วิทยาศาสตร์ ดาราศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีววิทยา >>

การผลัดเซลล์ผิว

     กระบวนการในการผลัดเซลล์ผิว จะเกิดขึ้นที่บริเวณส่วนบนสุดของผิวหนังกำพร้า โดยที่เซลล์ผิวชั้นนอกสุดจะเป็นเซลล์ที่มีอายุมากที่สุด เมื่อเทียบกับเซลล์ผิวที่อยู่ชั้นถัดไป ซึ่งก็จะเกิดการเสื่อมสภาพ และหลุดออกกลายเป็นขี้ไคล โดยเราสามารถสรุปกระบวนการผลัดเซลล์ผิวได้อยางง่าย ดังนี้

  1. เซลล์ผิวจะเริ่มสูญเสีย โครงสร้างภายในเซลล์ และไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ
  2. สูญเสียน้ำภายในเซลล์ ความสามารถยึดเกาะลดลง และเกิดช่องว่างระหว่างผิว
  3. เกิดการหลุดลอกออกของชั้นผิวเป็นขี้ไคล

ในการผลัดเซลล์ผิวใช้เวลาแตกต่างตามลักษณะเฉพาะผิวของแต่ละบุคคล เช่น ผู้ที่มีผิวมัน การผลัดเซลล์จะเกิดขึ้น ได้ช้ากว่าผู้ที่มีผิวแห้ง เพราะว่าคนที่มีผิวมันนั้น ผิวจะมีปริมาณซีบลั่ม (Zebrum) อยู่มาก ซึ่งจะเคลือบอยู่บริเวณผิวชั้นนอกทำให้ชั้นผิวสามารถเกาะติดกัน นอกจากนี้ ยังป้องกันการสูญเสียน้ำของเซลล์ผิว

ในการเร่งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวจะมีการใช้สารที่มีคุณสมบัติเป็นกรดหรือด่าง ซึ่งได้มาจากสารเคมี และสารสกัดจากธรรมชาติ ตัวอย่าง เช่น

  • สารเคมี เช่น กรดเกลือ
  • สารสกัดจากธรรมชาติ เช่น กรดผลไม้ สารสกัดจากสมุนไพร

ข้อแตกต่างของการผลัดเซลล์ผิวระหว่างสารเคมีและสารสกัดจากธรรมชาติ

  1. การผลัดเซลล์ผิวด้วยสารเคมีให้ผลที่เร็วกว่า แต่จะเกิดปัญหาการสะสมของสารเคมีที่ตกค้าง
  2. ความปลอดภัยของสารสกัดจากธรรมชาติ มีมากว่า สารเคมี เนื่องจากผลข้างเคียงมีน้อยกว่า
  3. สารสกัดจากธรรมชาติ ใช้ง่ายกว่า สารสารเคมีควรใช้ภายในใต้การดูแลของผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ

วิธีการการใช้สมุนไพร

  • สมุนไพรสด เป็นการนำสมุนไพรสดมาใช้โดยไม่ผานกระบวนการแปรรูป หรือสกัด เช่น การใช้วุ้นจากว่านหางจระเข้าทาหน้า การใช้แตงกวา หรือมะเขือเทศมาส์กหน้า เป็นต้น
  • สมุนไพรแปรรูป เป็นการนำสมุนไพรมาแปรรูปก่อนน้ำมาใช้ เช่น การนำสมุนไพรมากตากแห้ง หรือ บดเป็นผงก่อนนำไปใช้ เช่น ผงขมิ้น ผลไพล เป็นต้น
  • สารสกัดสมุนไพร เป็นการนำสมุนไพรมาสกัดด้วยตัวทำละลาย เช่น น้ำ แอลกอฮอล์ เป็นต้น

ผิวผนัง (Skin)

ผิวหนังเป็นอวัยวะที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของร่างกาย โดยคิดเป็นน้ำหนักประมาณ 16% ของน้ำหนักตัว มีลักษณะแตกต่างกันตามแต่ละส่วนของร่างกาย ทั้งในเรื่องของโครงสร้าง ความหนาและสีผิว โดยเราสามารถแบ่งแยกผิวหนังออกเป็น 3 ชั้น ใหญ่ ๆ คือ

ผิวหนังชั้นนอก หรือ หนังกำพร้า (Epidermis)
หนังกำพร้าเป็นชั้นผิวที่ปกคลุมอยู่บนสุด ซึ่งประกอบไปด้วยเซลล์ที่มีการเกิด เจริญเติบโตพัฒนาการ และตายหลุดลอกออกไปจากร่างกายตลอดเวลา โดยชั้นนี้มีความหนาโดยเฉลี่ยประมาณ 1.5 – 4.0 มิลลิเมตร ซึ่งชั้นหนังกำพร้านี้ยังสามารถแบ่งย่อยออกเป็นชั้นบาง ๆ ได้ 4 ชั้น

  1. เซลล์ที่ตายแล้ว เป็นชั้นที่ปกป้องผิวจากสารแปลกปลอมภายนอก ส่วนใหญ่แล้วจะประกอบด้วยโปรตีนที่เรียกว่า เคราติน (Keratin) จะมีความชุ่มชื้น 10-20% แต่หากความชุ่มชื้นลดต่ำกว่า 10% ก็จะเป็นสาเหตุทำให้ผิวแห้ง
  2. เซลล์กั้น เป็นเนื้อเยื่อที่ค่อนข้างบาง 2-3 ชั้น ช่วยปกป้องสิ่งแปลกปลอมก่อนถึงผิวชั้นใน
  3. เซลล์ที่เจริญเติบโต เป็นเซลล์ขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยเนื้อเยื่อบาง ๆ 10 ชั้น
  4. เซลล์ที่เกิดใหม่ อยู่ชั้นล่างสุดของหนังกำพร้าติดกับหนังแท้ จะทำหน้าที่ดูดซึมสารอาหารและออกซิเจน จากเส้นเลือดฝอย รอบ ๆ และสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทน นอกจากนี้ ยังมีเซลล์อีกประเภทที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดสีที่เรียกว่า เมลานิน (Melanin) ซึ่งจะช่วยปกป้องผิวจากรังสี UV ดังนั้น การที่ผิวคนเรามีสีคล้ำ ตกกระ เป็นฝ้า รวมถึงการเกิดริ้วรอยแห่ง ล้วนเกิดจากการทำงานของเมลานินทั้งสิ้น

ผิวหนังแท้ (Dermis)
เป็นชั้นที่อยู่ต่อจากชั้นหนังกำพร้า มีความหนาประมาณ 1-2 มิลลิเมตร ซึ่งประกอบไปด้วยเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน (Connective Tissue) ระบบเส้นเลือด และระบบเส้นประสาท โดยผิวหนังแททำหน้าที่ให้ความยืดหยุ่น ปกป้องร่างกาย อุ้มน้ำ ควบคุมสมดุลความร้อนของร่างกาย และเป็นประสาทรับสัมผัสต่าง ๆ

ชั้นไขมัน (Subcutaneous Tissue)
เป็นชั้นของไขมันที่อยู่ใต้ผิว โดยร่างกายใช้เป็นแหล่งเก็บสะสมพลังเหลือใช้

 

ประเภทของผิว

ผิวมัน (Oily Skin)

ลักษณะของผิวหน้ามักจะมีรูขุมขนกว้าง ผิวหน้าดูมันวาว มีน้ำมันอยู่บนใบหน้า ซึ่งทำให้ผิวดูหมองคล้ำ มีปัญหาเรื่องแต่งหน้าได้ไม่ติดทน และมักมีปัญหาเรื่องของสิว โดยเฉพาะช่วยอายุวัยรุ่น เนื่องจากระบบฮอร์โมนในร่างกายกระตุ้นให้มีการสร้างน้ำมันบนใบหน้ามาก แต่คนที่มีผิวหน้ามันมักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องริ้วรอย เพราะผิวมีความชุ่มชื้นตลอดเวลา

การดูแลผิวมัน

  • ทำความสะอาดผิวด้วยวันละ 2 ครั้ง ด้วยสบู่ Almond Goldenherb เพื่อลดความัน และใช้ผงปรับสมุนไพร พอกเช้า-เย็น เพื่อลดความมันและสิวเสี้ยน ใช้ติดต่อกัน 2-3 วัน จะทำให้สภาพผิวหน้าที่มีความมัน จะลดลง อย่างแน่นอน อย่าขัดหน้าหรือถูหน้า แรง ๆ และไม่ควรใช้น้ำที่อุ่นจัดล้างเพื่อลดความมัน เพราะจะทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้
  • หากหน้ามันระหว่างวันให้ใช้วิธีการซับความมันด้วยกระดาษซับมัน แทนการล้างหน้า
  • ไม่ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์ จำพวก แอสทริงเจ้นท์ เพื่อความมันบนใบหน้า เพราะจะเป็นการกระตุ้นให้ต่อมไขมันขับน้ำมันออกมามากขึ้น และอาจเกิดการระคายเคืองได้
  • บำรุงผิวด้วยมอยส์เจอร์ไรเซอร์ ที่เป็นแบบปราศจากน้ำมัน (Oil Free) เอสเซนคอลลาเจน โบท๊อกซิก้า เซรั่ม นาโนเพียว์ไวท์ เซรั่ม
  • หากต้องการออกกลางแจ้ง ควรใช้ผลิตภัณฑ์กันแดดด้วยทุกครั้ง และควรใช้แบบ Oil Free
  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยควบคุมความมันที่เหมาะสม เอสเซนคอลลาเจน โบท๊อกซิก้า เซรั่ม นาโนเพียว์ไวท์ เซรั่ม

ผิวแห้ง (Dry Skin)

ผิวแห้งเกิดจากการที่ผิวหนังชั้นบนสูญเสียน้ำและน้ำมันธรรมชาติ โดยมีอาการใบหน้าแห้งตึง ผิวลอก อาจเป็นขุย รูขุมขนเล็ก ผิวดูหยาบกร้าน และอาจมีอาการคันผิวร่วมด้วย สาเหตุของผิวแห้ง ส่วนใหญ่เกิดจากสิ่งแวดล้อม เช่น แสงแดด อากาศแห้ง และอายุที่มากขึ้นทำให้ร่างกายไม่สามารถสร้างน้ำมันได้เพียงพอ หากไม่ดูแลก็จะเกิดปัญหาเรื่องของริ้วรอย ดูแก่กว่าวัย

การดูแลผิวแห้ง

  • ใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าที่อ่อนโยน เช่น เจลล้างหน้า ทำความสะอาดผิว ไม่ควรล้างหน้าบ่อย เพราะจะเป็นการล้างสารเคลือบผิวตามธรรมชาติ
  • ใช้ครีมบำรุงผิวทาบาง ๆ เป็นประจำ หากต้องอยู่ห้องปรับอากาศ ควรจะทาครีมบำรุงระหว่างวันบ้าง
  • ผู้มีผิวแห้งมักมีอาการคันบริเวณผิว เพราะว่าเมื่อผิวแห้ง ก็จะเกิดการแตกลอกของผิว ทำให้เชื้อแบคทีเรียสามารถผ่านเข้าสู่ผิวได้ ควรใช้มอ่ยส์เจอร์ไรเซอร์ทาผิว เพื่อป้องกันไม่ให้ผิวสูญเสียความชุ่มชื้น หากมีอาการคันมากสามารถ้คาลาไมด์ทาเพื่อลดอาการคันได้ แต่ไม่ควรใช้กับผิวหน้า
  • ใช้ครีมกันแดดก่อนออกกลางแจ้งเป็นประจำ เพื่อป้องกันการทำลายผิวจาก UV เช่น กันแดดอิคลิพซ เคลียร์ แอนด์ เฟิร์มมิ่ง ครีม
  • ดื่มน้ำมาก ๆ เพราะน้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่ให้ความชุ่มชื้นกับผิว

ผิวผสม (Mixed Skin)

ผิวลักษณะนี้บางส่วนจะแห้ง บางส่วนจะมีความมัน โดยเฉพาะบริเวณ ทีโซน (T-Zone) คือ ส่วนของใบหน้า ที่ประกอบไปด้วย หน้าผาก จมูก และบริเวณรอบปาก รวมไปถึงคาง ซึ่งบริเวณนี้จะมีความมันมาก เนื่องจากมีต่อมน้ำมันมากกว่าในบริเวณอื่นของใบหน้า ทำให้เกิดสิวเสี้ยว สิวอักเสบได้ง่าย ซึ่งการดูแลผิว อาจจะยุ่งยากกว่าผิว 2 ประเภทข้างต้น

การดูแลผิวผสม

  • ควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ ทำความสะอาดหน้าที่อ่อนโยนต่อผิวหน้า และล้างหน้าวันละ 2 ครั้ง หากมีหน้ามันระหว่างวัน ควรใช้วิธีซับความมันด้วยกระดาษซับมัน
  • ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ ในส่วนที่ผิวแห้ง และใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ชนิดปราศจากน้ำมันในส่วนที่ T-Zone
  • ทากันแดดโดยเลือกใช้ชนิดที่มีส่วนผสมของสารไทเทนียมอ๊อกไซด์ คือกันแดดอิคลิพซ เคลียร์ แอนด์ เฟิร์มมิ่ง ครีม

ในการรักษาที่เห็นผลอย่างรวดเร็วทันอกทันใจ เช่น การรักษาหน้าด้วยการใช้กรดเจือจาง เช่น เอ แอซิด (A Acid) ในการทำ เบบี้เฟช (Baby Face) การเจือจางนี้ จะกัดฝ้าออกจากชั้นผิวหนังทำให้หลุดลอกออกภายในวันเดียว กรดชนิดนี้จะทำการกัดชั้นผิวหนังชั้นในออกไปด้วย

แชร์ไปที่ไหนดี แชร์ให้เพื่อนสิ แชร์ให้เพื่อนได้ แชร์ให้เพื่อนเลย