ำ แต่กลับไม่ตายเขาพยุงร่างขึ้น
จากนั้นก็เดินโซเซออกไปยังสนามหน้าวัง โดยมีกลุ่มขุนนางของระดมยิงตามหลัง
แต่กระสุนปืนก็ไม่อาจฆ่ารัสปูตินได้!!!
เมื่อไม่รู้ว่าจะฆ่ารัสปูตินได้อย่างไร สุดท้ายเหล่าขุนนาง
จึงจับร่างรัสปูตินมามัดแล้วโยนลงแม่น้ำเนวาที่หนาวเย็น
แม้ยาพิษและกระสุนปืนจะทำอะไรรัสปูตินไม่ได้ แต่เขาก็ตายเพราะจมน้ำ!!!
การตายของรัสปูตินสร้างความเศร้าโศกเสียใจให้แก่ซารินาอเล็กซานดราเป็นอย่างมาก
และที่พระนางและซาร์นิโคลัสทรงหวาดหวั่นยิ่งคือสิ่งที่รัสปูตินกล่าวต่อซารินาอเล็กซานดราก่อนตายว่า
"หม่อมฉันรู้ว่าหม่อมฉันจะถูกฆ่าตายในไม่ช้านี้
และขอให้พระองค์รับรู้ไว้ว่าถ้าหากเชื้อพระวงศ์องค์ใดทำให้หม่อมฉันตาย
พระองค์และครอบครัวจะต้องสิ้นพระชนม์ภายในสองปี ด้วยฝีมือประชาชนของพระองค์เอง"
และจากนั้นไม่นาน คำสาปของรัสปูตินก็เริ่มสำแดงผล
ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1917
เมื่อรัสเซียล้มเหลวในการทำสงครามเป็นผลให้ต้องสูญเสียทหารและทรัพสินเงินทองไปเป็นจำนวนมาก
บ้านเมืองเกิดทุกข์เข็ญข้าวยากหมากแพง
จึงเกิดกระแสแห่งการปฏิวัติขึ้นในราชอาณาจักรรัสเซีย ราษฎรทั้งชาวนาและชนชั้นแรงงาน
ร่วมกับเหล่าทหารแตกทัพจากสงครามโลกครั้งที่ 1 พากันหลั่งไหลเข้าไปถวายฏีกา
เพื่อให้ปรับปรุงระบบบริหารประเทศ จนเกิดจลาจลวุ่นวาย สุดท้ายซาร์นิโคลัสที่ 2
ก็ถูกบีบบังคับให้สละราชบัลลังก์ อันเป็นการสิ้นสุดระบบสมบูรณายาสิทธิราชของรัสเซีย
และการล่มสลายของราชวงศ์โรมานอฟที่ยิ่งใหญ่มาถึง 300 ปี
ซาร์นิโคลัสที่ 2 และครอบครัว
ถูกควบคุมตัวไว้ในพระราชวังก่อนจะถูกย้ายไปอยู่ในคฤหาสน์แห่งหนึ่งในไซบีเรีย
ที่นี่ทุกพระองค์ถูกกักบริเวณไว้ไม่ให้ออกมาเห็นโลกภายนอก
กระทั่งในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1918
เกิดการปฏิวัติของพวกบอลเชวิก(ลัทธิคอมมูนิสต์) ทำให้ทั้ง 7
พระองค์ถูกย้ายไปยังบ้านอีปาติเยฟ ในเมืองเยคาเทอรินเบิร์ก
ซึ่งอยู่ในควบคุมของพวกบอลเชวิกส์ และแล้วมัจจุราชก็คืบคลานเข้ามา
ในกลางดึกของวันที่ 16 กรกฎาคม 1918 ครอบครัวโรมานอฟที่กำลังหลับใหลถูกปลุกขึ้น
และถูกนำตัวลงไปยังห้องใต้ดินของบ้าน ทั้ง 7 พระองค์ทรงตระหนกต่อเหตุการณ์ที่พบเจอ
แล้วนายทหารคนหนึ่งก็อ่านประกาศให้ทุกพระองค์ทราบว่าราชวงศ์โรมานอฟทุกพระองค์ถูกตัดสินประหารชีวิต
สิ้นคำประกาศเหล่าทหารเพชฌฆาต 12 นาย
ก็ประทับปืนขึ้นยิงกราดไปยังทั้งหกชีวิต
เป็นจุดจบที่โหดร้ายอย่างยิ่งของราชวงศ์โรมานอฟ ซึ่งเป็นไปตามคำสาปของเกรกอรี
รัสปูติน !!!
ความยิ่งใหญ่ของราชวงศ์โรมานอฟ ก็สิ้นสุดลงเพียงเท่านี้
และแม้ว่าสาเหตุที่แท้จริงแห่งการสูญสิ้นระบอบกษัติย์ของรัสเซียนั้นจะมีหลายประการด้วยกัน
ทั้งความล้มเหลวในสงครามโลกครั้งที่ 1 ภาวะข้าวยากหมากแพง
ความไม่มั่นใจในระบอบกษัตริย์ของประชาชน รวมทั้งการแพร่กระจายของลัทธิคอมมูนิสต์
แต่รัสปูตินก็ยังถูกมองว่าเป็นพ่อมดหมอผี จอมขมังเวทย์ หรือผีดิบซาตาน ที่ชั่วร้าย
อันเป็นต้นเหตุแห่งคำสาปร้ายทำลายราชวงศ์โรมานอฟอยู่ดี
และประชาชนชาวรัสเซียก็ยังคงเกลียดชิงชังเขามากระทั่งปัจจุบัน