ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
พ้นโง่-พ้นฉลาด
ผู้ปฏิบัติธรรมหรือศึกษาพระพุทธศาสนามีความเข้าใจว่ามนต์อันเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ นำมาท่องบ่นแล้วเกิดความศักดิ์สิทธิ์สามารถดลบันดาลปัดเป่าสิ่งร้ายๆ ให้พ้นไปจากตนเองได้ มนต์จึงกลายเป็นความศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่พึ่ง ความจริงแล้วมีคำกล่าวที่น่าพิจารณาอย่างยิ่งว่า คนที่สวดมนต์ดีกว่าไม่สวด คนที่เข้าใจความหมายของมนต์ดีกว่าคนสวดมนต์ แต่คนที่สามารถปฏิบัติตามมนต์ได้ย่อมดีกว่าคนที่เข้าใจความหมายแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงได้ประทานโศลกอันกล่าวถึง "นิรรูป" เพื่อให้ท่องบ่นกันทั้งคฤหัสถ์และบรรพชิตควรปฏิบัติตามคำสอนซึ่งมีอยู่ในโศลกนี้ ถ้าไม่มีการปฏิบัติแล้วก็ไม่เกิดประโยชน์อะไร แม้จดจำถ้อยคำของท่านได้ก็เสียเปล่า คำว่า "นิรรูป" หมายถึง ไม่มีรูปและกล่าวได้ว่าสิ่งที่รู้รูปนั้นก็คือ "ธรรมญาณ" เพราะฉะนั้นความหมายแห่งโศลกนี้จึงเป็นบทบาทของ "ธรรมญาณ" ที่จะนำพาคนทั้งหลายได้พ้นไปจากบาปกรรมทั้งปวง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิง กล่าวว่า "อาจารย์ผู้บัญญัติคัมภีร์พุทธธรรมรวมทั้งคำสอนในนิกายธยานะอาจเปรียบได้ดังดวงอาทิตย์กำลังแผดแสงจ้าอยู่กึ่งกลางนภากาศ บุคคลเช่นนี้จักไม่สอนอะไรนอกจากธรรมะเพื่อให้เห็นแจ้ง "ธรรมญาณ" เพียงอย่างเดียวและตั้งใจในการที่ท่านกลับมาสู่โลกนี้ก็เพื่อขจัดพวกความเห็นผิด" คำสอนอันเกี่ยวกับ "ธรรมญาณ" ซึ่งเป็นเรื่องที่เรียกว่า "นิรรูป" เพราะฉะนั้นการอธิบายสิ่งที่ปราศจากรูปลักษณ์จึงเป็นเรื่องที่ยากยิ่งนัก คำสอนทั้งปวงพระอริยเจ้าจึงพุ่งตรงที่จิต เพราะภาวะ "นิรรูป" จึงเป็นสัจธรรมที่นำพาให้ธรรมญาณคืนกลับไปสู่สถานเดิมได้ แต่เพราะเข้าใจยากจึงมีความเห็นผิดเกี่ยวกับภาวะ "ธรรมญาณ" เป็นเรื่องโต้แย้งได้ไม่มีที่สิ้นสุด ความสว่างแห่งดวงอาทิตย์สามารถทำให้ท้องฟ้าสว่างไสวได้ฉันใดปัญญาของพระอริยเจ้าย่อมทำให้คนหลงที่ไม่งงงายจนเกินไปอาจพ้นไปจากเมฆหมอกแห่งกิเลสตัณหาบดบังฉันนั้น เพราะแท้ที่จริงทุกคนต่างมี "ธรรมญาณ" เหมือนกันทั้งนั้นเพียงแต่ว่าใครมีเมฆแห่งกิเลสบังเอาไว้หนาทึบมากกว่ากันเท่านั้นเอง พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงกล่าวโศลกต่อไปว่า "แม้แบ่งแยกธรรมปฏิบัติออกเป็นชนิด "ฉับพลัน" และ "เชื่องช้า" ได้โดยยากก็จริง แต่ก็ยังมีคนบางพวกที่รู้แจ้งได้เร็วกว่าคนพวกอื่นเพราะคำสอนของระบอบนี้ มุ่งให้เห็นแจ้ง "ธรรมญาณ" ซึ่งระบอบที่คนโฉดเขลา เข้าใจไม่ได้" ความหมายแห่งโศลกตอนนี้มีคำอธิบายได้ว่า การถ่ายทอดจาก "จิต" สู่ "จิต" นัน้เป็นลักษณะของฉับพลันแต่พื้นฐานของบุคคลเหล่านี้กล่าวได้ว่าต้องมีการปฏิบัติธรรมาอย่างลึกล้ำหลายชาติ ผ่านมาจนบารมีสูงส่งพอรับรู้ก็สว่างไสวในทันทีทันใดเช่นเดียวกับการถูกตบหน้า "ธรรมญาณ" ก็สว่างโพลงฉับพลัน แต่ผู้ที่ไร้รากฐานทางงธรรมะซึ่งเปรียบได้ดังหญ้าที่ปราศจากรากแม้ได้รับน้ำฝนมากแค่ไหน หญ้านั้นก็ไม่อาจปริหน่อเจริญเติบโตเลยบุคคลเหล่านี้แม้ในกายตนมี "ธรรมญาณ" เช่นกัน แต่ไม่มีบารมีเพียงพอที่จะรับได้เพราะกิเลสร้ายบดบังเยี่ยงเดียวกับเมฆบดบังพระอาทิตย์ฉะนั้น พระธรรมาจารย์ฮุ่ยเหนิงยืนยันว่า "เราอาจอธิบายหลักธรรมระบอบนี้ได้โดยวิธีต่างๆ ตั้งหมื่นวิธี แต่คำอธิบายทั้งหมดนั้น อาจลากให้หวนกลับมาสู่หลักดุจเดียวกันได้ การที่จะจุดไฟให้สว่างขึ้นในดวงหทัยอันมืดมัว เพราะเกรอะกรังไปด้วยกิเลสนั้น ต้องดำรงแสงสว่างแห่งปัญญาเอาไว้เนืองนิจ" การที่อารมณ์ครอบงำ "ธรรมญาณ" ซึ่งหมายถึงภาวะสติปัญญามิได้เกิดขึ้นเพราะอารมณ์ก่อให้เกิดกรรมเวรมากมายซึ่งห่อหุ้มจาก "ธรรมญาณ" มืดมิด แต่แสงสว่างแห่งปัญญาจึงเปรียบเสมือนหนึ่งประทีปที่ทำให้ความมืดหายไป เพราะฉะนั้นใครที่มั่นคงในปัญญาย่อมมีโอกาสที่สว่างไสวด้วย "ธรรมญาณ" ของตนเอง "ความเห็นผิดย่อมทำให้เราจมปลักอยู่ในห้วงกิเลส ส่วนสัมมาทิฏฐิหรือความเห็นถูกย่อมเปลื้องเราให้พ้นไปจากกองกิเลสนั้น แต่เมื่อใดก็ตามที่เราอยู่ในฐานะที่พ้นไปจาก "ความเห็นผิด" และ "ความเห็นถูก" เมื่อนั้นเราจักบริสุทธิ์โดยเด็ดขาด" ความเห็นถูกย่อมสร้างผลผูกพันความถูกเอาไว้เช่นเดียวกับ "ความเห็นผิด" ย่อมสร้างผลผิดเอาไว้ ด้วยเหตุนี้ ไม่ว่าความเห็นนั้นอยู่ในลักษณะใดก็ตามก็เกิดความยึดมั่นถือม่น เพราะฉะนั้น "ธรรมญาณ" จึงไม่อาจมีภาวะแห่งความบริสุทธิ์โดยเด็ดขาดได้เลย "ความถูก" ก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่งซึ่งเราหลงติดยึดโดยไม่รู้ตัวอย่างเช่นคนยึดติดในการท่องบ่นมนต์ โดยไม่เข้าใจความหมายอันแท้จริงแต่มุ่งมั่นว่าต้องศักดิ์สิทธิ์ช่วยดลบันดาลลาภผล โดยที่ตนเองไม่ต้องลงเรี่ยวแรงประกอบการงานเลย ความเชื่อเช่นนี้จึงเป็นความงมงายที่แท้จริง
» มหาปัญญา
» อหังการ