ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
รวมธรรมบรรยายของ หลวงพ่อชา สุภัทโท
สมาธิภาวนา
ผู้แสวงบุญทั้งหลายที่มารวมกันแล้ว เพื่อจะได้ฟังธรรมต่อไป ให้ฟังธรรมอยู่ในความสงบ การฟังธรรมในความสงบนั้น คือทำจิตให้เป็นหนึ่ง หูเรารับฟังสัมผัสถูกต้อง แล้วก็ปล่อยไป อย่างนี้เรียกว่า ทำจิตให้สงบ
การฟังธรรมนี้ก็เป็นประโยชน์มาก ส่วนหนึ่งเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมะ ดังนั้นการฟังธรรมะ ท่านจึงให้ตั้งกายตั้งใจให้มั่นคงเป็นสมาธิ ในครั้งพุทธกาลนั้นฟังธรรมให้เป็นสมาธิ เพื่อรู้ธรรมะ สาวกบางองค์ตรัสรู้ธรรมะในอาสนะที่นั่งนั้นก็มีอยู่มาก สถานที่นี้เป็นที่สมควรที่จะทำกรรมฐานมากอาตมามาพักอยู่ที่นี่คืนสองคืนมาแล้ว รู้ว่าสถานที่นี้เป็นที่สำคัญมาก สถานที่ข้างนอกสงบแล้ว ยังเต่สถานที่ข้างในคือจิตใจของเราเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาทั้งหลายที่มานี้ ขอให้ตั้งใจทุกคน ถึงแม้ว่ามันจะสงบบ้าง ไม่สงบบ้าง ก็เป็นเรื่องของธรรมดา
ทำไม เราจึงได้มารวมทำความสงบอยู่ที่นี่เพราะว่าใจของเรายังไม่รู้สิ่งที่ควรรู้ คือยังไม่รู้ตามความเป็นจริง ว่าอะไรมันเป็นอะไร อะไรมันผิดอะไรมันถูก อะไรมันทำความทุกข์ให้เรา อะไรมันทำความสงสัยให้เราอยู่ เราจึงมาทำความสงบกันก่อนเหตุที่เราต้องมาทำความสงบระงับในที่นี้ เพราะว่าจิตใจไม่สบาย จิตใจไม่สงบ จิตใจไม่ระงับ วุ่นวายสงสัยจึงคัดมา ณ ที่นี้ เพราะฉะนั้นวันนี้จึงขอให้ตั้งใจฟังธรรมะ
การฟังธรรมะของอาตมานั้น อยากให้ตั้งใจฟังให้ดีอาตมาชอบพูดแรงหน่อย ชอบพูดรุนแรงหน่อย เพราะนิสัยเป็นอย่างนี้ แต่จะพูดรุนแรงไปอย่างไรก็ตามเถอะอาตมาก็ยังมีความเมตตา อยู่ตลอดกาลตลอดเวลาอยู่นั่นเอง การพูดบางสิ่งบางอย่างนั้น ขออภัยด้วยทุกๆคน เพราะว่าประเพณีเมืองไทยกับชาวตะวันตกนี้มันไม่คล้ายกัน มันคนละอย่าง บางทีมันอาจทำให้ไม่ค่อยสบายใจก็ได้ พูดรุนแรงหน่อยก็ดีนะ มันตื่นเต้นไม่งั้นมันหลับเฉย ไม่รู้ว่าอะไร มันนอนใจอยู่อย่างนั้นมันนิ่งอยู่ ไม่ลุกขึ้นมาฟังธรรม
การปฏิบัตินี้ก็มีหลายอย่าง
แต่มันก็มีอย่างเดียวเช่นว่าการปลูกต้นไม้ที่ได้รับผลนั้น
บางทีก็ได้กินเร็วๆคือเอาทาบกิ่งมันเลย
อันนี้ก็เรียกว่ามันไม่ทนทานอีกอย่างหนึ่งเอาเมล็ดมันมาเพาะปลูกจากเมล็ดมันเลยอันนี้มีความแน่นถาวรดีมาก
ตามความจริงเป็นอย่างนี้เป็น ธรรมดา ทุกคน
ตัวอาตมาเองก็เป็นอย่างนี้ เมื่อไม่รู้จักว่า อะไรเป็นอะไรนั้น ก็ไปนั่งทำกรรมฐาน ลำบากมากจนร้องไห้ตั้งหลายเวลา หลายครั้งเหมือนกัน บางอย่างมันคิดสูงไป บางอย่างมันคิดต่ำไป ไม่ถึงความพอดีของมันเพราะว่าการปฏิบัติที่สงบนิ่งไม่สูงแล้วก็ไม่ต่ำ คือความพอดี แล้วก็มาเห็นญาติโยมทั้งหลายที่นี้มันยุ่งมากคือต่างคนต่างฝึกมา ต่างคนต่างมีครูบาอาจารย์หลายเหลือเกิน แล้วก็มารวมธรรม นี่เกิดความสงสัยมากอย่าง อาจารย์นั้นต้องทำอย่างนั้นอาจารย์นี้ต้องทำอย่างนี้ ครูนั้นต้องทำอย่างนั้นมานั่งเถียงกันเลยวุ่น ไม่รู้จักว่าจะเอาอันไหนไม่รู้จักเนื้อจักตัว มันเลยวุ่น มันหลายอาจารย์เกินไปมากเกินไป ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรให้มันเป็นหนึ่งได้สงสัย ตลอดเวลา
ฉะนั้นพวกเราอย่าคิดให้มันมาก ถ้าจะคิดให้มันรู้จัก อย่างนี้ไม่รู้หรอก ต้องทำให้จิตเราสงบเสียก่อน ที่มันรู้ไม่ต้องคิด ความรู้สึกมันจะเกิดมาในที่นี่เอง มันจึงเป็นปัญญา คิดนั้นไม่ใช่ปัญญาไม่ใช่ตัวปัญญา มันคิดเรื่อยไปไม่รู้เรื่อง ยิ่งคิดยิ่งวุ่นวาย
ฉะนั้นมาถึงที่นี่ก็ต้องพยายามอย่าให้คิด อยู่ในบ้าน เราเคยคิดมากๆแล้วไม่ใช่เหรอ มันกวนใจให้รู้อย่างนั้น คิดมากๆ ไป น้ำตามันไหลออกด้วยละเมอหลงคิดไปน่ะ ไม่ใช่ความจริง ไม่ใช่ปัญญาพระพุทธองค์ ท่านมีปัญญามากท่านจึงหยุดคิดอย่างที่เรามาฝึกนี้ก็เพื่อให้มันหยุดคิด นั่งให้สงบให้มีความสงบ ถ้าคิดปัญญาไม่เกิด ธรรมะไม่เกิดเกิดแต่สังขารปรุงแต่งไปเรื่อยๆ ถ้าสงบแล้วไม่ต้องคิดแล้วปัญหาจะเกิดขึ้นตรงนั้น เมื่อเราคิดอยู่ปัญญาไม่เกิดเมื่อเรามีความสงบแล้ว ความรู้สึกจะเกิดขึ้นมาในความสงบนั้น มีพร้อมกันทั้งความคิด มีพร้อมกันทั้งปัญญา เป็นคู่กันเลย ถ้าจิตใจเราไม่สงบ ปัญญาไม่มีมีแต่จะคิดอย่างเดียวเท่านั้น มันถึงยุ่ง
การนั่งสงบจิตนี่ ไม่ต้องคิดอะไรมากมายบัดนี้เราจะต้องทำจิตอันนี้อย่างเดียว ไม่ปล่อยจิตของเราให้มันมุ่งไปข้างขวา ข้างซ้าย ข้างหน้า ข้างหลังข้างบน ข้างล่าง จะทำอะไรจะทำอันนี้ จะทำจิตคีออานาปานสตินี่ กำหนดจากศีรษะลงไปหาปลายเท้า กำหนดปลายเท้าขึ้นมาหาศีรษะกำหนดศีรษะลงไป ดูด้วยปัญญาของเรา อันนี้เพื่อให้เป็นเหตุ ให้รู้จักร่างกายของเราก่อน แล้วก็นั่งกำหนดว่าบัดนี้ธุระหน้าที่ของเรานั้นก็คือให้ดูลมหายใจเข้าออกอย่าไปบังคับให้มันสั้น หรือบังคับให้มันยาวปล่อยวางอยู่ในช่วง ลมหายใจเข้าออกเสมออย่างนี้
หน้าถัดไป >>
» ตามดูจิต
» ธาตุ 4
» มรรค 8