วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>
สวนพฤกษศาสตร์ที่เกิดขึ้นบนพื้นฐานสังคมไทย
ระพี สาคริก
โดยปกติ
การทำสวนพฤกษศาสตร์มักนิยมทำกันในประเทศที่อยู่ในเขตอบอุ่นของโลก หรือถ้าจะกล่าวว่า
เรื่องนี้เป็นวัฒนธรรมของสังคมในกลุ่มประเทศดังกล่าวก็ไม่น่าจะผิด
สำหรับประเทศในเขตร้อนรวมทั้งประเทศไทย
ต่างก็มีธรรมชาติที่เป็นพื้นฐานความหลากหลายทางชีวภาพอยู่แล้ว
นับตั้งแต่ความหลากหลายของมวลมนุษยชาติ สานถึงความหลากหลายของพันธุ์พืชพันธุ์สัตว์
ซึ่งคนท้องถิ่นในประเทศเขตร้อน
มักมองข้ามตัวเองเป็นส่วนใหญ่ในระดับพื้นฐานจึงมีนิสัยดูถูกสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว
หากนำเอาความแตกต่างทางชีวภาพ ของทั้งสองเขตของโลกมาพิจารณา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนพื้นฐานการจัดการศึกษา ควรสรุปได้ว่า เพราะประเทศในเขตอบอุ่น
ขาดความอุดมสมบูรณ์ในด้านความหลากหลายทางชีวภาพที่จะนำมาใช้ประโยชน์
จึงจำเป็นต้องมีการทำสวนพฤกษาศาสตร์ เพื่อเก็บรวบรวมพันธุ์พืชมาใช้ในการศึกษา
แม้การจัดการในเรื่องพันธุ์สัตว์ก็เช่นกัน ซึ่งส่วนใหญ่มักมีแนวโน้ม
นำมาจากป่าของประเทศในเขตร้อน
ดังนั้น เมื่อกล่าวถึงภาพรวมภายในองค์ประกอบของพันธุ์พืช
แม้พันธุ์สัตว์ในระดับโลก
ร่วมกับความแตกต่างระหว่างนิเวศวิทยาของพันธุ์ธรรมชาติเหล่านั้น
ย่อมมีความสัมพันธ์อยู่กับการดำรงชีวิตของมนุษย์ในชุมชนท้องถิ่น
ดังนั้นเราจึงสรุปได้อย่างชัดเจนว่า
แท้จริงแล้วสวนพฤกษศาสตร์แม้แต่สวนสัตว์ที่เป็นของจริง ควรจะได้แก่ ป่า
ซึ่งเป็นองค์รวมขั้นพื้นฐานของชีวิตซึ่งอยู่ในทุกรูปลักษณะและทุกสภาพซึ่งอยู่ในท้องถิ่นอย่างไม่มีการละเว้น
ส่วนการทำสวนพฤกษศาสตร์หรือแม้แต่สวนสัตว์ สำหรับประเทศในเขตร้อน
ควรจะเป็นสถานที่เก็บรวบรวมพันธุ์พืชหรือพันธุ์สัตว์ที่หาได้ยากจากสวนพฤกษศาสตร์ธรรมชาติหรือจากป่าของท้องถิ่น
แต่กระบวนการจัดการศึกษาของประเทศในเขตร้อนส่วนใหญ่
มักมีแนวโน้มทำให้คนท้องถิ่น ยึดติดอยู่กับรูปแบบ
ซึ่งตนมีโอกาสสัมผัสจากสังคมตะวันตก ดังนั้น เราจึงพบความจริงว่า
การทำอะไรก็ตามที่ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานอันแท้จริงของตัวเอง หากไปนำเอาผล
ซึ่งเป็นพื้นฐานของสังคมต่างถิ่นมาใช้ประโยชน์ มักทำให้สร้างขึ้นมาเพื่อความโก้หรู
หรือไม่ก็มีเจตนาที่จะสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นพื้นฐานรองรับให้ตัวเองมีโอกาสเป็นบุคคลผู้ยิ่งใหญ่ภายในสังคมเช่นที่มักกล่าวกันว่า
ทำขึ้นมาเพื่อให้ตนมีโอกาสครอบครองอาณาจักร
ซึ่งการนำปฏิบัติแบบนี้เรามักพบเห็นได้ในกลุ่มประเทศเขตร้อนทั่วๆไป
ผลจึงปรากฏว่า เมื่อชีวิตบุคคลผู้นั้นผ่านพ้นไปแล้ว
ผลที่ปรากฏก็ย่อมสะท้อนออกมาฟ้องตัวเองทำให้ชนรุ่นหลังต้องรู้สึกยากลำบากที่จะนำมาแก้ไขปรับปรุงใหม่
สิ่งที่กล่าวมาแล้ว ย่อมสอดคล้องกันกับสัจธรรม
ซึ่งคนยุคก่อนเคยกล่าวฝากไว้ว่า ขึ้นขี่หลังเสือนั้นง่าย
แต่ลงจากหลังเสือนั่นสิยากยิ่ง หรือไม่ก็อาจกล่าวว่า
การทำอะไรลงไปโดยมีสิ่งเคลือบแฝง
จากกาลเวลาที่ผ่านพ้นไปย่อมมีผลฟ้องตัวเองไม่เร็วก็ช้า
โดยปกติแล้ว สำหรับประเทศไทยถ้าคิดจะทำสวนพฤกษศาสตร์
หากเป็นการทำที่ชอบด้วยเหตุและผล ก่อนอื่นควรที่จะสามารถรักษาป่าให้อยู่ นอกจากนั้น
ผู้นำปฏิบัติควรจะมีรากฐานจิตใจที่อิสระการนำปฏิบัติ ซึ่งควรมีพื้นฐานอิสระ
ปลอดจากอิทธิพลการแทรกแซงโดยสิ่งภายนอก
ส่วนการคิดที่จะสร้างเรือนกระจกตามแบบฉบับของพื้นฐานวัฒนธรรมตะวันตก
น่าจะเก็บเอาไว้ทีหลัง เพื่อนำมาใช้ในสิ่งที่จำเป็นจริงๆเท่านั้น
ประเด็นนี้ฉันเคยเขียนไว้ตั้งแต่รู้ว่า จะมีการจัดตั้งสวนพฤกษศาสตร์
ขึ้นในประเทศไทย อันนับได้ว่าเป็นเวลาหลายปีมาแล้ว
เช่นเดียวกันกับการจัดแสดงพันธุ์ไม้นานาชาติ
ซึ่งแต่ก่อนเมื่อมีการคิดที่จะจัดแสดง มักทำกันภายในอาคารที่มีการปิดอย่างมิดชิด
หรือที่เรียกกันว่า อินดอร์ (Indoor) หลายคนคงจำได้ดีว่า
ช่วงที่ประเทศไทยรับมอบหมายให้เป็นเจ้าภาพจัดงานประชุมกล้วยไม้นานาชาติ
หรืออาจกล่าวว่าเป็นงานประชุมกล้วยไม้โลกครั้งที่ 9
ซึ่งภาคการแสดงได้นำไปจัดที่สวนสามพราน ซึ่งมีบรรยากาศที่ริมแม่น้ำ
แทนที่ฉันจะเอาอย่างฝรั่งโดยคิดจะจัดภายในอาคารแบบปิด
กลับจัดภายนอกอาคารหรือที่เรียกกันว่า เอาท์ดอร์ (Outdoor)
ซึ่งน้อยคนนักที่จะคิดทำในขณะนั้น
แต่หลังจากการจัดงานครั้งนั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว
ก็มีประเทศต่างๆในเขตร้อน นำความคิดดังกล่าวมาวางแผนจัดตามมาอีกหลายครั้งหลายหน
ซึ่งจริงๆแล้วมันไม่ใช่ของยาก บางคนอาจคิดไปว่า
การจัดงานแสดงพันธุ์ไม้ภายใต้ร่มเงาของต้นไม้ใหญ่
อาจได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงอันเป็นธรรมชาติของต้นไม้เหล่านั้น
ซึ่งควบคุมได้ยาก
ในครั้งนั้น ฉันสังเกตได้ว่า ภายในบริเวณสวนของสวนสามพรานมีต้นหูกวาง
ขึ้นอยู่ทั่วๆไป
ซึ่งเราจะต้องใช้ร่มเงาของต้นไม้เหล่านี้เป็นที่อาศัยของต้นไม้เล็กที่ใช้แสดง
แต่มาทราบภายหลังว่าในช่วงฤดูนั้นต้นหูกวางต่างก็ทิ้งใบกันแทบทั้งหมด
รู้เช่นนั้นแล้ว
ฉันจึงขอให้นิสิตอาสาสมัครของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มาทำการปลิดใบต้นหูกวางออกก่อนกำหนดที่ใบจะร่วง
หลังจากนั้นมาไม่นานต้นหูกวางเหล่านั้น
ก็ได้แตกใบใหม่ที่เป็นใบอ่อนมีสีสันเขียวสดใส กว่าของเดิมปรากฏอยู่ทั่วๆไป
จึงสรุปได้ว่า การที่มนุษย์ไม่คิดจะทำ ย่อมมีนิสัยนำเอาสิ่งเหล่านั้น
มาสร้างเงื่อนไขเพื่อมาแอบอ้างได้แทบทุกอย่าง เพราะแท้จริงแล้วตามสัจธรรม
ไม่มีสิ่งใดที่มนุษย์จะทำไม่ได้ถ้ามีความเพียรพยายามอย่างแท้จริง
แต่สัจธรรมบทนี้ถ้าจะนำมาอ้าง ก็มักจะนำมาใช้ให้มันเป็นไปในทางเสียหาย
แทนที่จะนำมาใช้ไปในทางสร้างสรรค์ เพราะฉะนั้น คำว่า สวนพฤกษศาสตร์
หรือสวนสัตว์ก็สุดแล้วแต่
หากนำมาใช้ประโยชน์เป็นพื้นฐานการจัดการศึกษาธรรมชาติของประเทศในเขตร้อนแล้ว
สติปัญญาของมนุษย์ที่ควรจะมีเหตุมีผล
เชื่อมโยงถึงซึ่งกันและกันได้ทั้งหมดไม่ว่าจะนำมาใช้ประโยชน์เกี่ยวกับอะไรก็ตาม
แท้จริงแล้วมันเป็นเพียงเครื่องมือของการจัดการศึกษาเท่านั้น
มากกว่าที่แต่ละคนจะนำมาคิดว่า ตนทำเพื่อความยิ่งใหญ่ของตัวเอง
หากทิ้งความยากลำบากไว้ให้กับชนรุ่นหลังเพื่อตามแก้ปัญหาอย่างที่โบราณเคยกล่าวฝากเอาไว้ว่า
รู้น้อยดีกว่ารู้มาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการจัดการศึกษาแล้ว
คนที่รู้มากมักนำความรู้มาใช้ในทางทำลายธรรมชาติ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำลายธรรมชาติที่อยู่ในรากฐานจิตใจคน
ควรถือว่ามีผลร้ายแรงกว่าสิ่งอื่นทั้งหมด ท่านจึงกล่าวชี้ไว้อย่างชัดเจนว่า
ไม่ว่าจะประกอบกิจการใดก็ตาม ความเห็นแก่ตัวย่อมทำให้กิจการนั้นๆ
ส่งผลทำลายล้างตนเองและเพื่อนมนุษย์ได้ทุกโอกาส
ดังนั้น การจะทำสวนพฤกษศาสตร์ แม้แต่สวนสัตว์ก็เช่นกัน บางคนอาจคิดว่า
ถ้าพืชและสัตว์ที่จะนำมาเก็บไว้มันไม่มีอยู่ในธรรมชาติของประเทศตน
จึงต้องไปนำมาเก็บไว้เพื่อการศึกษา แท้จริงแล้วสิ่งนี้เปรียบเหมือนดาบสองคม
ด้านหนึ่ง ถ้าไม่มีอยู่ในท้องถิ่น
หากต้องการนำมาเก็บไว้เพื่อการศึกษาย่อมไม่ควรที่จะกำหนดเป้าหมายของการศึกษาเอาไว้ให้เป็นประโยชน์แก่ตนเองด้านเดียว
หากสร้างความเสียหายให้กับคนชาติอื่นอย่างเป็นธรรมชาติ
ดังนั้น สิ่งที่ควรจะเป็นอุทาหรณ์ก็คือ
ถ้าจะคิดทำอะไรก็ตามอย่าให้มีผลสร้างความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น
ซึ่งเรื่องนี้แต่ละคนควรทราบดีอยู่แก่ใจตนเองอยู่แล้ว
ในปัจจุบันการจัดการศึกษาของไทยส่วนใหญ่ไปนำเอายอดมาจากพื้นฐานวัฒนธรรมของที่อื่น
หลังจากนำมาใช้ประโยชน์แล้วถอยกลับไม่ได้
ดังที่ได้พบเห็นกันอยู่ทั่วๆไปกับข้ออ้างของหลายคนที่ข้ามน้ำข้ามทะเลไปเรียนมาจากเมืองนอกว่า
ถ้าไม่ตามหลังเขาเร็วๆ ก็จะทำให้ตามเขาไม่ทัน แท้จริงแล้วมันไม่ใช่เช่นนั้น
หากยิ่งตามหลังเขาก็ยิ่งตกเป็นทาสเขาหนักมากยิ่งขึ้น
สิ่งนี้หรือมิใช่ที่เราพบเห็นกันอยู่ในปัจจุบัน
แต่ถึงกระนั้นก็ยังขาดความเฉลียวใจที่จะถอยกลับมาเลือกหาเส้นทางเดินกันใหม่บนพื้นฐานจิตใจตนเองได้อย่างอิสระ
30 ตุลาคม 2550