สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ การเมือง เศรษฐศาสตร์ >>
โสเภณี
ความสุขทางเพศเป็นความสุขที่เกิดจากความตื่นเต้น เร้าใจ และผ่อนคลาย
ดังนั้นความแปลกใหม่ การต้องหลบหลีก หลบซ่อน
และการได้ระบายอารมณ์ในที่สุดเมื่อมารับบริการทางเพศ
จึงล้วนเป็นสิ่งดึงดูดใจมนุษย์จำนวนมาก จนมิอาจถอนตัวออกไปได้โดยง่าย ด้วยเหตุนี้
การบริการทางเพศจึงคงอยู่คู่โลกและมีวิวัฒนาการตลอดมาโดยไม่หยุดยั้ง
การบริการทางเพศมีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ในยุโรปและเอเชียตะวันออกกลาง
ตั้งแต่สมัยกรีกและโรมันโบราณ มีประเพณีการพลีพรหมจรรย์เพื่อบูชาเทพเจ้า
ดังนั้นจึงมีหญิงสาวที่มีความเลื่อมใสศรัทธาต่อศาสนา
พลีกายให้ชายแปลกหน้าในวิหารหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในพิธีกรรมต่าง ๆ
ในยุคต่อมาคือยุคของคริสต์ศาสนา
พิธีกรรมดังกล่าวถูกยกเลิกไป แต่การบริการทางเพศยังคงอยู่
โดยถูกเปลี่ยนรูปแบบไปเป็นการบริการที่มีค่าตอบแทน
และกระทำกันทั่วไปจนเกิดเป็นสำนักโสเภณีสำหรับให้บริการทางเพศอย่างเปิดเผย
คำว่าโสเภณีแปลว่าหญิงงาม ตรงกับคำภาษาอังกฤษว่า
prostitute
หมายถึงหญิงที่ยินยอมมีเพศสัมพันธ์กับชายเพื่อแลกกับเงินหรือสิ่งของมีค่า
ในยุคแรก ๆ ของการค้าประเวณี กิจกรรมดังกล่าวยังอยู่ในระเบียบวินัย
และภายใต้การควบคุมของกฎหมาย แต่ต่อมามีปัญหาต่าง ๆ เกิดขึ้นมากมาย
อันเป็นผลมาจากการค้าประเวณี
สำหรับทวีปเอเชีย ประเทศอินเดียตั้งแต่สมัยพุทธกาล
มีหลักฐานที่แสดงว่า การบริการทางเพศเป็นอาชีพสุจริตและมีเกียรติ
หญิงโสเภณีได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้มีคุณประโยชน์ต่อสังคม ส่วนจีนโบราณ
หญิงบริการก็ได้รับการยกย่องว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญทางเพศ
จนถึงขนาดเป็นที่ปรึกษาในราชสำนัก
และสำหรับบุคคลทั่วไปก็มีสถานบริการทางเพศที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า โรงน้ำชา
ตำนานโสเภณีในประเทศไทย
สำหรับประเทศไทยมีบันทึกในประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยอยุธยาว่ามีหญิงบริการทางเพศแก่ผู้ชาย
ในกฎหมายตราสามดวง ซึ่งใช้ในสมัยรัชกาลที่ 1 ก็กล่าวถึงหญิงโสเภณี
จึงเป็นการยืนยันว่ามีอาชีพนี้ในสมัยรัตนโกสินทร์ ปี พ.ศ.2411 รัชกาลที่ 5
ทรงประกาศเลิกทาส
แต่ทาสสาวส่วนหนึ่งซึ่งนายทาสปล่อยให้เป็นไทแก่ตัวกลับไม่มีหาทางทำมาหากิน
จึงต้องกลายเป็นโสเภณี
ต่อมาการค้าประเวณีก็แพร่หลายมากขึ้น
ก่อให้เกิดการแพร่ของกามโรคอย่างรวดเร็ว รัชกาลที่ 5
จึงทรงออกพระราชบัญญัติสัญจรโรค ร.ศ.127 (พ.ศ.2452) เพื่อป้องกันและควบคุมกามโรค
โดยบัญญัติให้สถานบริการทางเพศต้องจดทะเบียนและมีชื่อโสเภณีในสำนักให้ตรวจสอบได้
รวมทั้งโสเภณีแต่ละคนต้องไปจดทะเบียนกับเจ้าพนักงานด้วย
ปี พ.ศ.2475
มีการออกกฎหมายให้ชายหญิงมีภรรยาหรือสามีได้เพียงคนเดียว
ทำให้บรรดาภรรยาน้อยจำนวนหนึ่งต้องเปลี่ยนสภาพเป็นโสเภณี และในปี พ.ศ.2491
แรงกดดันจากประเทศต่างๆ ทำให้รัฐบาลต้องอนุญาตให้มีโสเภณีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย
หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
มีมติจากที่ประชุมองค์การสหประชาชาติว่า
การค้าประเวณีทำให้ศักดิ์ศรีของมนุษย์ตกต่ำลง และเป็นต้นเหตุแห่งความเสื่อมทรามต่าง
ๆ ในสังคม เช่น การค้าผู้หญิง การบังคับให้หญิงค้าประเวณี อาชญากรรม
และการแพร่เชื้อกามโรค
ประเทศไทยซึ่งเป็นสมาชิกขององค์การสหประชาชาติจึงต้องปฏิบัติตามมติดังกล่าว
โดยการออกพระราชบัญญัติปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2503 แทนพระราชบัญญัติสัญจรโรค
ร.ศ.127 ทำให้อาชีพโสเภณีเป็นสิ่งผิดกฎหมายตั้งแต่นั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อเกิดสงครามเวียดนามในปี พ.ศ.2503
ประเทศไทยซึ่งกลายเป็นฐานทัพของอเมริกันจำเป็นต้องดำเนินธุรกิจนี้ต่อไป
เพื่อบริการทหารที่มารบในสงครามเวียดนาม แต่ได้เปลี่ยนรูปไปเป็นโรงน้ำชา
สถานบริการอาบอบนวด บาร์อะโกโก้ และเมียเช่า ฯลฯ ปี พ.ศ.2519 สงครามสงบ
แต่บริการทางเพศดังกล่าวยังคงอยู่ เพราะยังเป็นที่ต้องการของลูกค้าชาวไทย
พ.ศ.2530 ไทยประกาศเป็นปีท่องเที่ยว
แต่สิ่งที่ดึงดูดความสนใจและทำรายได้มหาศาลคือการบริการทางเพศ
จึงทำให้ธุรกิจประเภทนี้เพิ่มจำนวนขึ้นอีกมากมาย
และพัฒนาวิธีการจนเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลก ประเทศไทยจึงได้รับสมญานามใหม่ว่า
สยามเมืองเซ็กซ์ อันเป็นภาพลักษณ์ที่อัปยศของคนไทยทั่วไป
แต่รัฐบาลก็ประท้วงพอเป็นพิธีเท่านั้น จนกระทั่ง พ.ศ.2536
ประเทศไทยถูกเพ่งเล็งมากเรื่องโสเภณีเด็ก
รัฐบาลจึงได้ออกพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ.2539
แม้กระนั้นก็ตาม จำนวนโสเภณีก็มิได้ลดลง แต่อยู่ในรูปแบบที่แอบแฝงมากขึ้น
จากโสเภณีสู่บริการทางเพศแบบอื่น ๆ
เนื่องจากการค้าประเวณีในปัจจุบันเป็นสิ่งผิดกฎหมาย
การบริการทางเพศจึงต้องปรับรูปแบบ เช่น เป็นนางทางโทรศัพท์ หญิงบริการอาบอบนวด
หญิงบริการตามร้านอาหาร โรงน้ำชา หรือบาร์รำวง นักแสดงอะโกโก้
หญิงขายเหล้าในบาร์เบียร์หรือค็อกเทลเล้านจ์ เพื่อนฟังเพลงในผับหรือห้องคาราโอเกะ
และบริการอื่น ๆ เช่น เซ็กซ์โผน ร้านขายอุปกรณ์ทางเพศ เป็นต้น
นอกจากนั้นยังมีเซ็กซ์ไลน์คลายเครียด วอยซ์เมล์ (voice
mail) และปาร์ตี้ไลน์ (party line) ซึ่งนิยมในหมู่วัยรุ่น
บริการทางเพศแบบแอบแฝงเหล่านี้อาจมีพวกมิจฉาชีพแฝงตัวมาด้วย จึงควรระวังอันตราย
โดยเฉพาะวัยรุ่นซึ่งยังอ่อนต่อโลก
ทำไมประเทศไทยจึงต้องมีโสเภณี
คนทั่วไปมักมองว่าโสเภณีเป็นปัญหาของสังคม
เพราะประกอบอาชีพที่ผิดศีลธรรม แพร่เชื้อกามโรค ก่อปัญหาสังคม
และทำลายภาพพจน์ของประเทศชาติ แต่มุมมองเช่นนี้อาจไม่เป็นธรรมแก่พวกเธอ
และไม่นำไปสู่การแก้ปัญหา
ดังนั้นจึงมีนักวิชาการวิเคราะห์ปัญหาโสเภณีในเชิงสร้างสรรค์ ดังต่อไปนี้
โสเภณีเกิดจากทัศนคติ วัฒนธรรม
และความเชื่อของคนไทยที่มีมาแต่โบราณกาล
สังคมไทยยุคก่อน ๆ มีการกดขี่ผู้หญิง ถือว่าผู้หญิงเป็นทาส
เป็นสินค้า หรือเป็นผู้ที่ต้องให้บริการทางเพศแก่ผู้ชาย
เจตคติแบบนี้ทำให้ผู้ชายซื้อบริการทางเพศโดยไม่รู้สึกผิด
นอกจากนั้นสังคมไทยยังยอมรับความสำส่อนทางเพศของผู้ชายได้
จึงก่อให้เกิดธุรกิจเพื่อตอบสนองตัณหาของผู้ชาย โดยถือว่าเป็นสิ่งชอบธรรม
ผู้หญิงต้องขายบริการเพราะความยากจนและด้อยโอกาส
หญิงบริการจำนวนมากอยู่ในชนบทและมีฐานะยากจน
มีความแตกต่างในระดับการศึกษา รายได้ และความสะดวกสบายเมื่อเทียบกับผู้คนในเมือง
พวกเธอจึงต้องดิ้นรนเพื่อความเสมอภาค โดยการเข้ามาหากินในเมือง
รัฐบาลไม่ให้ความสนใจต่อการแก้ปัญหาอย่างจริงจัง
นโยบายของประเทศกว่า 40 ปี มาแล้ว
เป็นไปในลักษณะสนับสนุนการพัฒนาด้านวัตถุ ทอดทิ้งภาคเกษตรกรรม
และไม่อนุรักษ์วัฒนธรรมของท้องถิ่น คนชนบทจึงวิ่งเข้ามาในเมืองเพื่อแสวงหางานง่าย ๆ
ที่ทำรายได้มาก ๆ และใช้ชีวิตสุขสบายด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่าง ๆ
แม้จะต้องแลกด้วยเลือดเนื้อและชีวิต
ความเป็น วัตถุนิยม ซึ่งนำไปสู่ การขายบริการทางเพศ
ไม่เพียงแต่เกิดขึ้นในชนบท ซึ่งประชาชนด้อยโอกาสกว่าคนในเมือง
แต่กำลังระบาดเข้ามาสู่สังคมเมือง
ซึ่งเป็นประชากรที่ฐานะปานกลางหรือสูงและมีการศึกษาดีกว่า