ศาสนา ลัทธิ ความเชื่อ นิกาย พิธีกรรม >>
รวมธรรมบรรยายของ หลวงพ่อชา สุภัทโท
ไม่มีอะไรได้...ไม่มีอะไรเสีย
ต่อไปพากันตั้งใจฟังธรรม การฟังธรรม ฟังให้เกิดประโยชน์ ฟังเพื่อให้เข้าอกเข้าใจให้มันเป็นประโยชน์ สำรวมอายตนะทั้งหลาย ให้เหลือไว้แต่จิต พระพุทธเจ้าท่านสอนให้ฟังธรรม การปฏิบัติธรรม ให้สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กายอายตนะของเรามีหก ปิดไว้ห้า เหมือนบุรุษจะจับเหี้ยๆ มันอยู่ในโพรงจอมปลวก จอมปลวกมีรูอยู่หกรูปิดไว้ห้ารู เหลือไว้รูเดียว คอยดักจับเหี้ยมันจะออกมา ปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย เหลือไว้แต่ใจ ทำใจให้เป็นหนึ่งไว้คอยจับอารมณ์อาการกิเลสทั้งหลายมันจะเข้าไปจิตใจมนุษย์เราทั้งหลาย มันไม่แปลกอะไรกับเทปถ้าเราเปิดเครื่องบันทึกเสียงอะไรต่างๆ มันจะเข้าไปวุ่นว่ายนเทปนั้น เปิดฟังก็ไม่รู้เรื่อง ใจเรานี้ก็เหมือนกัน ถ้าต่างคนต่างพูดเสียงอึงคะนึง เลยไม่รู้เรื่อง ว่าท่านเทศน์อะไร ถ้าเราเงียบๆ ทำจิตให้เป็นหนึ่ง นั่งหลับตาดีๆ สำรวมไว้ มันก็จะเหมือนกันกับเราอัดเทปในที่เงียบๆ มันจะไม่มีเสียงอะไรเข้าไปปะปนในเทปนั้น จะมีความรู้สึกสงบ ระงับ ธรรมก็จะเข้าถึงจิตใจของเรา เหมือนเทปอัดไว้ในที่ไม่มีเสียงรบกวนเวลาเราต้องการจะเปิดฟัง ทุกสิ่งทุกอย่างก็จะชัดเจนน่าฟังจิตมนุษย์เรานี้ก็เหมือนกันฉันใด เมื่อเราฟังถึงยังไม่รู้เรื่องก็ฟังให้จิตเป็นหนึ่ง มันจะป้อนเนื้อธรรมเข้าไปอัดเข้าไว้ บางคนก็ไม่รู้จักไม่เข้าใจ ได้แต่ความสงบค่อยฟังไป ค่อยบำเพ็ญไป ค่อยปฏิบัติไป ค่อยศึกษาไปเรื่อยๆ ต่อไปอนาคตข้างหน้า มันจะปรากฏเหตุการณ์ขึ้นมาในมโนภาพเหมือนกันกับม้วนเทป การพิจารณาธรรมจะเกิดขึ้นมาเพราะความสงบเป็นเหตุเป็นนิสัย เป็นปัจจัยปฏิบัติไปมันจะพ้น ขึ้นมา
พระบรมศาสดาตรัสว่า นิสัยปัจจัย คำที่ว่านิสัยปัจจัยนั้นไม่รู้มันอยู่ที่ไหน?
ไม่เห็น แต่มันก็มีอยู่ บางคนสอนได้ง่ายๆ บางคนฟังยาก สอนยาก
มันก็ใจเหมือนกันทำไมมันไม่เหมือนกัน นิสัยปัจจัยมันไม่เหมือนกัน
เหมือนกันกับเรื่องอัดเทป ถ้าอัดในที่สงบมันก็อย่างหนึ่ง
อัดในที่วุ่นวายมันก็อย่างหนึ่ง อัดเหมือนกันแต่ก็ไม่เหมือนกัน คนเราก็เช่นเดียวกัน
ฟังเทศน์กัณฑ์เดียวกัน แต่มีความเห็นต่างกันมีความเข้าใจต่างกัน
ฉะนั้นกาฟังธรรมในครั้งพุทธกาล กับในสมัยนี้ก็ไม่แปลกกัน
พระพุทธเจ้าของเราทั้งหลายท่านให้เคารพในการฟังธรรม ทำไมท่านจึงให้เคารพในการฟัง
เพราะสมัยปัจจุบันนี้ พุทธบริษัทเราก็ยังอยู่ข้ออรรถ ข้อธรรม ก็ยังมีอยู่
ธรรมที่ให้สำเร็จมรรคผลนิพพาน ก็ยังอยู่ไม่ได้หายไปไหน
ถ้าพวกเราตั้งใจฟังให้ดีแล้วนำมาพิจารณา ก็เกิดมรรคเกิดผลได้ในปัจจุบันนี้เองไม่
ต้องสงสัยแต่ว่าโดยมากพวกเราทั้งหลายพากันเข้าใจผิดอยู่อย่างหนึ่งว่า
การประพฤติธรรม การปฏิบัติธรรม การทำกรรมฐาน
การทำภาวนาให้บรรลุธรรมเข้าใจว่าเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้า
เป็นเรื่องของพระสาวกก่อนโน้น พากันเข้าใจไปอย่างนั้น ดังนั้น
การฟังเทศน์ฟังธรรมในสมัยนี้จึงไม่เป็นกิจลักษณะ ฟังเพื่อตลกคะนองเล่นต่างๆ นานา
เลยไม่เข้าใจ จะเอาคุณงามความดีเอามรรคเอาผลอันเกิดขึ้นจากการฟังไม่ได้
เหมือนกับการฟังเทศน์บุญมหาชาตินั่นแหละ ใครว่าได้อะไรบ้าง? ไม่เห็นได้อะไร ฟังไปๆ
อย่างนั้นเอง
พระก็เทศน์เรื่องนก พรรณนาไป... นกกก นกแกง ชุมแซง คอก่าน ห่านฟ้าและสังกา ว่าไปอย่างนั้นไม่รู้เรื่องไปพูดเรื่องนก เรื่องต้นไม้ เรื่องภูเขาเลากาไปโน้น สุดท้ายก็ไม่ได้อะไรเปลืองข้าวต้มขนมเปล่าๆ ไม่ได้การไม่ได้งานมาถึงบ้านแล้วจะปฏิบัติอย่างไรบ้าง วันนี้ฟังเทศน์แล้วได้อะไรบ้าง เข้าใจอะไรบ้าง? เงียบ (มิดสี่หลี่) ยิ่งฟังยิ่งไม่รู้เรื่อง มีแต่ความประมาท ฝนโบกขรพรรษ ก็หว่านข้าวตอกข้าวสาร หว่านกันไปกันมากลายเป็นกะลาเป็นก้อนอิฐขว้างไปขึ้นศาลา เลยเป็นเรื่องทำเล่น เอาคำพระพุทธเจ้าไปทำเล่นเอาเรื่องท่านไปพูดเล่น...บาป...สร้างบาปกันขึ้นตรงที่ทำบุญนั้นแหละ ทำไม? เพราะไม่รู้เรื่องในการฟังธรรม ว่าการฟังธรรมคืออะไร? การฟังธรรมก็คือเรื่องท่านสอนเราโดยตรงนี้แหละ ท่านสอนเราให้รู้จักบาป ให้รู้จักบุญ ให้รู้จักคุณให้รู้จักโทษ รู้จักผิดรู้สึกถูก เราพากันฟังแต่ก็ไม่รู้เรื่อง เมื่อไม่รู้เรื่องไม่เข้าใจฟังแล้วกลับไปถึงบ้าน ก็ทำอย่างเก่า การประพฤติทางกาย ทางวาจา ทางใจ ในครอบในครัว ในบ้านในเมือง ก็อย่างเก่า เคยแช่ง เคยด่า ก็แช่งก็ด่าอย่างเก่าเคยโลภก็โลภอย่างเก่า เคยโมโหก็โมโหอยู่อย่างเก่า เคยเป็นอีกเป็นผี เคยเป็นเปรตก็เป็นเปรต อยู่อย่างเก่า ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ไม่รู้จักบาป บาปเป็นอย่างไร..ไม่รู้บาปทางกาย ทางวาจาก็ไม่เท่าไหร่หรอก ใจของเรานั่นซิ วันหนึ่งบาปหลายครั้งนะ คราวใดใจมันโกรธไม่พอใจ นั้นแหละบาปเกิดขึ้นแล้วที่ใจของเจ้าของมาวัดทำไม? มาวัดก็มาทำบุญนั่นแหละ มาเห็นพระเจ้าพระสงฆ์ ได้ฟังเทศน์ฟังธรรมใจมันก็สบาย ไม่ขุ่นไม่มัวเรียกว่ามาสร้างบุญใจสบายไม่ขุ่นมัวได้ทั้งบุญและกุศล ถ้าทางใจมันเป็นบุญแล้ว ทางวาจาก็ไม่ต้องไปพูดมันมากหรอกไม่ต้องไปควบคุมมัน ท่านจึงว่ามาวัดเพื่อสร้างบุญสร้างกุศล บางคนอาจจะคิดว่าเอาของมาถวายพระนั้นแหละจึงเป็นบุญ ไม่ใช่อย่างนั้น ตาเราได้มาเห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็นเห็นครูบาอาจารย์ เห็นพระเจ้าพระสงฆ์ หูก็ได้ฟังเทศน์ฟังธรรมใจก็สบาย ถ้าอยู่บ้านเดี๋ยวลูกตีกันแล้ว หมาขโมยกินของในครัวแล้ว ควายกินต้นกล้วยแล้ว เดี๋ยวก็หมูร้องเดี๋ยวก็เป็ดร้อง เราเลยตกนรกขุมเล็กขุมใหญ่อยู่ตลอดเวลาท่านจึงว่าอยู่ที่บ้านบาปมันเยอะ ใจของเรามันเป็นบาป มันขุ่นมัว นรกขุมเล็กๆ เรียกได้ว่าตกเป็นนิจกาล แต่ไม่รู้ว่าตัวเองตกนรก ถ้าใจเศร้าหมองเมื่อไรเวลาใดนั้นแหละท่านเรียกว่าบาป ใจไม่ผ่องใส
ถ้าเรามาวัดได้ฟังเทศน์ฟังธรรมรู้เรื่องนั้นเรื่องนี้ท่านประกาศธรรม ประกาศศีลธรรมไว้ ก็ล้วนแต่เรื่องดีๆทั้งนั้นล่ะท่านไม่ให้เบียดเบียนกันไม่ให้อิจฉาพยาบาทกัน ให้สามัคคีกันไม่ให้นอกใจกันท่านสอนเราแต่เรื่องดีๆ แต่เราฟังไม่ชัดฟังไม่เข้าใจเฉยๆ ถ้าฟังเป็นมีแต่เรื่องดีๆ มีแต่เรื่องถูกๆ ทั้งนั้น ผู้รู้จักธรรมรู้จักอดรู้จักกลั้นรู้จักข้อประพฤติปฏิบัติแม้ว่าจะทำไร่ทำนาทำสวน ไร่นาสวนของคนนั้นก็เจริญแม้จะปฏิบัติในครอบครัวหรือในบ้าน บ้านคนนั้นก็สะอาดสะอ้าน อยู่กันด้วยความสงบสุข เป็นมงคล รู้จักผิดรู้จักถูกมันจะทะเลาะกันจะเถียงกันขึ้นมาก็รู้จักไม่ทำอย่างนั้นไม่คิดอย่างนั้น มันก็เป็นการตัดบาปตัดกรรมเท่านั้นแหละพวกเราทั้งหลาย
ถ้าหากว่าพวกเราทั้งหลายไม่พากันฝึกไม่พากันหัดพวกเราจะไม่แปลกอะไรกับพวกสัตว์ทั้งหลาย มนุษย์เราทั้งหลายจะต่างจากสัตว์ก็ตรงที่รู้จักอาย ถ้าไม่มีความอายความกลัวต่อความชั่วแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับสัตว์ ถ้าพูดถึงความคิดอยากเป็นโน่นเป็นนี่ อยากได้โน่นได้นี่ มันก็เหมือนกันนั่นแหละกับสัตว์ทั้งหลายไม่ได้แปลกกัน ถ้ารู้จักอดไว้กลั้นไว้ ยับยั้งไว้ มีความละอาย มันอยากได้อยู่แต่ก็อายไม่เอา หาอะไรแลกเอาเปลี่ยนเอา มนุษย์เราถ้าไม่มีสิ่งนี้ก็ไม่ผิดอะไรกับไก่ พอเห็นข้าวสารก็กินเลย ไม่รู้ข้าวสารใครมันไม่รู้จัก ควายก็เหมือนกัน เข้านาเข้าสวนใครก็กินเลยไม่รู้จัก มันจึงมีความรู้สึกต่างกันกับมนุษย์ อย่างนี้
พูดถึงคนไม่รู้เรื่อง ก็ไม่รู้เรื่องจริงๆ อยากให้เป็นอย่างโน้น อยากให้เป็นอย่างนี้ จะไม่ให้บาปได้อย่างไร ก็ไม่รู้เรื่องนี่ ของมันเป็นอย่างนั้น มันก็เป็นอย่างนั้นแหละจะร้องไห้กับสิ่งเหล่านั้นมันก็ใช้ไม่ได้ ของมันเป็นอยู่อย่างนั้นแต่ไหนแต่ไรมา เราก็ไม่รู้จัก นี้ของฉันนั่นของคุณ นี่ของเรานั้นของเขา นึกว่าเป็นอย่างนี้จริงๆ ถึงเวลามันจากไปเลยไม่มีที่พึ่ง ไม่มีพระพุทธเป็นที่พึ่ง ไม่มีพระธรรมเป็นที่พึ่งไม่มีพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ก็ร้องไห้โฮเท่านั้นแหละ บางคนข้าวก็ไม่กิน มันทุกข์ มันจะตายไปด้วยกันก็ยังไม่รู้จัก นี่แหละคือคนโง่...รู้จักไหม
หน้าถัดไป >>
» ตามดูจิต
» ธาตุ 4
» มรรค 8