ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
จากพระธรรมวินัย สู่พระไตรปิฎก
บทพระธรรมคุณ ที่มีอยู่ในพระสูตรหลายสูตร เช่น
ธชัคคสูตร ได้แสดงไว้ชัด ว่าสฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม ซึ่งแปลว่า พระธรรม
อันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ดีแล้ว จะเห็นว่า คำว่า
พระธรรมในที่นี้หมายเอาทั้งธรรมและวินัย ที่พระองค์ตรัสและบัญญัติไว้ทั้งหมด
หรือคำที่ให้อุปสมบทแบบ เอหิภิกขุอุปสัมปทาว่า สฺวากฺขาโต ธมฺโม พฺรหฺมจริยํ
จรถ สมฺมาทุกฺขอนฺตกิริยาย ซึ่งแปลว่า "ธรรม ที่เรากล่าวไว้ดีแล้ว
ท่านทั้งหลายจงประพฤติพรหมจรรย์เพื่อทำที่สุดแห่งทุกข์โดยชอบ"
คำว่าธรรมในที่นี้จึงหมายเอาทั้งวินัยที่พระองค์ทรงบัญญัติไว้
และธรรมที่พระองค์ทรงแสดง ต่อมาใน สมัยใกล้จะปรินิพพาน
มีศัพท์คู่ซึ่งพระองค์ทรงตรัสกับพระอานนท์ก่อนแต่จะปรินิพพาน
ซึ่งปรากฏในมหาปรินิพพานสูตรว่า โย โว อานนฺท ธมฺโม จ วินโย จ เทสิโต ปญฺญตฺโต
โส โว มมจฺจเยน สตฺถา ซึ่งแปลว่า ดูกรอานนท์
ธรรมวินัยที่เราแสดงบัญญัติไว้แก่พวกเธอ
นั่นแหละจะเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลายเมื่อเราสิ้นไป มาถึงตอนนี้จะเห็นว่า
ทรงตรัสไว้ชัดว่า พระธรรมและพระวินัย พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายว่า คำว่า ธรรม
นั้นหมายถึง นิกายห้า คือ ทีฆนิกาย สังยุตตนิกาย อังคุตตรนิกาย และขุททกนิกาย
แต่ขุททกนิกายนั้น ได้รวมเอาอภิธรรมปิฎก หรือ
สัตตัปปกรณ์เข้าไว้ด้วยแม้การสังคายนาครั้งแรก พระมหากัสสปเถระ
ก็กล่าวชักชวนพระอรหันต์ทำการสังคายนาพระธรรมวินัยว่า หนฺท มยํ อาวุโส ธมฺมญฺจ
วินยญฺจ สงฺคายาม แปลว่า เชิญเถอะ ท่านผู้อาวุโส
เราจะสังคายนาพระธรรมและพระวินัยกัน คำว่า พระไตปิฎก ยังไม่มีกล่าวไว้ชัดเจน
คงเรียกรวมว่าพระธรรมวินัย ดังได้กล่าวแล้ว
แต่มีข้อความหลายแห่งในพระวินัยและพระสูตรที่มีคำว่า พระวินัย พระสูตร
และพระอภิธรรมไว้ครบ เช่นใน มหาวิภังค์ สังฆาทิเสสข้อที่ ๗ ที่กล่าวไว้ว่า
ทพฺโพ มลฺลปุตฺโต สภาคานํ ภิกฺขูนํ เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญาเปติ, เย เต ภิกฺขุ
สุตฺตนฺติกา, เตสํ เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญาเปติ "เต อญฺญมญฺญํ สุตตนฺตํ
สงฺคายิสฺสนฺตีติ, เย เต ภิกฺขุ วินยธรา, เตสํ เอกชฺฌํ เสนาสนํ ปญฺญาเปติ "เต
อญฺญมญฺ ญํ วินยํ วินิจฺฉินิสฺสนฺตีติ,เย เต ภิกฺขุ อาภิธมฺมิกา, เตสํ เอกชฺฌํ
เสนาสนํ ปญฺญาเปติ "เต อญฺญมญฺญํ อภิธมฺมํ สากจฺฉิสฺสนฺตีติ.
แปลว่า
: พระทัพพมัลลบุตร ย่อมจัดเสนาสนะไว้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
แก่ภิกษุทั้งหลายที่มีลักษณะคล้ายๆ กัน กล่าวคือ
ภิกษุเหล่าใดศึกษาเล่าเรียนพระสูตร
ก็จัดเสนาสนะให้ภิกษุเหล่านั้นไว้ในกลุ่มเดียวกัน ด้วยคิดว่า พวกเธอจะได้สอบสวน
พระสูตรกะกันและกัน ผู้ทรงวินัยก็จัดเสนาสนะไว้เดียวกัน ด้วยคิดว่า
ภิกษุเหล่านั้นจะได้วินิจฉัย ข้อวินัย กะกันและกัน ภิกษุเหล่าใดเล่าเรียน
พระอภิธรรม ก็จัดเสนาสนะ สำหรับภิกษุเหล่านั้นไว้กลุ่มเดียวกัน ด้วยคิดว่า
ภิกษุเหล่านั้นจักสนทนาพระอภิธรรมกะกันและกัน
อนึ่ง ในภิกขุณีวิภังค์ ฉัตตุปาหนวรรค สิกขาบทที่ ๑๒ ว่าปญฺหํ ปุจฺเฉยฺยาติ
สุตฺตนฺเต โอกาสํ การาเปตฺวา วินยํ วา อภิธมฺมํ วา ปุจฺฉติ อาปตฺติ
ปาจิตฺติยสฺสฯ วินเย โอกาสํ การาเปตฺวา สุตฺตนฺตํ วา อภิธมฺมํ วา ปุจฺฉติ
อาปตฺติ ปาจิตฺติยสฺสฯ อภิธมฺเม โอกาสํ การาเปตฺวา สุตฺตนฺตํ วา วินยํ วา
ปุจฺฉติ อาปตฺติปาจิตฺติยสฺสฯ
แปลความว่า : ภิกษุณี ผู้ถามปัญหากับภิกษุ
ขอโอกาสอันใดต้องถามอันนั้น ถ้าขอโอกาสถามพระสูตรแล้ว กลับไปถามพระวินัยก็ดี
ถามพระอภิธรรมก็ดี ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ขอโอกาสถามพระวินัยกลับไปถามพระสูตรหรือพระอภิธรรม ต้องอาบัติปาจิตตีย์
ขอโอกาสถามพระอภิธรรม กลับไปถามพระสูตรหรือพระวินัยต้องอาบัติปาจิตตีย์
ยังมีข้อความใน อปทาน อุบาลีเถรวัตถุ หน้า ๖๓ มีว่า สุตฺตนฺตํ อภิธมฺมญฺจ
วินยญฺจาปิ เกวลํ นวงฺคํ พุทฺธวจนํ เอสา ธมฺมสภา ตว
แปลว่า
: (ข้าแต่พระจอมมุนี) พระสูตร พระอภิธรรม พระวินัย รวมพุทธวจนะ มีองค์ ๙
ทั้งสิ้นนี้ เป็นธรรมสภาของพระองค์ ฯลฯ
ข้อความดังกล่าวแสดงถึงการเรียกพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม ได้มีมานานแล้ว
แต่ยังไม่แยกออกชัด เป็น พระวินัยปิฎก พระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก
อย่างที่ปรากฏในยุคตั้งแต่สังคายนาครั้งที่ ๓ เป็นต้นมา ดังคำบาลีว่า
เตปิฏกํ พุทฺธวจนํ นาม พุทฺธสฺส ภควโต ธมฺมวินยสฺส สโมธานํ โหติ
แปลว่า
: พระพุทธพจน์คือพระไตรปิฎก เป็นที่รวมแห่งพระธรรมวินัยขององค์ภควันต์พุทธเจ้า
จากมุขปาฐะสู่การจารึกใบลาน
ตำราที่บรรจุพระพุทธพจน์ ที่พระธรรมสังคาหกาจารย์ได้สังคายนา
หรือรวบรวมไว้เป็นหมวด เรียกว่า พระไตรปิฎก ได้ถ่ายทอดกันมาโดยระบบมุขปาฐะ
หรือท่องจำ (Oral Tradition) ดุจสมัยก่อนๆ ในประเทศไทยของเรา
ก็มีการนิยมต่อหนังสือค่ำ เจ็ดตำนานสิบสองตำนาน หรือท่องพระปาติโมกข์
โดยอาศัยการท่องปากต่อปากจากครูบาอาจารย์ จนจำได้แม่นยำ
และสืบต่อกันมาถึงอนุชนรุ่นหลังพระไตรปิฎกก็เช่นกัน ตั้งแต่ สังคายนาครั้งแรก
ศิษย์สายพระอุบาลีก็จดจำพระวินัยปิฎก ศิษย์สายพระอานนท์ ก็จดจำพระสุตตันตปิฎก
และพระอภิธรรมปิฎกสืบๆ กันมาโดยมิได้ขาดสาย
ตัวอย่างสายพระอุบาลี ที่ท่านแสดงไว้ตามลำดับ ออกนามเฉพาะหัวหน้าสายดังนี้
ในอินเดีย
พระอุบาลีเถระ
พระทารกเถระ
พระโสณกเถระ
พระสิคควเถระ
พระโมคคัลลีบุตรเถระ
ในลังกา
พระมหินทเถระ
พระอิฏฏิยเถระ
พระอุตติยเถระ
พระสัมพลเถระ
พระภัททนามเถระ ฯลฯ
การท่องจำนี้ ได้กระทำมาจนถึงสังคายนาครั้งที่ ๕ ในลังกาทวีป
(ถ้านับเฉพาะที่ทำสังคายนาในศรีลังกาก็เป็นครั้งที่ ๒) ประมาณ พ.ศ. ๔๓๓
ในรัชสมัยของพระเจ้าวัฏฏคามณีอภัย โดยมีพระรักขิตมหาเถระเป็นประธาน ทำที่
อาโลกเลณสถาน ณ มตเลชนบท หรือที่เรียกว่า มลัยชนบท
สาเหตุของการจารึกพระพุทธวจนะ
ลงในใบลานก็เพราะว่า ถ้าจะใช้วิธีท่องจำพระพุทธวจนะต่อไป ก็อาจมีข้อวิปริตผิดพลาด ได้ง่าย เพราะปัญญาในการท่องจำของกุลบุตรเสื่อมถอยลง นอกจากนั้นพระสงฆ์ยัง ได้รับความกระทบกระเทือนจากภัยธรรมชาติและภัยสงครามอยู่เนืองๆทำให้ไม่มีเวลาท่องจำพระพุทธวจนะจะทำให้ช่วงการสืบต่อขาดลงได้ มีคำกล่าวว่า ในการจารึกครั้งนี้ได้จารึกอรรถกถาลงไว้ด้วย มีผู้สงสัยว่า สมัยพุทธกาลคนไม่รู้จักการเขียนหนังสือหรืออย่างไร? จึงไม่ปรากฏว่ามีตำรับตำราจารึกไว้เป็นหลักฐาน แม้บริขารที่สำคัญของพระภิกษุ ก็ไม่ระบุหนังสือไว้ด้วย
อักษรหรือการเขียนมีมาก่อนสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว แต่ที่พระพุทธองค์ไม่นิยมใช้ หันมาใช้วิธีมุขปาฐะแทน น่าจะทรงเห็นประโยชน์อานิสงส์บางสิ่งบางอย่างกระมัง หรือว่าระบบการขีดเขียนยังไม่เป็นที่แพร่หลายเท่าที่ควร ทั้งยังไม่มีอุปกรณ์การขีดการเขียนเพียงพอ ก็ยากที่จะทราบได้ แต่ข้อที่น่าคิดอยู่อย่างคือ วิธีเรียนด้วยมุขปาฐะนี้ นอกจากจะสร้างสัมพันธภาพอย่างใกล้ชิดระหว่างผู้เรียนและ ผู้สอนแล้ว ยังเป็นการสร้างสมาธิฝึกจิตของผู้เรียนไปในตัวด้วย นักปราชญ์ยุคก่อนที่มีความคิดเช่นนี้ก็มีไม่น้อย เปลโต้เคยกล่าวไว้ว่า "การคิดอักษรขึ้นใช้ แทนการท่องจำ ทำให้มนุษย์ขาดอานุภาพแห่งความทรงจำ คือแทนที่จะจดจำจากอินทรีย์ภายใน ต้องอาศัยสัญลักษณ์นอกเข้าช่วย"